Chapter 137 Sir Lei Yu
雷宇大人(四更)
แน่นอนว่า,การสืบหาข่าวสำนักอู๋เซิ่ง,ราชามังกรโลกเทวะเทียนหลง,หวงหยวนตง,ราชันย์หมาป่ายวีเมียน,แต่ละข่าวนั้นมูลค่าสูงมาก.
อย่างไรก็ตาม,สำหรับลู่อี้ผิงแล้วหาได้มีอะไร.
นอกจากนี้ลู่อี้ผิงยังเพิ่มราคาเป็นสิบเท่าให้วังม่านหมอกระดมกำลัง,เพื่อหาข่าวให้ได้โดยเร็วที่สุด.
หลังจากจัดการทุกอย่างแล้ว,ลู่อี้ผิงก็นำคนของเขาออกจากวังม่านหมอกสาขาไทสวีไป.
“จูเหริน,ในเมื่อสำนักอู๋เซิ่งมายังจิวเทียนเพื่อศิลาจารึกสวรรค์,เดือนหน้าศิลาจารึกสวรรค์ปรากฏ,แน่นอนว่าพวกเขาจะต้องไปยังเมืองเทียนเป่ยแน่ ๆ.”วัวกระทิงมังกรเขาทองคำเอ่ย.
ลู่อี้ผิงพยักหน้ารับ.
ผู้คนมากมายต่างก็กำลังมุ่งตรงไปยังเมืองเทียนเป่ย.
พวกของลู่อี้ผิงเองก็ออกเดินทางไปยังเมืองเทียนเป่ยเช่นกัน,ในห้องโถงสำนักกระบี่ไท่ชิง,เจิ้งซ่างชิงเวลานี้กำลังรับฟังรายงานจากเจ้าสำนักเจ๋ออวิ๋น.
ก่อนหน้านี้,เทพกู่ฉินฟู่เฉาถูกคนลึกลับกำราบอย่างราบคราบ,เจิ้งซ่างชิงได้ให้เจ๋ออวิ๋นและคนอื่น ๆ ไปตรวจสอบเรื่องราวคนลึกลับเป็นลู่อี้ผิงหรือไม่?
ตอนนี้เจ๋ออวิ๋นที่ได้รับรายงานมาแล้ว.
“เจ้าเอ่ยว่าขณะเทพกู่ฉินฟู่เฉาถูกฝ่ามืออรหันต์กำราบ,ลู่อี้ผิงนั้นอยู่ในเมืองหู่มนทลเหล่ยเฟิง,ไม่ได้อยู่ในนิกายกระบี่กุยหยวนอย่างงั้นรึ?”เจิ้งซ่างชิงที่เอ่ยถามย้ำอีกครั้ง.
“ขอรับ.”เจ๋ออวิ๋นกล่าวด้วยความเคารพ“ตอนนี้สามารถยืนยันได้แล้วว่า ยอดฝีมือลึกลับนั่นไม่ใช่ลู่อี้ผิง.”
เจิ้งซ่างชิงที่รู้สึกผ่อนคลายลง.
ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าอาจเป็นลู่อี้ผิง,ในเวลานี้บอกได้ว่า ลู่อี้ผิงอยู่ที่มนทลเหล่ยเฟิง,เช่นนั้นคนที่ลงมือย่อมไม่ใช่ลู่อี้ผิง.
กล่าวได้ว่านิกายกระบี่กุยหยวนอยู่ในมลทนชิงอวิ๋น,ลู่อี้ผิงอยู่มนทลเหล่ยเฟิง,ทั้งสองพื้นที่ห่างกันหลายหมื่นลี้.
“ทว่าเป็นฝีมือใครนั้น,ไม่อาจบอกได้.”เจ๋ออวิ๋นเอ่ย.
“สืบต่อไป.”เจิ้งซ่างชิงเอ่ย.
เจ๋ออวิ๋นพยักหน้ารับ,จากนั้นก็เอ่ยออกมาว่า“พวกเราเพิ่งได้รับข้อมูลมาว่า ลู่อี้ผิงอยู่ในดินแดนไท่สวี,เขาเพิ่งสังหารบุตรชายของกู่กั๋วหยวนไป,นอกจากนี้ยังทำลายโรงเตี้ยมอู๋ซวงเมืองเสวียนกู่ไปด้วย.”
เจิ้งซ่างเซียวที่เผยความประหลาดใจ,ดูลังเลอยู่เหมือนกัน“ลู่อี้ผิงปรากฏที่ดินแดนไท่สวี,ดูเหมือนว่าจะเกี่ยวข้องกับศิลาจารึกสวรรค์,ฉู่ถงไปกับเขาด้วยหรือไม่?”
เจ่ออวิ่นส่ายหน้าไปมา“ไม่ได้ไป.”
“ศิลาจารึกสวรรค์ปรากฏ,พวกเราเองก็ควรจะไปยังเมืองเทียนเปย.”เจิ้งซ่างชิงเอ่ย.
“ในเวลานั้นพวกเราจะลงมือกับลู่อี้ผิงหรือไม่?”เจ๋ออวิ๋นเอ่ยถาม.
เจิ้งซ่างชิงที่ดวงตาหรี่เล็ก,“ให้นิกายฉินหัวและโรงเตี้ยมอู๋ซ่วงลงมือก่อน,ดูสถานการณ์เล็กน้อย,แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจปล่อยให้ลู่อี้ผิงมีชีวิตออกจากเมืองเทียนเป่ยได้.”
......
สองสามวันผ่านไป.
ลู่อี้ผิงได้มาถึงเมืองเล็กแห่งหนึ่ง.
ที่ด้านหน้าทางเข้าเมืองเล็ก,มีอักขระบนแผ่นศิลา.
“เมืองเทียนเป่ย.”
เป็นอักขระที่สลักเขียนไว้บนศิลาดูงดงาม..
นอกจากนี้อักขระเหล่านี้ยังดูทรงพลังเปี่ยมล้นพลังอำนาจ,ราวกับว่ากำลังทะยานสวรรค์.
ลู่อี้ผิงที่กวาดตามองเมืองดังกล่าวรอบ ๆ ที่เวลานี้ค่อนข้างสงบ.
เมืองเทียนเป่ย,ไม่ได้ใหญ่โต,แต่กับเป็นที่รู้จักของทุกคนทั้งจิวเทียน.
เมืองแห่งนี้มีพลังลึกล้ำ,ด้วยพลังลึกลับที่ปกป้องเมืองเล็กแห่งนี้อยู่,ถึงจะเป็นจ้าวพิภพที่บ้าคลั่ง,ก็ไม่อาจสร้างรอยขีดข่วนให้กับตัวเมืองแห่งนี้ได้.
หวงจิวเอ่ย“ผู้คนเอ่ยว่า,ป้ายจารึกทางเขาเป็นลายมือของจักรพรรดิสวรรค์ได้ทิ้งเอาไว้,อักขระชื่อเมืองที่เปี่ยมด้วยพลังอำนาจจึงมีบางคนมายืนตระหนักรู้อักขระทั้งสามตัวนี้อยู่เป็นประจำ.”
ลู่อี้ผิงเอ่ย“พลังไร้เทียมทานจากอักขระดังกล่าว,ง่ายที่จะเข้าใจ.”
เพราะว่า,เขตแดนระดับพลังของเขาเหนือกว่าไปไกล.
สิ่งเหล่านี้จึงแทบไร้ค่าต่อเขา.
“อักขระเหล่านี้,ไม่ใช่จักรพรรดิสวรรค์ทิ้งเอาไว้.”ลู่อี้ผิงที่จ้องมองแผ่นศิลา.
“ไม่ใช่จักรพรรดิสวรรค์ทิ้งเอาไว้หรอกรึ?”หวงจิว,เห่าผี,อ้าวผี,ทั้งสามที่เผยความประหลาดใจออกมา.
วัวกระทิงมังกรเขาทองคำเอ่ย“อักขระชื่อเมืองนี้,นับว่าแข็งแกร่งจริง ๆ,หากแต่ไม่ใช่ลายมือของจักรพรรดิสวรรค์,ความแข็งแกร่งจักรพรรดิสวรรค์,มีมากกว่านี้.”
หวงจิว,เห่าผี,อ้าวผี,ไม่อาจประเมินความแข็งแกร่งของจักรพรรดิสวรรค์ที่วัวกระทิงมังกรเขาทองคำกล่าวออกมาได้เลย.
หลังจากนั้น,ลู่อี้ผิงและคนของเขาก็เข้าไปในเมืองเทียนเป่ย.
The stone of Heavenly Tablet Town ground, rugged, each stone, has a strange mark to wind, these marks wind, formed characters faintly.
พื้นศิลาในเมืองเทียนเป่ยค่อนข้างขระขระ ผ่านลมผสานฝนมาเนิ่มนาน ทว่ากับมีพลังที่ลึกล้ำซ่อนเอาไว้อยู่ด้วย.
ทำให้ไม่อาจมองเห็นผ่านลึกลงไปยังพื้นดินด้านล่างได้.
เมืองแห่งนี้ค่อนข้างสงบ,ทั่วทั้งเมืองราวกับว่ากำลังหลับไหล,ยังไม่ตื่นขึ้นมา.
การปรากฏของศิลาจารึกสวรรค์,ยอดฝีมือมากมายต่างก็เดินทางมายังจิวเทียน,แต่ละมุมแต่ละพื้นที่,มียอดฝีมือจับกลุ่มพูดคุยกัน,ทว่านับว่าแปลกแต่ละคนที่เอ่ยเสียงเบามาก,ราวกับว่าจะรบกวนเมืองที่สงบสุขนี้.
ความเงียบสงบดังกล่าวเกิดจากพลังลึกลับบางอย่างที่คอยกลั่นกรองเสียงของเหล่ายอดฝีมือที่พูดคุยกันเอาไว้.
หลังจากพวกลู่อี้ผิงก้าวเข้ามาด้านใน,เหล่ายอดฝีมือรอบ ๆ ที่มองเห็นลู่อี้ผิง,ต่างก็กระซิบกระซาบกันทันที.
“เขาคือลู่อี้ผิงอย่างงั้นรึ?”
“ใช่,ข้าผ่านไปยังงานชุมนุมนิกายกระบี่นิกายกุยหยวน,ได้เห็นเขา,เวลานั้น,เขาและธิดาศักดิ์สิทธิ์กำลังประลองกู่ฉินกันอยู่.”
“น่าเสียดาย,ธิดาศักดิ์สิทธิ์สวีเฉี่ยวหยิน,คนนิกายฉินหัว,เองดูเหมือนว่าใกล้จะมาถึงแล้วเช่นกัน.”
เสียงพูดคุยที่ดังผ่านเข้ามา.
ใบหน้าของลู่อี้ผิงที่ยังคงเฉยเมย.
ในเมืองเล็กมีสิ่งก่อสร้างบ้านเรือนกระจายกันออกไปอยู่หลายแห่ง.
เมืองเทียนเป่ย,เดิมทีเป็นพื้นที่อยู่อาศัย.
อย่างไรก็ตาม,กับมีเรือนที่พักไม่กี่สิบแห่งเท่านั้น.
กล่าวได้ว่าที่อยู่อาศัยในเมืองเทียนเป่ยนั้น,เป็นสิ่งที่คงเหลืออยู่เมื่อครั้งยุคจักรพรรดิสวรรค์ยุคปรัมปราแล้ว.
แน่นอน,เกี่ยวกับความเห็นนี้,มีคนเชื่อไม่มากนัก.
กลุ่มของลู่อี้ผิงที่มาอยู่ลานตรงกลางเมืองเทียนเป่ย,สถานที่แห่งนี้เป็นลานขนาดใหญ่,เมื่อถึงเวลาศิลาสวรรค์ปรากฏ,มันจะผุดขึ้นมาจากใต้พื้นดินที่ใจกลางลานแห่งนี้.
ในเวลานี้,มีหลายคนทีมาถึงและได้ยึดครองพื้นที่บางมุมเพื่อรอคอยกันบ้างแล้ว.
อย่างไรก็ตาม,พื้นที่ก็ยังคงโล่งเหมือนกัน.
ลู่อี้ผิงที่ก้าวไปยังลานตรงกลางพื้นที่แห่งหนึ่ง.
ยอดฝีมือหลายคนต่างก็เผยท่าทางแปลก ๆ.
เพราะพื้นที่เปิดโล่งที่พวกเขาก้าวไปนั้น,เป็นพื้นที่ยึดครองนิกายฉินหัวในอดีตนั่นเอง.
ในอดีตเมื่อศิลาจารึกสวรรค์ปรากฏ,ยอดฝีมือนิกายฉินหัวได้ครอบครองพื้นที่ดังกล่าว,ทว่าคนของนิกายฉินหัวเวลานี้ยังมาไม่ถึงนั่นเอง.
หากไม่เพราะว่า เป็นพื้นที่ของนิกายฉินหัว,ยอดฝีมือคนอื่น ๆ คงเข้าไปยึดครองไปแล้ว.
“พื้นที่นั่นเป็นของนิกายฉินหัว,ลู่อี้ผิงเข้าไปครอบครองแล้ว,ดูเหมือนว่าจะมีการแสดงดี ๆ ให้ดูแล้ว.”บางคนเอ่ยเสียงเบา.
ขณะผู้คนกล่าวกระซิบกระซาบ,หวงจิวเอ่ยออกมาว่า“แท้จริงที่นี่เป็นพื้นที่ของนิกายฉินหัวนี่เอง.”
ลู่อี้ผิงหาได้สนใจ,เมื่อมาถึงพื้นที่ดังกล่าว,ก็นำศิลาเทวะฮุ่นตุ้นหลายก้อนออกมา,เป็นโต๊ะและเก้าอี้,ให้ทุกคนได้นั่ง,หลังจากนั้นก็นำสุรานิรันดรออกมา,ดื่มกิน.
“นั่นมัน,ศิลาเทวะฮุ่นตุ้น?”ผู้คนมากมายที่เห็นโต๊ะเก้าอี้ศิลาที่ลู่อี้ผิงนำออกมา,ก็ตกใจไปตาม ๆ กัน.
“เข้าใจผิดหรือไม่?”บางคนแทบไม่อยากเชื่อ.
หวึ่ง ๆ เสียงหวีดหวิวที่มาแต่ไกล,ยอดฝีมือกลุ่มหนึ่งที่ได้มาถึงเมืองเทียนเป่ยแล้ว
หลังจากผู้คนเห็นคนกลุ่มนี้มา,ต่างก็หวาดกลัว,พื้นที่รอบ ๆ กลายเป็นสงบไปในทันที.
คนที่มา เป็นยอดฝีมือจากนิกายเทวะคุนเผิงนั่นเอง!
บางคนสามารถบอกได้ว่ามีเจ้านิกายเทวะคุนเผิง,เฟยเจียในกลุ่มนั้นด้วย.
อย่างไรก็ตาม,เฟยเจียกับก้าวตามชายชราร่างสูงอย่างสงบเสงี่ยม.
“ท่านเหล่ยยวี!”ผู้ก่อตั้งนิกายใหญ่บางคนที่เอ่ยเสียงสั่น.
หากไม่ใช่เพราะว่าคนที่เอ่ยคือผู้ก่อตั้งของพวกเขา,คนที่มาด้วยคงขาอ่อนทรุดลงกับพื้นไปแล้ว.