Chapter 130: Arrives at Grand Void Territory
降临太虚域(一更)
อย่างไรก็ตาม,ก่อนที่จะไปยังดินแดนไท่สวี,ลู่อี้ผิงได้ไปยังร้านค้าที่ราบชิงหยางก่อน.
เถ้าแก่ร้านที่นั่งสับหงกอยู่ที่มุมเหมือนเดิม,หลังจากเห็นลู่อี้ผิงมาถึง,ก็สั่นสะท้าน,เร่งรีบออกมาต้อนรับทันที.
เรื่องของลู่อีผิ้ง,ได้กระจายไปทั่วทั้งดินแดนซั่งเซิ่ง,เขาเองก็ได้ยินมาด้วยเช่นกัน.
เถ้าแก่รู้ว่าลู่อี้ผิงจะไปยังดินแดนไท่สวีก็ประหลาดใจ.
“ประมุขของเจ้าอยู่ที่ใดตอนนี้?”ลู่อี้ผิงสอบถาม.
เถ้าแก่ที่เร่งรีบเอ่ยออกมาว่า“คุณชายลู่เรื่องราชามังกรทมิฬ,ข้าได้รายงานต่อประมุขแล้ว,ตอนนี้ประมุขของข้ามีธุระเล็กน้อยที่ดินแดนไท่เสวียน,ดังนั้นจึงไม่อาจเร่งรีบมาพบท่าน.”
“ประมุขของเจ้าอยู่ในดินแดนไท่สวีอย่างงั้นรึ?”ลู่อี้ผิงเอ่ยถาม.
เถ้าแก่ที่บอกกล่าวสถานที่.
ลู่อี้ผิงที่ได้รับข้อมูลสถานที่จากนั้นก็ออกจากพื้นที่ ที่ราบชิงหยางตรงไปยังดินแดนไท่สวี.
เถ้าแก่ร้านที่ออกมาส่งลู่อี้ผิง,ขณะมองอีกฝ่ายหายลับตาไป,เอ่ยกล่าวพึมพำ“ดินแดนไท่สวี,ศิลาจารึกสวรรค์กำลังปรากฏ,พวกเขาไปยังดินแดนไท่สวีเพราะศิลาจารึกสวรรค์หรือไม่?”
“ก่อนที่ศิลาจารึกสวรรค์จะปรากฏเกรงว่าคงเต็มไปด้วยศพมากมายก่ายกองอย่างแน่นอน.”
ศิลาจารึกสวรรค์,เป็นอักขระของจักรพรรดิสวรรค์ได้บันทึกกฎของศาลสวรรค์ในยุคปรัมปราทิ้งเอาไว้!
......
จิวเทียน,มีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 29 ดินแดน.
ดินแดนไท่สวีและดินแดนปิศาจเทวะเป็นสองดินแดนที่ใหญ่ที่สุดในจิวเทียน.
หากไม่นับดินแดนปิศาจเทวะ,ดินแดนไท่สวีก็คือดินแดนที่ใหญ่ที่สุด.
อย่างไรก็ตาม,แม้นว่าดินแดนไท่สวีจะมีขนาดใหญ่,ทว่ากลุ่มอิทธิพลมากมายกับมารวมกระจุกกันที่นี่,ดังนั้นดินแดนไท่สวีจึงค่อนข้างโกลาหล.
ในจิวเทียนนั้นมีสิบสุดยอดกลุ่มอิทธิพล,นิกายเสวียนเทียนที่ใหญ่เป็นอันดับสามมีศูนย์ใหญ่ตั้งอยู่ที่นั่น.
นอกจากนิกายเสวียนเทียนแล้ว,ยังมีตระกูลเหยี่ยนที่ใหญ่เป็นอันดับห้า,สำนักอสูรสวรรค์อันดับเจ็ด,และนิกายพุทธะซู่มีอันดับแปด ต่างก็มีศูนย์ใหญ่ในดินแดนไท่สวี.
หลังจากลู่อี้ผิงออกจากดินแดนซั่งเซิงก็เดินทางไม่หยุด,ข้ามผ่านหลากหลายพื้นที่,ท้ายที่สุดก็มาถึงดินแดนไท่สวี.
ลู่อี้ผิงที่กำลังเร่งรุดเดินทางไปยังเมืองเสวียนกู่,ก็ได้รับข่าวว่าศิลาจารึกสวรรค์กำลังปรากฏ.
“ศิลาจารึกสวรรค์กำลังปรากฏ,เวลานี้ผู้คนจากพื้นที่อื่นจึงปรากฏมากขึ้นเรื่อย ๆ,เกรงว่าจะต้องวุ่นวายเป็นแน่.”
“ศิลาจารึกสวรรค์ปรากฏขึ้นแต่ละครั้ง,พื้นที่หลักส่วนใหญ่ล้วนแต่ถูกล้อมไปด้วยคนของนิกายเทวะคุณเผิง.
“ส่วนพื้นที่รองลงมา,ก็เป็นของนิกายเสวียนเทียน,ตระกูลเหยียน,สำนักอสูรสวรรค์,นิกายพุทธะซูมี,แทบไม่เหลือน้ำซุปให้พวกเราได้ดื่มหรอก.”
ขณะเดินทางเมืองบางแห่ง,ผู้ฝึกตนมากมายต่างก็พูดคุยกันเรื่องเดียวกัน.
“ได้ยินมาว่าเทพกู่ฉินฟู่เฉาที่มีชื่อเสียงคนนั้น,เวลานี้ไม่รู้ว่ามีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว.”
“เกรงว่าคงไม่รอด,ไม่แม้แต่รับฝ่ามือของยอดฝีมือลึกลับได้สักกระบวนท่าเดียว! ตอนนี้เทพกู่ฉินฟู่เฉาของสำนักฉินกู่กลายเป็นตัวตลกให้ทุกคนหัวเราะไปแล้ว.”
นอกจากเรื่องศิลาจารึกสวรรค์ปรากฏ,ยังมีเรื่องราวอีกหลายเรื่อง,โดยเฉพาะเรื่องเทพกู่ฉินฟู่เฉาถูกฝ่ามืออรหันต์ลึกลับจัดการ.
“หลังจากเทพกู่ฉินฟู่เฉาถูกยอดฝีมือลึกลับจับตัวไป,ก็หายไปนานแล้ว,บางคนเอ่ยว่าเขาตายไปแล้ว.”
“นิกายฉินหัวเป็นไปไม่ได้ที่จะยอมจบแค่นี้,ได้ยินมาว่าศิษย์พี่ฟู่เฉา,กู่ฉินมู่จิวนั้นยังไม่ตกตายไป,ตอนนี้ได้ออกมาจากปิดด่านแล้ว.”
“ไม่ใช่แค่ยังไม่ตาย,ว่ากันว่ากู่ฉินโม่จิวในอดีตเคยตตระหนักรู้ได้พลังลึกลับจากศิลาจารึกสวรรค์ในอดีต,หลังจากเก็บตัวฝึกฝนในดินแดนบรรพชนนิกายฉินหัว,เวลานี้ไม่เพียงแค่ออกมาจัดการเรื่องฟู่เฉา,ทว่ายังออกมาด้วยเรื่องศิลาจารึกสวรรค์ด้วย.”
ได้ยินคำพูดดังกล่าว,หวงจิว,เห่าผีและคนอื่น ๆ ต่างก็เผยความประหลาดใจ.
“คาดไม่ถึงว่ากู่ฉินโม่จิวยังไม่ตาย!”หวงจิวเอ่ยออกมาว่า“คนผู้นี้,แม้นว่าชื่อเสียงจะสู้เทพกู่ฉินฟู่เฉาไม่ได้,ทว่าความแข็งแกร่งนั้นเหนือกว่าฟู่เฉาเป็นอย่างมาก.”
เรื่องของกู่ฉินโม่จิว,ไม่ได้ทำให้ลู่อี้ผิงต้องใส่ใจแต่อย่างใด.
“แล้วเมื่อไหร่ศิลาจารึกสวรรค์จะปรากฏล่ะ?”ลู่อี้ผิงเอ่ยถามออกมาทันที.
เห่าผีเร่งรีบกล่าวรายงาน“น่าจะกลางเดือนหน้า.”
ลู่อี้ผิงพยักหน้ารับ,กล่าวได้ว่า,เขาสามารถไปยังเมืองเสวียนกู่,จากนั้นค่อยไปยังเมืองเทียนเป่ยได้.
ศิลาจารึกสวรรค์คือสิ่งที่จักรพรรดิสวรรค์ทิ้งเอาไว้,มีศิลาจารึกสวรรค์ทั้งหมด 100 ชิ้น,แต่ละชิ้นนั้นมีบันทึกวิชาบ่มเพาะไร้เทียมทานอยู่,ตลอดจนความลับที่มีในยุคปรัมปราอีกหลายอย่าง.
ดังนั้น,ลู่อี้ผิงจึงวางแผนที่จะไปดูเช่นกัน.
ในอดีต,จักรพรรดิสวรรค์เป็นคนตัดเจี้ยนมู่,เป็นไปได้ว่าในศิลาจารึกสวรรค์,จะมีเรื่องราวเกี่ยวกับเจี้ยนมู่อยู่.
หากเขารับรู้อาจจะสามารถเร่งการเติบโตของเจี้ยนมู่,หรือหาชิ้นส่วนอื่น ๆ ของเจี้ยนมู่ได้.
ในคืนหนึ่ง.
บนพื้นที่ร้าง,พวกลู่อี้ผิงที่พักอยู่เชิงเขา,กำลังก่อไฟย่างเนื้อกินดื่ม.
ลู่อี้ผิงที่นำตำราออกมาอ่าน.
ตำราเหล่านี้,ก็คือตำราที่เทพกู่ฉินฟู่เฉาเก็บเอาไว้,ดูน่าสนใจไม่น้อย,มันมีบันทึกเกี่ยวกับการบ่มเพาะของเผ่าบรรพกาลบางเผ่าด้วย.
เพราะว่าวิชาบ่มเพาะเหล่านี้,มีข้อความเพียงเล็กน้อย,ไม่สมบูรณ์,ดังนั้นจึงยากที่จะฝึกฝนได้.
ก่อนยุคโบราณเป็นยุคบรรพกาล,ยุคปรัมปรา,ยุคปฐมกาลและยุคเปิดสวรรค์.
สิ่งของจากยุคปรัมปราและยุคปฐมกาลนั้น,ในยุคปัจจุบันมีอยู่น้อยมาก ๆ,เพราะว่าผ่านเวลามาเนิ่นนาน,แม้แต่สิ่งประดิษฐ์เทวะชั้นพิเศษ,ยังถูกกัดกร่อนพังทลายลงเหลือเพียงฝุ่นผงเท่านั้น.
อย่างไรก็ตามสิ่งของจากยุคโบราณและยุคบรรพกาลนั้นยังพบได้เป็นครั้งคราว.
ตำราเล่มนี้เป็นสิ่งของจากยุคบรรพกาล.
ไม่รู้ว่าสร้างมาจากวัสดุอะไร,แม้นว่าจะเป็นสิ่งของจากยุคบรรพกาล ผ่านยุคโบราณมา,จนถึงเวลานี้ก็ยังไม่เสียหายแต่อย่างใด.
หลายวันมานี้,เขาได้อ่านตำราดังกล่าวไปไม่น้อย.
ตำราดังกล่าวน่าจะเป็นของเผ่าวานรวิญญาณในยุคบรรพกาล.
ในยุคบรรพกาล,มีเผ่าวานรศิลา,เผ่าวานรก้นแดง,เผ่าวิญญาณหกแขนหกหู,เผ่าวานรวิญญาณทมิฬ,ด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนผ่านทำให้เกิดการอพยพใหญ่ขึ้น เหลือเพียงแค่ประวัติศาสตร์ของพวกเขา.
ลู่อี้ผิงได้อ่านตำราจากยุคบรรพกาล,เห่าผีที่ดื่มสุรานิรันดรที่ได้รับจากลู่อี้ผิงอย่างระมัดระวัง.
สุรานิรันดร,แม้นว่าเขาจะไม่รู้ว่าบ่มเพาะจากสมุนไพรอะไร,ทว่าจากประสบการณ์แล้ว,แน่นอนย่อมรู้ว่ามันเป็นสิ่งล้ำค่า,ทำให้เขาค่อย ๆ จิบด้วยเกรงว่าจะหมดไม่ต่างจากปราชญ์ยาจกโจวเฉิงเลย.
วัวกระทิงมังกรเขาทองคำเห็นเห่าผีจิบทีละน้อย,ก็เผยยิ้มเอ่ยออกมาว่า“สุรานิรันดร,จูเหรินของข้ามีจำนวนมาก,ไม่จำเป็นต้องอดออมเพียงนั้น.”
เห่าผีที่เผยยิ้มอย่างอักอ่วน,เขาเอ่ยถามวัวกระทิงมังกรเขาทองคำ“ท่านเสี่ยวจิน,สุรานิรันดรนี้,บ่มจากผลเพลิงเหมัตรอย่างงั้นรึ?”
ก่อนหน้านี้มีเหอโชวจากหอราชาสมุนไพรที่ได้ชิม ก็เอ่ยออกมาว่าสุรานี้บ่มจากผลเพลิงเหมันตร์เช่นกัน.
วัวกระทองมังกรเขาทองคำเผยยิ้ม“ผลเพลิงเหมันตร์เป็นส่วนผสมที่ธรรมดาที่สุด,เมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้จูเหรินได้เพิ่มวารีดาราฮุ่นตุ้นเข้าไปด้วย.”
“วารีดาราฮุ่นตุ้น!”เห่าผีที่สั่นสะท้านแทบทำให้ไหสุราหลุดมือ.
วังกระทิงมังกรเขาทองคำเผยยิ้ม“วารีดาราฮุ่นตุ้น,ถือว่าเป็นวัตถุดิบที่ล้ำค่าที่สุดในสุรานิรันดร.”
เห่าผีที่ตื่นตะลึงเป็นอย่างมาก.
“อย่าไปฟังเรื่องราวไร้สาระของเสี่ยวจิน.”ลู่อี้ผิงเอ่ยออกมาอย่างไม่ใส่ใจ พร้อมกับเผยยิ้ม.
ขณะกลุ่มลู่อี้ผิงทีพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน,ที่ไกลออกไปปรากฏกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง,ผู้นำมานั้นเป็นผู้เยาว์ผู้หนึ่งที่แผ่กลิ่นอายที่น่าเกรงขามเป็นอย่างมากออกมา.
เห็นชายหนุ่มคนดังกล่าว,ลู่อี้ผิงก็เผยความประหลาดใจ,อีกฝ่ายก็คือคุณชายจากโลกเทวะเทียนหลงที่เข้าร่วมประมูลสินค้าในหอการค้าความลับสวรรค์ในอดีตนั่นเอง.
ในเวลานั้นฝ่ายตรงข้ามต้องการประมูลตราจ้าวแห่งทวยเทพ,ทว่าได้แสดงกระบี่มังกรสวรรค์โจมตีเขา,และถูกสะท้อนพลังได้รับบาดเจ็บหนัก.
อ้าวผีจากโลกเทวะเทียนหลงที่นำผู้ใต้บังคับบัญชามาเห็นไฟจากกองเพลิง,เลยจับจ้องมองมา,ขณะพบว่าเป็นลู่อี้ผิงก็หวาดผวาไปในทันที.
ในอดีตที่เมืองหลวงเป่ยโตว,การประมูลหอการค้าความลับสวรรค์,ได้สร้างความหวาดกลัวที่ฝังลึกลงไปในจิตใจของเขาทีเดียว.