Chapter 13 Locks soul purgatory great array
锁魂炼狱大阵
คนของตระกูลเซียวที่จ้องมองกันและกันด้วยความงงงวย.
พวกเขายิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจ,ทำไมซ่งหนิงถึงได้ทำเช่นนี้.
เซียวฉางเฟิงที่โกรธเป็นอย่างมาก,เขาจ้องมองกลุ่มผู้คุมกฎของนิกายเหล่ยฉิวเจี้ยนที่ปรากฏขึ้นมาแต่ไกล,กำลังเดินเข้ามาหาพวกเขา.
หลังจากมาถึง,อีกฝ่ายที่กวาดตามองและไปหยุดที่เซียวฉางเฟิง“เจ้านิกายมีคำสั่ง,ศิษย์ตระกูลเซียวทั้งหมดจะถูกขับออกจากนิกายเหล่ยฉิวเจี้ยนและจะต้องออกจากนิกายภายในครึ่งชั่วยาม.”
เซียวฉางเฟิงที่ระงับความโกรธเกรี้ยวเอาไว้,จ้องมองด้วยแววตาเย็นชา“ทำไม?!”
เขาไม่เข้าใจจริง ๆ,ทำไมซ่งหนิงออกคำสั่งไล่ศิษย์ตระกูลเซียวทั้งหมดออกในทันที.
นอกจากนี้,เขาเพิ่งผ่านการทดสอบ,วันนี้ซ่งหนิงกลับไล่เขาออก,ทำไมจึงเป็นเช่นนี้?!
หัวหน้าคุมกฎไม่สนใจเซียวฉางเฟิงแม้แต่น้อย,เขาหันไปเอ่ยกับสมาชิกคุมกฏด้านหลัง“เจ้านิกายสั่งการ นับจากนี้ศิษย์ตระกูลเซียวที่จากไป,ไม่อนุญาตให้นำสิ่งใดของนิกายเหล่ยฉิวเจี้ยนออกไปได้แม้แต่สิ่งเดียว.”
“ให้ทุกคนตรวจสอบศิษย์ตระกูลเซียวทุกคนก่อนจะจากไป.”
เซียวฉางเฟิงที่ได้ยิน,ใบหน้ากลายเป็นอัปลักษณ์.
ความหมายของซ่งหนิงนั้นชัดเจน,สิ่งของที่เป็นของนิกายเหล่ยฉิวเจี้ยน,ไม่อนุญาตให้ตระกูลเซียวนำออกไป.
“ข้าต้องการพบซ่งหนิง!”เซียวฉางเฟิงที่ใบหน้ากลายเป็นมืดครึ้มเย็นชา.
หัวหน้าคุมกฎเอ่ย“ต้องการพบท่านประมุข,ให้บิดาของเจ้ามา.”
ใบหน้าของเซียวฉางเฟิงที่กลายเป็นอัปลักษณ์,ความหมายของผู้คุมกฎนั้นชัดเจน,ว่าเขาไม่มีคณะสมุบัติ?!
หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม.
เซียวฉางเฟิงและเหล่าศิษย์ตระกูลเซียวทั้งหมดเวลานี้ยืนอยู่ที่เชิงเขานิกายเหล่ยฉิวเจี้ยน,ด้วยใบหน้าซีดเซียว.
“ซ่งหนิงทำเกินไปแล้ว!”เหล่าผู้ฝึกตนตระกูลเซียวเอ่ยคำรามด้วยความโกรธ.
“นายน้อย,แล้วเจ้าหนุ่มนั่น,ยังให้พวกเราจับตาดูต่อหรือไม่?”ศิษย์ตระกูลเซียวที่ลังเลเอ่ยเสนอความคิดเห็นออกมา.
เซียวฉางเฟิงที่ใบหน้ามืดครึ้ม,ก่อนส่ายหน้าไปมา“กลับตระกูลก่อน,เจ้าหนุ่มนั่น,ไม่มีทางหนีไปไหนได้หรอก!”
ทว่าในนิกายเหล่ยฉิวเจี้ยน,เหล่าผู้ฝึกตนที่เห็นศิษย์ตระกูลเซียวทั้งหมดถูกขับออกจากนิกาย,ต่างก็เผยความประหลาดใจออกมา.
เดิมทีพวกเขาคิดว่าการที่ศิษย์ตระกูลเซียวถูกขับออกจากนิกายเป็นแค่ข่าวลือ,ทว่ากับเป็นเรื่องจริงอย่างคาดไม่ถึง.
อย่าว่าแต่คนอื่นเลย,แม้แต่เซียวฉางเฟิงและคนตระกูลเซียวก็ไม่เข้าใจว่าทำไมซ่งหนิงทำเช่นนี้.
ไท่หงเทาที่อยู่ข้างกงจู่ไท่เหยี่ยนเอ่ย,“ตระกูลเซียวถูกขับออกจากนิกาย,เรื่องนี้คงเป็นความตั้งใจของอาวุโสเฉินหง!”
ศิษย์ตระกูลเซียวทั้งหมดถูกขับออกจากนิกาย,ไม่ใช่การตัดสินใจของซ่งหนิงอย่างแน่นอน.
กงจูไท่เหยียนที่เผยความประหลาดใจ“อาวุโสเฉินหงรึ? ทว่าทำไมอาวุโสเฉินหงถึงได้ทำเช่นนั้นกันล่ะ?”
ไท่หงเทาส่ายหน้าไปมา,“ข้าไม่เข้าใจเหมือนกัน,มีข่าวที่เพิ่งได้รับมา,เอ่ยว่าอาวุโสเฉินหงนั้นเพิ่งรับสตรีนาม ลู่เสี่ยวยวีเป็นศิษย์ส่วนตัวด้วย.”
“ลู่เสี่ยวยวี?”กงจู่ไท่เหยียนที่เผยความประหลาดใจ“ลู่เสี่ยวยวี,มีพรสวรรค์สูงขนาดนั้นเลยรึ?”
“มีเพียงกายากระบี่ที่ไม่สมบูรณ์.”ไท่หงเทาโบกมือ,เอ่ยออกมาว่า“ข้าได้ตรวจสอบมาแล้ว,ลู่เสี่ยวยวีนั้น,เป็นเพียงศิษย์กองกำลังอันดับสอง,สำนักอาชูร่า,นอกจากนี้สามปีที่แล้ว,สำนักอาชูร่า,ยังถูกนิกายหมื่นปิศาจทำลายไปแล้ว.”
กงจูไท่เหยียนที่ขมวดคิ้วแน่น.
เฉินหงไม่เพียงไม่รับเซียวฉางเฉิงที่มีพรสวรรค์สูงสุด,แต่กับรับลู่เสี่ยวยวีที่เป็นใครไม่รู้เป็นศิษย์ส่วนตัว.
ยิ่งคิดยิ่งไม่เข้าใจ,เฉินหงต้องการทำอะไร.
“ชายหนุ่มที่ดึงกระบี่เพลิงชาติได้นั้น,ข้าได้สืบแล้ว,เขามีนามว่าลู่อี้ผิง.”ไท่หงเทาเอ่ย,“ส่วนมาจากตระกูลไหน,ไม่อาจตรวจสอบได้.”
“ใช่แล้ว,ลู่เสี่ยวยวีนั้นเดินทางมาทดสอบเข้าร่วมนิกายเหล่ยฉิวเจี้ยน,พร้อมกับลู่อี้ผิง.”
กงจู่ไท่เหยี่ยนที่เผยความตกใจออกมา.
ชายหนุ่มชุดสีน้ำเงินลู่อี้ผิงเดินทางมาพร้อมกับนางอย่างงั้นรึ?
กล่าวได้ว่า,เด็กสาวที่นั่งอยู่ข้างลู่อี้ผิงตอนนั้นคือลู่เสี่ยวยวี?
นางที่จมอยู่ในความคิดทันที.
......
สนามรบแห่งทวยเทพ,นี่คือสนามรบยุคโบราณ,ที่เหล่าเทพต่อสู้กัน,แม้นว่าเหตุการณ์จะผ่านมาเนิ่นนานหลายปีแล้ว,ทว่าสนามรบแห่งทวยเทพ,ยังมีพลังที่น่าเกรงขามของเหล่าเทพหลงเหลืออยู่,ทั่วทุกหนแห่งมีมหาค่ายกลปิดกั้นเอาไว้ตั้งแต่ยุคบรรพกาล.
ดังนั้น,พื้นที่สนามรบแห่งทวยเทพ,ปรกติแล้ว,น้อยคนนักจะเดินทางมาที่นี่.
ในวันนี้,สถานที่เปลี่ยวร้าง ชายขอบของสนามรบแห่งทวยเทพ,ปรากฏราชรถสีทองขึ้นที่นี่.
สนามรบแห่งทวยเทพ,ไร้ซึ่งพลังวิญญาณแห่งชีวิต,ทุกหนแห่งเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตายสีเทาที่มากมายไร้สิ้นสุด.
ทว่าเมื่อราชรถสีทองมาถึง,พลังสีเทาไร้สิ้นสุดที่พัดกรูเข้ามา ก็ถูกกวาดม้วนลบออกไปอย่างรวดเร็ว.
ราชรถสีทองที่มาหยุดที่ชายขอบสนามรบแห่งทวยเทพ.
ลู่อี้ผิงนั่งอยู่บนราชรถ,จ้องมองสนามรบแห่งทวยเทพที่กว้างใหญ่ไพศาล,ด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อนปนเป.
ในเหตุการณ์สงครามแห่งทวยเทพ,สหายของเขามากมาย,ล่วงหล่นตกตายที่นี่!
แม้แต่ศพก็ยังไม่เหลือ.
“เสี่ยวจิน,ไปเถอะ.”ในเวลานั้น,ลู่อี้ผิงเอ่ยออกมาเล็กน้อย.
วัวกระทิงมังกรเขาทองคำที่ก้าวลากรถออกไปช้า ๆ.
ราชรถทองคำที่ก้าวตัดผ่านเข้าไปในสนามรบแห่งทวยเทพทันที.
ลมปราณแห่งความตายสีเทาที่สลายหายไปเมื่อพวกเขาเคลื่อนที่ผ่าน,ไม่อาจขวางกั้นพวกเขาเอาไว้ได้.
ลู่อี้ผิงที่กวาดตามองพื้นที่รอบ ๆ,เมฆลมปราณแห่งความตายที่รวมตัวกันอย่างหนาแน่น,ทำให้เขาขมวดคิ้ว,ปรกติแล้ว,เวลาผ่านมานานขนาดนี้,ลมปราณแห่งความตาย,ควรที่จะสลายหรือเบาบางลง,ทว่ามันกับแข็งแกร่งขึ้นเป็นอย่างมาก!
เห็นชัดเจนว่า,มีใครบางคนนำมหาค่ายกลออกมาวางที่นี่,เพื่อตรึงลมปราณแห่งความตายไม่ให้สลายหายไป.
แม้แต่หล่อเลี้ยงให้มันแข็งแกร่งขึ้นอีกด้วย.
เป็นใครกัน?
เป็นไปได้ว่าเป็นฝีมือของคนที่อยู่เบื้องหลังของสงครามแห่งทวยเทพในอดีตหรือไม่?
คิดได้ดังนี้,ดวงตาของลู่อี้ผิงที่เผยความเย็นชาออกมา.
ราชรถสีทองยังเคลื่อนที่ไปด้านหน้า.
ทันใดนั้น,ร่างที่เต็มไปด้วยลมปราณแห่งความตาย,ดวงตาสีแดงโลหิต,เป็นอสุรกายที่น่ากวาดกลัวจู่ ๆก็พุ่งเข้ามาหาลู่อี้ผิงทันที.
นี่คือซือหลิง(undead),เป็นร่างที่ตกตายในดินแดนเทพแห่งความตาย,ที่ดูดซับลมปราณแห่งความตายมาเนิ่นนานหลายปีแล้ว.
ในดินแดนแห่งทวยเทพ,ยกเว้นซือหลิง(อันเดต) และเจียงซือ(ผีดิบ) แล้วก็ยังมีเทพบางคนที่บ่มเพาะด้วยการดูดซับลมปราณแห่งความตาย,เพื่อยกระดับพลังบ่มเพาะให้แข็งแกร่งขึ้นด้วย,ในดินแดนเหิงยวนแห่งนี้,มีหลายสำนักมารที่บ่มเพาะลมปราณแห่งความตาย แต่กระนั้นก็ใช่ว่าทุกคนจะกล้าเข้ามาในสนามรบแห่งทวยเทพแห่งนี้.
อย่างไรก็ตาม,เมื่อซือหลิงพุ่งเข้ามาใกล้ราชรถทองคำ,มันก็หยุดชงัก,ราวกับว่าได้พุ่งปะทะกับพลังที่มองไม่เห็น,จากนั้นร่างของมันก็แตกสลาย,กลายเป็นพลังสวรรค์และปฐพีไป.
ราชรถที่ไม่หยุดแม้แต่น้อย.
ไม่อาจมีพลังใดสามารถขวางกันเอาไว้ได้.
หนึ่งวันผ่านไป.
ลู่อี้ผิงก็มาหยุดที่ยอดเขาแห่งหนึ่ง.
ยอดเขาแห่งนี้,ลองมองแต่ไกล,จะเห็นว่ามันเหมือนกับคมดาบที่กำลังทะลวงท้องฟ้า,บนยอดเขานั้นราบเรียบเหมือนกับแผ่นกระจก,แต่กับแผ่กลิ่นอายที่รุนแรงทำให้ผู้คนมึนงงได้.
“มหาค่ายกลเขตแดนชำระสะกดวิญญาณ!” หลังจากมองเห็นยอดเขา,แววตาของลู่อี้ผิงกลายเป็นเย็นชาขึ้นมา.
มหาค่ายกลแดนชำระสะกดวิญญาณนั้นเป็นหนึ่งในสิบ ของมหาค่ายกลศักดิ์สิทธิ์ในยุคโบราณ.
จะต้องเป็นกลุ่มอิทธิพลที่แข็งแกร่งไม่น้อยที่สามารถสร้างมหาค่ายกลแดนชำระสะกดวิญญาณที่นี่ได้,ด้วยเหตุนี้ทำให้สนามรบแห่งทวยเทพ,ลมปราณแห่งความตายที่ผ่านมาเนิ่นนานหลายปีจึงไม่ยอมสลาย,แม้แต่แข็งแกร่งขึ้น.
สายตาของเขาที่จับจ้องมองมหาค่ายกลเขตแดนชำระสะกดวิญญาณ,ที่เชิงเขา.
มันมีค่ายกลมากมายนับไม่ถ้วนกระจายไปจนถึงยอดภูเขา.
อย่างไรก็ตามรถของลู่อี้ผิงยังคงวิ่งตรงไป,ทะลวงผ่านค่ายกลชั้นแล้วชั้นเล่า,ผ่านค่ายกลตั้งแต่เชิงเขาไปจนถึงยอดเขา.
ผ่านไปนานเหมือนกัน ก่อนที่จะมาถึงยอดเขา,ซึ่งพบว่าบนนั้นเป็นพื้นที่ปิดแยกออกมา.
พื้นที่ดังกล่าวนั้นมีขนาดใหญ่มาก,นอกจากนี้ยังมีแม่น้ำแห่งความตายมากมายหลายแห่งบนนี้.
หากมองลงมาจากบนท้องฟ้าจะพบว่ามันมีค่ายกลบูชายันต์ขนาดใหญ่,บนแท่นบูชายันต์นั้น,มีมหาค่ายกลเขตแดนชำระล้างสะกดวิญญาณที่กำลังหมุนวนโคจร,ลมปราณแห่งความตายในสนามรบแห่งทวยเทพถูกส่งมายังที่นี่ไม่หยุดหย่อน.
กล่าวได้ว่าลมปราณแห่งความตาย,ที่นี่แข็งแกร่งจนรวมตัวเป็นแก่นแห่งความตาย,กำลังลอยอยู่บนอากาศ,รวมตัวกันเป็นหมอกและกลั่นเป็นของเหลวนั่นเอง.
ถึงจะเป็นจักรพรรดิโบราณ,หรือแม้แต่มหาจักรพรรดิ,หากเข้ามาที่นี่,จะต้องถูกปนเปื้อนด้วยลมปราณแห่งความตาย,แม้แต่ทำให้ร่างกายเน่าสลายแทบจะในทันที.
ลู่อี้ผิงที่ร่อนลงที่แท่นบูชายันต์ ซึ่งบนนั้นมีร่างสี่ร่างที่ปกคลุมด้วยลมปราณแห่งความตายลอยอยู่.