Chapter 1 Related Sacred Forest legend
有关神圣森林的传说
ป่าศักดิ์สิทธิ์
นี่คือพื้นที่ต้องห้ามของต้นกำเนิดพิภพที่ยังยืนคงอยู่มาจนถึงปัจจุบัน.
เกี่ยวกับตำนานของเป่าศักดิ์สิทธิ์นั้นมีมากมาย.
มีบางคนเอ่ยว่า,ที่นี่คือสถานที่อาศัยของตัวตนไร้เทียมทานคงอยู่,ทว่าบางคนก็บอกว่าป่าศักดิ์สิทธิ์นั้นมีตัวตนที่น่าพรั่นพรึงที่แม้แต่เหล่าปิศาจร้ายยังหวาดกลัวคงอยู่.
ไม่ว่าใครจะมีความเห็นอย่างไร,ความหมายที่คล้าย ๆ กัน,บอกไว้ว่า,ป่าศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้,มีตัวตนที่ไม่อาจล่วงเกินได้อาศัยอยู่ในนั้น.
ผ่านมาเนิ่นนานเวลานับไม่ถ้วน,หลายพันตระกูลกำเนิด,หลายหมื่นสุดยอดนิกายที่รุ่งโรจน์ผุดเป็นดอกเห็ด,ก่อนที่จะล่มสลายหายไป,แม้แต่ผืนแผ่นดินบางแห่ง ยังกลายเป็นท้องทะเล.
ทว่าพื้นที่สุดท้ายของต้นกำเนิดพิภพเพียงแห่งเดียวที่ยังคงเหมือนเดิมนั่นก็คือป่าศักดิ์สิทธิ์.
ป่าศักดิ์สิทธิ์,ไม่รู้ว่าคงอยู่มากี่ปีแล้ว,แม้แต่เหล่าบรรพชนที่มีอายุมากที่สุดยังไม่รู้เลยว่าป่าศักดิ์สิทธิ์มีมานานแล้วกี่ปี.
ในวันหนึ่ง.
บนท้องฟ้าของป่าศักดิ์สิทธิ์,ปรากฏเมฆสายฟ้ามากมายมารวมตัวกันในทันที,นอกจากนี้ยังแพร่ขยายออกไปรอบ ๆ อย่างรวดเร็ว,พลังอำนาจทำลายล้างที่น่าอัศจรรย์,ฟุ้งกระจายเพิ่มแรงกดดันกวาดม้วนออกไปรอบ ๆ,พริบตาเดียว,ทั่วทั้งป่าศักดิ์สิทธิ์ก็ปกคลุมด้วยพลังทำลายล้างที่น่าขนลุกไปแล้ว.
อย่างไรก็ตาม,สายฟ้าทำลายล้าง,ไม่ได้ปกคลุมแค่ป่าศักดิ์สิทธิ์,มันยังกระจายออกไปรอบ ๆ ด้วยความเร็วเกินจะกล่าว.
เพียงไม่นาน,ทวีปเทพยุทธ์(เซิ่งอู๋)ที่อยู่ของป่าศักดิ์สิทธิ์,เวลานี้ถูกปกคลุมด้วยทัณฑ์สายฟ้าทำลายล้างแล้ว.
ทวีปเซิ่งอู๋,เหล่าบรรพชนชราของสุดยอดนิกาย,อสุรกายเฒ่าของราชวงศ์ต่าง ๆ ที่ตื่นขึ้นจากแรงกดดันอำนาจทำลายล้างที่จู่ ๆ ปรากฏขึ้นมา,พวกเขาเงยหน้าขึ้นมองสายฟ้าทำลายล้างด้วยความหวาดกลัวจนขวัญผวา.
ทะเลสายฟ้าที่บนท้องฟ้ากำลังสั่นคลอนท้องฟ้า,บรรพชนชราไท่อู๋จี้,นี่คือราชวงศ์จักรพรรดิอู๋จี้ที่อยู่ใกล้กับป่าศักดิ์สิทธิ์ที่สุด,ทั่วทั้งแผ่นดินกำลังสั่นสะเทือนไปมา.
สายฟ้าทำลายล้างที่ปรากฏขึ้นนี้,หากมันฟาดลงมาสักครั้ง,เกรงว่าทั้งเมืองจักรพรรดิคงจะสลายหายไปกลายเป็นความว่างเปล่าแน่นอน.
“นี่มันสายฟ้าเทวะอะไรกัน?”
“ท่ามกลางสวรรค์และปฐพี,มีทัณฑ์เทวะที่น่าหวาดกลัวขนาดนี้เลยรึ? ถึงแม้แต่ทัณฑ์สายฟ้าของผู้สำเร็จเป็นเทพสวรรค์ยังไม่น่าหวาดกลัวขนาดนี้เลย!”
ไท่อู๋จี้ที่ผวา หวาดกลัวอย่างที่สุด.
“สืบสวนแล้วรึยัง? สายฟ้าทำลายล้างนี้,เกิดจากอะไร?”ไท่อู๋จี้สอบถามเหล่ายอดฝีมือมากมายในราชวงศ์.
“เรียนบรรพชน,ได้ตรวจสอบแล้ว,ต้นเหตุของทัณฑ์สายฟ้าทำลายล้างคือพื้นที่ต้องห้ามของป่าศักดิ์สิทธิ์!”ยอดฝีมือราชวงศ์คนหนึ่งเอ่ยรายงาน,เขาได้เอ่ยถึงพื้นที่ต้องห้ามป่าศักดิ์สิทธิ์,ด้วยน้ำเสียงสั่นเท่าอย่างช่วยไม่ได้.
“อะไรนะ,พื้นที่ต้องห้ามป่าศักดิ์สิทธิ์!”ไท่อู๋จี้และเหล่ายอดฝีมือราชวงศ์จักรพรรดิอู๋จี้ต่างก็สูดหายใจที่เย็นยะเยือบเข้ามา.
“มีตัวตนที่สำเร็จเทพสวรรค์อย่างงั้นรึ?”ยอดฝีมือของราชวงศ์จักรพรรดิไท่อี้เอ่ยคาดเดาด้วยความตกใจ.
ไท่อู๋จี้ส่ายหน้าไปมา,“แม้แต่เทพสวรรค์ข้ามทัณฑ์สวรรค์,ทัณฑ์สายฟ้ายังไม่น่ากลัวขนาดนี้เลย.”
“เคยได้ยินมาว่าในอดีตนั้น,จักรพรรดินิหงเฟยเคยเข้าไปในป่าศักดิ์สิทธิ์,อยู่ที่นั้นสิบปี,หลังจากออกมา,ก็กลายเป็นผู้ไร้เทียมทาน,สามารถก่อตั้งจักรวรรดิหงเทียนขึ้นมาได้!”
“แม้แต่เทพยุทธ์จิวเจว่วิหารเทพยุทธ์เองก็เคยเข้าไปในป่าศักดิ์สิทธิ์.”
บรรพชนชราราชวงศ์ไท่จี้กลืนน้ำลายลงคอเสียงดัง.
ดวงตาไท่อู๋จี้ที่เป็นประกายเอ่ยออกมาว่า“เกี่ยวกับตัวตนในตำนาน,เรื่องเล่าเหล่านั้น,ไม่มีใครรู้ว่าเป็นจริงหรือเท็จ.”
“เป็นไปได้ว่า,ภายในป่าศักดิ์สิทธิ์นั้น,อาจมีตัวตนไร้คู่เปรียบคงอยู่จริง”
“มีบางคนเอ่ยว่า,ด้านในนั้นมีน้ำพุศักดิ์สิทธิ์,หากใครได้อาบจะสามารถเกิดใหม่เป็นนักบุญได้.”
โลกภายนอกผู้คนต่างก็คาดเดาไปต่าง ๆ นา ๆ.
ทันใดนั้น,ทะเลสายฟ้าที่น่าพรั่นพรึงปกคลุมไปทั่วทวีปเทพยุทธ์,จู่ก็ไหลมารวมตัวกันกลายเป็นเสาสายฟ้าในทันที,จากนั้นบนพื้นที่ป่าศักดิ์สิทธิ์ก็เกิดระเบิดเสียงดังสนั่น.
พริบตาที่เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว,ทั่วทั้งสวรรค์และปฐพีก็กลายเป็นมืดมิดลงในทันที.
ดวงตาที่เจ็บปวดทำให้ทุกคนแทบหลับตาลงในทันที.
ผ่านไปชั่วครู่ ขณะที่ทุกคนลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง,ฟ้าดินกับได้คืนกลับสู่ความปรกติแล้ว,ท้องฟ้าใสกระจ่าง,แสงตะวันที่อาบไล้ไปทั่วผืนพิภพ,เมฆสายฟ้าที่น่าพรั่นพรึงได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย.
ทุกคนต่างก็จ้องมองหน้ากันและกันด้วยความงงงวย.
ทว่าในเวลานั้น,ภายในพื้นที่ป่าศักดิ์สิทธิ์,บนนิ้วมือของลู่อี้ผิง,กลุ่มก้อนสายฟ้าที่น่าขนลุกได้มารวมตัวกัน.
บอลสายฟ้า,นี่คือก็ทัณฑ์สายฟ้าที่ระเบิดไปก่อนหน้านี้,มันได้มารวมตัวที่นิ้วของเขา,ถูกบีบอัดเข้าหากันซ้ำแล้วซ้ำเล่า,จนกลายเป็นบอลสายฟ้ามีขนาดเท่ากับศีรษะ
ทัณฑ์สายฟ้าที่น่าพรั่นพรึง,มันมีพลังทำลายล้างมากกว่าทัณฑ์เทพวิญญาณ,ทว่ามันกับถูกรวมเอาไว้ที่นิ้วของลู่อี้ผิงแล้ว.
ภายใต้การบีบอัดรวมเข้าด้วยกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า,บอลสายฟ้าที่ลดขนาดลงอย่างต่อเนื่อง,ท้ายที่สุดก็มีขนาดเท่าหัวแม่มือ.
จากนั้น,ลู่อี้ผิงก็กลืนมันลงท้องทันที.
ทันใดนั้น,ปราณสายฟ้า,ที่แล็บแปล๊บ ๆ ไปทั่วทุกรูขุมขนของเขา.
ทว่าเพียงไม่นาน,ก็หยุดลง.
ลู่อี้ผิงดูดซับพลังทัณฑ์สายฟ้าไปจนหมด,ยังคงยืนได้อย่างมั่นคงสบาย ๆ,ใบหน้าที่ประณีตเผยยิ้มออกมาเล็กน้อย,ท้ายที่สุดศาสตร์วิชาลับอมตะก็มาถึงขั้นสุดท้ายแล้ว.
ไม่คาดคิดว่าทัณฑ์สายฟ้าที่ทุกคนหวาดกลัว,กับเป็นเพียงแค่อาหารขบเคี้ยวสำหรับเขา.
อืม,ตอนนี้ศาสตร์ลับอมตะขั้นสุดท้าย,ถึงแม้นว่าจะพบกับภัยพิบัติของฟ้าดิน,ข้าตอนนี้ ก็ควรจะมีพลังปกป้องรักษาชีวิตตัวเองได้แล้วใช่ใหม?
ถึงเวลาออกไปเปิดหูเปิดตาโลกภายนอกแล้ว.
ไม่รู้ว่าโลกภายนอกเวลานี้,จะเป็นเช่นไร.
ลู่อี้ผิงที่ก้าวไปยังหอตำรา.
นี่คือหอตำรา,ที่มีหนังสือมากมายละลานตา,เป็นสมบัติของเหล่าทวยเทพในยุคแห่งบรรพกาล,วิชาบ่มเพาะ,วิชาลับของเหล่าเทพวิญญาณที่ตกตายทิ้งเอาไว้.
รอบ ๆ ผนังของหอตำรานั้น,มีค่ายกลเทวะที่ส่องแสงสว่างวับวาว.
ผ่านมานานกี่ปีแล้วไม่รู้,เขาที่ฝึกฝนศาสตร์ลับอมตะ,ตำราเหล่านี้เป็นเพียงตำราอ่านฆ่าเวลาเท่านั้น,ไม่ได้มีแค่ทักษะวิชาบ่มเพาะ,ยังมีศาสตร์ศิลปะทั้งสี่,หลักการแพทย์,ค่ายกล,วิชาบัญชาอสูร,แม้แต่ตำราปรุงยาก็มี.
อย่างไรก็ตาม,ดูเหมือนว่ายังคงเหลือวิชาระฆังฮุ่นตุ้น ตำราเล่มสุดท้ายที่เขายังไม่ได้อ่าน.
เขาตัดสินใจที่จะศึกษาอาคมระฆังฮุ่นต้นหลังสุด.
แม้นว่าจะคิดเช่นนั้น,ทว่าความแข็งแกร่งเวลานี้ของเขาก็ไม่ได้อ่อนแอ,วิชาอาคมป้องกันมากมายที่สำเร็จ,น่าจะมีพลังป้องกันชั้นยอดไปแล้วเช่นกัน.
หลังจากนั้นสองสามวัน.
ชายในชุดสีน้ำเงิน,รูปลักษณ์ดูเหมือนผู้เยาว์วัย 20 ปี,ลู่อี้ผิงก็ก้าวออกจากพื้นที่ต้องห้าม,ป่าศักดิ์สิทธิ์.
ก่อนหน้านี้นานแล้ว,เขาเคยเดินทางมาถึงชายของป่าศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น.
พื้นที่รอบ ๆ ชายขอบป่าศักดิ์สิทธิ์นั้น,มีภูเขาหนึ่งแสนลูก,ภูเขาเหล่านี้,ต่างก็มีเทพวิญญาณมากมายอาศัยอยู่,มีแม้แต่สัตว์ร้ายระดับเทพแท้จริงอยู่ด้วย.
ลู่อี้ผิงที่กวาดตามองเทือกเขาที่กว้างใหญ่,ก่อนก้าวเท้ามุ่งตรงผ่านไป,ทันใดนั้นบนยอดเขาแต่ละแห่งร่างของเขาก็ผลุบ ๆ โผล่ ๆ ,ทุกหนแห่งที่ลู่อี้ผิงผ่าน,เหล่าเทพวิญญาณแม้แต่สัตว์ร้ายระดับเทพแท้จริง,ต่างก็ต้องหมอบลงบนพื้น,ตัวสั่นงันงก.
การก้าวย่างเดินทางของเขา,ที่ราวกับเป็นผู้เชี่ยวชาญของนิกายอสูรที่ชำนาญการควบคุมสัตว์ร้าย.
เหล่าผู้เชี่ยวชาญ,ที่ชำนาญในศาสตร์แขนงต่าง ๆ ที่มีความสามารถต่างกัน,นอกจากนี้วิชาบ่มเพาะของแต่ละแขนงยังพิเศษยากจะเข้าใจ,ทว่าสำหรับลู่อี้ผิงแล้วเพียงแค่กวาดตามองผ่านก็สามารถเข้าใจได้อย่างสมบูรณ์แล้ว.
เวลานั้นเมื่อลู่อี้ผิงก้าวออกมาจากเขตแดนหนึ่งแสนภูผา,เขาก็เห็นเด็กสาววัย 13-14 ปี ที่กำลังไล่สังหารอสูรระดับต่ำกระต่ายเพลิงอยู่,ลู่อี้ผิงจึงหยุดลง.
วิชากระบี่ที่เด็กสาวคนนี้ใช้,แม้นว่าจะดูราบเรียบทั่วไป,ทว่ากับดูน่าเกรงขามไม่น้อย,แม้นว่าหลายกระบวนท่าจะไม่ค่อยได้เรื่อง,ทว่าหลายกระบวนท่าก็ร้ายกาจจริง ๆ.
หลังจากเด็กสาวสังหารกระต่ายเพลิงได้,ลู่อี้ผิงก็ก้าวเข้าไปหา.
สาวน้อยเห็นลู่อี้พิงก้าวเข้ามาใกล้,นางก็ยกระบี่ยาวขึ้น,เผยใบหน้าระมัดระวัง.
ลู่อี้ผิงเห็นเด็กสาวเต็มไปด้วยความระมัดระวัง,ทว่าก็หาได้สนใจ,เอ่ยสอบถามออกมาทันที“แม่นางน้อย,วิชากระบี่อาชูร่าไปเรียนรู้มาจากใครอย่างงั้นรึ?”
“วิชากระบี่อาชูร่าอย่างงั้นรึ?”สาวน้อยส่ายหน้าไปมา,“วิชากระบี่ที่ข้าใช้คือกระบี่อสูรต่างหาก,ไม่ใช่กระบี่อาชูร่าแต่อย่างใด.”
ลู่อี้ผิงที่ตกใจ.
สาวน้อยไม่สนใจลู่อี้ผิง,นางคว้าไปยังกระต่ายเพลิง,แล้วก้าวออกจากป่าอย่างเร่งรีบทันที.
ลู่อี้ผิงที่ครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะตามนางไป.
ผ่านไปนานเหมือนกัน,เขาก็เห็นหมู่บ้านขนาดเล็ก.
หมู่บ้านเล็ก ๆที่มีไม่กี่หลังคาเรือน,มีควันก่อไฟทำอาหารที่ลอยฟุ้งออกมา.
บางครั้งก็ได้ยินเสียงร้องตะโกน.
เมื่อเด็กสาวกลับมาถึงหมู่บ้าน,นางเห็นชาวบ้านที่เป็นผู้คุ้มกันหน้าหมู่บ้าน,เอ่ยออกมาเสียงดัง“เสี่ยวยวี,บิดาของเจ้าอาการเก่ากำเริบแล้ว,เจ้ารีบกลับไปดูเร็วเข้า.”
เด็กสาวที่ใบหน้าประณีตที่เปลี่ยนสีทันที,วิ่งหน้าตาตื่นเข้าไปในหมู่บ้านอย่างเร็วไว.
เด็กสาวนามลู่เสี่ยวยวีที่เข้าไปในบ้าน,เห็นบิดาของนางลู่เผิงที่ใบหน้าซีดเซียว,ที่พื้นอีกฝ่ายกระอักโลหิตสีดำเอาไว้,โลหิตสีดำที่แผ่ไอเย็นน่าตกใจออกมา.
“ท่านพ่อ,เป็นอย่างไรบ้าง?”ลู่เสี่ยวยวีที่ตกใจ,กล่าวสอบถามอย่างร้อนรน.
ลู่เผิงที่ส่ายหน้าไปมา,“ไม่เป็นไร.”