ตอนที่แล้วเรื่องย่อ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไป2. การทดสอบพลังวิญญาณ

1.ย้อนกลับไปเมื่อยี่สิบปีก่อน


"นี่คือชายคนที่เจ้าฝึกมาเพื่อหยุดข้าหรือ ช่างน่าสมเพชนัก!"

*ตุ๊บ!*

ท่ามกลางสถานที่ที่เคยเป็นป่าใหญ่ที่เคยอุดมสมบูรณ์ ตอนนี้กลายเป็นเพียงผืนดินที่แห้งแล้ง เต็มไปด้วยคูลึกและรูพรุนเจาะลึกลงไปในดินจนเห็นชั้นดินสีส้มที่อยู่ด้านล่าง

กลุ่มควันหนาทึบพวยพุ่งขึ้นจากหลายจุด เพิ่มความมืดคลื้มให้กับสถานที่แห่งนี้มากขึ้น ถ้ามองจากข้างบนลงมาคงจะทำให้สงสัยว่านี่เป็นนรกที่ตั้งอยู่ใจกลางสรวงสวรรค์หรือไม่

เห็นได้ชัดว่าเพิ่งมีการต่อสู้ที่รุนแรงเกิดขื้นในส่วนนี้ของโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งร่างกายที่แตกหักและแขนขาที่กระจัดกระจายไปทั่วบริเวณ

ท่ามกลางฉากนองเลือด มีร่างสามร่างยืนอยู่ตรงกลาง ร่างหนึ่งบินอยู่กลางอากาศสวมหน้ากากปิดหน้า ดูเย็นชาและเฉยเมยไม่ว่าพื้นดินรอบ ๆ จะนองเลือดและไร้ความปรานีสักเพียงใด

ข้างหน้าเขา มีชายอีกคนหนึ่งยืนอยู่กลางอากาศห่างออกไปหลายร้อยเมตร หมอนี่ดูประหลาด ตัวเขาแผ่ความรู้สึกของสัตว์อสูรที่โหดร้าย อีกทั้งหางทั้งเก้าที่เต้นเร่าอยู่ด้านหลัง เขาเป็นสัตว์อสูรที่เพียงใครแค่เหลือบมองก็เกิดความกลัว

กึ่งกลางระหว่างคนทั้งสอง มีร่างที่แตกสลายของชายหนุ่มคนหนึ่งนอนราบอยู่กับพื้นอย่างหมดหนทางและไร้พลัง ร่างกายมีรอยถูกฟันหลายแห่ง จนชุดเกราะที่แตกร้าวถูกย้อมไปด้วยเลือด

เพียงแค่การโบกหางง่ายๆของสัตว์อสูร  ก็ยกร่างของชายหนุ่มที่บาดเจ็บอย่างหนักลอยขึ้นมา วนเป็นวงกลางอากาศหนึ่งรอบก่อนที่จะถูกโยนลงบนพื้น หางแทงทะลุหน้าอกเหมือนหอกที่หยุดไม่อยู่

ร่างขนาดยักษ์ของสัตว์อสูรรูปร่างคล้ายมนุษย์ยืนอยู่กลางอากาศราวกับเทพผู้ไร้ความปรานี เสมือนขุนเขาที่บดบังดวงอาทิตย์ ในตอนแรกเขาไม่ได้ดูตัวใหญ่ขนาดนี้ แต่ในตอนนี้ในสายตาของชายหนุ่มเขาเปรียบเสมือนสิ่งมีชีวิตที่ไม่สามารถเอาชนะได้

'มันเป็นแบบนี้ได้อย่างไร' แม้พลังของทั้งคู่จะเทียบกันไม่ได้อย่างชัดเจน แต่ชายหนุ่มก็ยังรู้สึกขมขื่น มันดิ่งลึกลงไปในจิตวิญญาณและหัวใจของเขา เขาทำดีที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว แต่ก็ยังล้มเหลวอยู่ดี

“พวกมันทั้งหมดล้วนเป็นขยะ” สัตว์อสูรกวาดสายตาไปรอบ ๆ มองไปยังพื้นดินที่เกลื่อนไปด้วยเลือดและอวัยวะของลูกศิษย์ทั้งยี่สิบคนที่ถูกสังหารของปรมาจารย์ที่สวมหน้ากากและเสื้อคลุมผู้ยืนอยู่กลางอากาศห่างจากเขา “ข้ามีความคาดหวังสูงมากต่อการเผชิญหน้าของเรา แต่นี่หรือคือผลลัพธ์… ช่างน่าผิดหวังจริงๆ!”

“อย่าประเมินตัวเองสูงเกินไป เจ้าเป็นเพียงสุนัขจิ้งจอก ไม่ใช่เทพ!” ชายหนุ่มพูดด้วยเสียงอ่อนล้า แต่แฝงไปด้วยความไม่ยอมจำนน  เต็มเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นและการท้าทาย

"เจ้า…"

*วูซซ!*

หางข้างหนึ่งขยับพาชายหนุ่มไปหยุดห่างจากใบหน้าสัตว์อสูรเพียงไม่กี่เมตร ตอนนี้ ชายหนุ่มมองเห็นใบหน้าที่แท้จริงของศัตรูได้อย่างชัดเจนเป็นครั้งแรก

ผิวเหลืองซีด มีรอยแตกร้าวจากนั้นก็แตกสลายก่อนจะมาเป็นแบบเดิมอีกครั้ง มันเหมือนกับว่าร่างของมันกำลังพังทลายลง แต่ก่อนจะถูกทำลายในชั่วพริบตา มันถูกนำกลับมารวมกันอีกด้วยพลังบางอย่างที่ไม่รู้จัก

ดวงตารูปไข่สีเหลืองทองคู่นั้นไม่มีวี่แววของความเป็นมนุษย์หรือความเมตตา ต่างจากใบหน้าของมัน ที่ทำให้ทุกคนรู้สึกได้ว่าเป็นชายหนุ่มรูปงาม หางขนาดใหญ่เก้าหางตั้งชี้ขึ้นด้านหลัง เต้นไปมาในอากาศราวกับมีความคิดเป็นของตัวเอง

มีเพียงหางเท่านั้นที่บ่งบอกอย่างชัดเจนว่ามันไม่ใช่มนุษย์ หางข้างหนึ่งแทงทะลุหน้าอกของชายหนุ่ม โผล่ออกมาจากหลังในจุดที่ต่างจากการโจมตีครั้งก่อน นี่เป็นหลักฐานแสดงว่าเจ้าสัตว์อสูรตัวนี้ไม่ได้มีความใจดีหรือมีเมตตาแม้สักส่วนเสี้ยว

“ข้าไม่นึกเลยว่าเจ้าจะรับคนโง่มาเป็นศิษย์” สัตว์อสูรไม่สนใจใบหน้าซีดขาวที่เต็มไปด้วยความกราดเกรี้ยวของชายหนุ่ม มันมองข้ามไหล่ของชายที่ใกล้จะะตาย ไปยังคนสวมชุดคลุมที่ลอยอยู่กลางอากาศอย่างเย้ยหยัน

"ฆ่ามัน!" เสียงทุ้มลึกแต่เด็ดขาดแว่วมาจากคนในชุดคลุมที่ลอยอยู่ คนผู้เป็นอาจารย์ที่เห็นศิษย์ถูกทำลายล้างภายใต้การโจมตีอันโหดร้ายของศัตรูที่ไม่น่าจะมีอยู่ในโลก

“เอาจริงๆหรือ? เจ้าจะไม่ร้องไห้เหรอ? ขอร้องข้าสิล่ะ? คาคาคะ!” สัตว์อสูรเหมือนจะขบขันราวกับเพิ่งได้ยินเรื่องตลกที่ที่สุดที่เคยได้ยินมา แต่มันไม่รู้ว่ามันกำลังเข้าใจผิดคิดว่าปรมาจารย์ตรงหน้าพูดกับมัน

“เจ้ามันน่ารังเกียจ มาร์ค! สัตว์อสูรไม่ควรมีพลังของเทพ! เจ้าจะตายที่นี่ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง!” ชายหนุ่มตะโกน ดิ้นรนเค้นคำพูดออกมาที่ละคำด้วยความยากลำบาก

ชายหนุ่มที่บาดเจ็บสาหัสชื่อวิลเลียม เขาเป็นปรมาจารย์จิตวิญญาณ ที่น่าเกรงขามในโลกนี้

วิลเลียมฝึกฝนร่วมกับคนที่เขาเรียกพี่เรียกน้องหลายคน เป็นเวลาหลายปี พวกเขาทำตามคำสอนอันยอดเยี่ยมของปรมาจารย์ในตำนาน เพื่อกำจัดสัตว์อสูรที่น่ากลัวตัวนี้

จิ้งจอกเก้าหางเป็นสัตว์อสูรที่น่ากลัว เป็นศัตรูที่น่ากลัวที่สุดเท่าที่เหล่าปรมาจารย์จิตวิญญาณเคยเผชิญหน้ามา แม้จะมีการฝึกฝนอย่างหนักและเตรียมตัวมาอย่างดี พวกเขาก็ล้มเหลวในการล้มเจ้าปีศาจตัวนี้ลง

“ใครหน้าไหนมันจะหยุดข้าได้ล่ะ คนที่ขาข้างหนึ่งก้าวข้ามประตูแห่งความตายไปครึ่งก้าวแล้วอย่างเจ้าที่หรือ?  หรือจะเป็นเจ้าปรมาจารย์ไร้ค่าที่ยืนอยู่ข้างหลังเจ้าและไม่สามารถแม้แต่จะขยับนิ้วต่อต้านข้า”

*แปร๊ป!*

วิลเลี่ยมอยากจะกรีดร้องและตะโกน อยากจะสบถออกมาหลายอย่าง แต่เขารู้ว่าวิญญาณเขาจวนจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆแล้ว เขามีพลังเหลืออยู่จำกัด  เขาไม่รอช้า ใช้การโจมตีที่รุนแรงที่สุดของเขาออกมา

จากคำพูดของอาจารย์ เขาหยิบของบางอย่างออกมาจากแขนเสื้อ ถือมันไว้ด้านหน้าแถวหน้าอกที่ใกล้กับหางที่โผล่ออกมามันเป็นหางที่โชกไปด้วยเลือดของเขา แค่ขยับมือง่ายๆ เขาก็ใช้เลือดของเขาทาลงบนไอเท็มนี้ได้โดยไม่แทบต้องออกแรง

“ลูกปัดแห่งโชคชะตา เป็นไปไม่ได้!” สีหน้าของสัตว์อสูรตัวนี้เปลี่ยนไปเป็นครั้งแรก เมื่อสัตว์อสูรจำลูกปัดที่ร้อยไว้ด้วยด้ายเส้นเล็กในมือของวิลเลียมซึ่งปกคลุมด้วยชั้นเลือดแดงบาง ๆ ของวิลเลียมได้ ก็มีเค้าลางของความกังวลบางเบาปรากฎขึ้นบนใบหน้าของมัน

"คาคาคะ แม้แต่ตอนที่เจ้ายังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ เจ้าก็ยังไม่สามารถเอาสิ่งนี้มาแตะต้องข้าได้แม้แต่น้อย" อย่างไรก็ตามร่องรอยกังวลนั้นหายไป ถูกแทนที่ด้วยสีหน้าเหยียดหยามในทันที

ขณะที่สัตว์อสูรกำลังหัวเราะเยาะ ด้ายก็เหมือนจะขาดออกจากกันด้วยตัวเอง ลูกปัดอันสวยงามทั้งเจ็ดลอยขึ้นในทันใด และเริ่มเปล่งแสงเรืองรอง พวกเขาเริ่มเรียงรายล้อมรอบตัววิลเลียม ลูกปัดแต่ละเม็ดเหมือนมีจักรวาลอยู่ภายใน ส่องแสงแวววับด้วยแสงนับพันนับหมื่น ขณะบินขึ้นลงเป็นจังหวะอย่างคาดเดาไม่ได้ พวกมันหมุนวนอยู่รอบตัวของชายที่บาดเจ็บ

ในบันทึกโบราณ ลูกปัดเหล่านี้เรียกว่าลูกปัดหมื่นแสง หรือลูกปัดปาฎิหารย์ ปกติมันดูเหมือนเครื่องประดับ แต่เมื่อกระตุ้นเปิดใช้งานจะกลายเป็นอาวุธร้ายแรง

“แล้วเราจะได้เห็นกัน” อาจารย์ในชุดคลุมพูดเสียงเย็นชา “จัดการซะ  จงเชื่อมั่นในสิ่งที่ข้าสอน ฆ่ามันเสีย”

มันเป็นแค่คำพูดเรียบง่ายธรรมดาแต่กลับทำให้หัวใจของวิลเลี่ยมสั่นไหวขึ้นมา

อาจารย์ของวิลเลียมไม่ใช่เป็นแค่ปรมาจารย์จิตวิญญาณธรรมดาๆ อาจารย์ยังเป็นผู้ช่วยชีวิตเขาไว้ด้วย ความเชื่อมั่นในถ้อยคำของอาจารย์ทำให้หัวใจที่จะใกล้ตายของเขากลับเต้นแรงด้วยความตื่นเต้น ตื่นเต้นที่จะทำให้สำเร็จแม้ว่ามันจะต้องแลกด้วยชีวิตก็ตาม

*หึ่มมมม!*

ไม่เป็นไปตามที่จิ้งจอกเก้าหางคาดไว้ ลูกปัดไม่ได้ปล่อยรังสีมรณะออกมาโจมตี แต่กลับสว่างขึ้นเรื่อยๆในขณะที่หยุดเคลื่อนไหว ราวกับถูกควบคุมด้วยพลังที่มองไม่เห็น

ถ้าวิลเลียมพยายามกระตุ้นเปิดใช้ลูกปัดด้วยพลังที่แทบจะไม่เหลือของเขา ก็คงไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่กลับไม่ใช่อย่างนั้น ชายหนุ่มกำลังพยายามทำบางสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวกว่านั้นให้สำเร็จ

“พยายามจะระเบิดพวกมันหรือ ข้าไม่มีทางปล่อยให้เจ้าทำได้หรอก เจ้ามนุษย์ที่น่ารังเกียจ!” จิ้งจอกเก้าหางไม่ได้โง่ มันจำการโจมตีทำลายตนเองที่อันตรายถึงตายที่ชายหนุ่มใกล้ตายเลือกที่จะทำได้

ถ้าวิลเลียมที่โชกเลือดเลือกที่จะโจมตีมันด้วยพลังของลูกปัด สัตว์อสูรคงจะไม่มีแม้เสี้ยวเวลาแม้แค่กระพริบตาที่จะสกัดกั้นการโจมตีนี้ได้ แต่นั่นต้องเป็นกรณีที่โจมตีสำเร็จ ทว่าท้ายที่สุด แม้ว่าพลังในการโจมตีจะมาจากพลังของลูกปัด แต่ความรุนแรงก็ยังขึ้นอยู่กับปริมาณพลังภายในร่างของผู้ใช้ด้วย

มนุษย์ที่อยู่หน้ามันเลือกที่จะสังเวยลูกปัดด้วยการระเบิดพวกมัน นั่นจะเปลี่ยนให้ทุกสิ่งกลายเป็นสิ่งเลวร้ายต่อสุนัขจิ้งจอกตัวนั้น

แค่เพียงแต่คิดก็ทำให้หนังศีรษะของสุนัขจิ้งจอกด้านชาได้แล้ว ลูกปัดเหล่านี้เป็นสมบัติที่ประเมินค่ามิได้ มันเป็นสิ่งที่ไม่มีสิ่งใดในโลกใบนี้สามารถเทียบเทียมได้ ปีศาจจิ้งจอกจึงคิดไม่ถึงว่าวิลเลียมจะกล้าสังเวยลูกปัดนั้น นั่นเป็นเหตุที่ทำให้มันลดการป้องกันตัวที่มีต่อมนุษย์คนนี้ลง

มันไม่รอให้ศัตรูโจมตีได้สำเร็จ สัตว์อสูรจิ้งจอกขยับหางทั้งหมดเจาะเข้าร่างของมนุษย์ผู้นี้ในทุกจุดที่สามารถสังหารได้

"ข้าคือจิ้งจอกเก้าหาง สิ่งมีชีวิตในตำนานที่เกิดภายใต้คำสาปแห่งสวรรค์! ข้าคือผู้ถูกกำหนดให้ทลายสิ่งกีดขวางและกลายเป็นเทพ ข้าจะไม่ปล่อยให้มดแบบเจ้าทำลายการบ่มเพาะ 10 ล้านปีอันมีค่าของข้า!ไม่ใช่แค่มนุษย์ที่น่าสมเพชเช่นเจ้าเท่านั้นที่แตะต้องข้าไม่ได้  แต่ไม่ว่าใครก็หยุดข้าไม่ได้!"

โลกเบื้องหน้าของวิลเลียมค่อยๆ เลือนลางลงช้าๆ  เหลือเพียงแค่ใบหน้าและเสียงคำรามของสัตว์อสูรเท่านั้นที่ยังคงอยู่

วิลเลียมรู้ดีว่าเขากำลังจะตาย เขารู้สึกได้ถึงพลังชีวิตที่รั่วไหลออกจากร่างเขาตลอดเวลา เขารู้สึกได้ถึงความเย็นและความชาที่ค่อยๆแผ่กระจายไปทั่วร่าง จนค่อยๆ สูญเสียการควบคุมไปทั้งหมด

ในตอนนี้วิลเลียมรู้สึกว่าโลกรอบตัวค่อยๆช้าลง เขาไม่รู้สึกตื่นตกใจหรือเสียใจ เขาเพียงแค่ยิ้ม… ด้วยรอยยิ้มเยาะเย้ยอันปรากฏขึ้นบนใบหน้าในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต

“เจ้าทำไม่ได้หรอก มนุษย์!” ห้วงขณะที่วิลเลียมกำลังจะโอบกอดความตายนั้น น้ำเสียงอันชั่วร้ายของสุนัขจิ้งจอกดังขึ้นในจิตใจของเขา

สัตว์อสูรพยายามโยนวิลเลียมออกไปเพื่อปลดปล่อยหางออกจากร่างของปรมาจารย์จิตวิญญาณวิปลาสนั่น แต่ไม่ว่ามันจะดิ้นรนแค่ไหนก็ตาม มันกลับไม่สามารถขยับหางได้แม้แต่นิ้วเดียว

พลังในลูกปัดเป็นเหมือนแม่เหล็กที่ดึงดูดศัตรูทั้งคู่ให้ถูกกักติดอยู่ในตาข่ายที่ไม่สามารถหนีรอดได้เอาไว้ด้วยกัน

“ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้ารอดชีวิตไปได้  ไม่ว่าวิธีไหนก็ตาม ต่อให้ข้าต้องทำอีกร้อยครั้งพันครั้ง ข้าก็จะฆ่าเจ้า! ฆ่าไอ้สารเลวนี้ให้ตาย!”

เสียงของวิลเลียมไม่ดังหรือน่าเกรงขาม แต่แฝงไปด้วยออร่าพิเศษในตัวมันเอง แม้แต่สัตว์อสูรในขณะนี้ สัตว์อสูรในตำนานผู้สร้างความหายนะและกระจายความหวาดกลัวเข้าสู่หัวใจและวิญญาณของสิ่งมีชีวิตทั้งหลายที่เกิดและอาศัยบนโลกใบนี้ ยังรู้สึกสั่นเทิ้มด้วยความหวาดกลัวที่เขย่าหัวใจแข็งอันกระด้างและเย็นชาของมัน

*บูมมมมม!*

ราวกับระเบิดนิวเคลียร์ ลูกปัดกระแทกเข้าหากันจากนั้นทั้งหมดก็กระแทกใส่ร่างของวิลเลียมกับสุนัขจิ้งจอกตัวนั้น การระเบิดครั้งใหญ่ก็ปะทุขึ้น กลืนกินทั้งมนุษย์และสัตว์อสูรเข้าไปในแสงสว่างอันเจิดจ้าของมัน

อย่างไรก็ตาม แม้จะถูกโจมตีเช่นนี้ สัตว์อสูรก็ยังไม่ตาย มันแค่บาดเจ็บสาหัส แต่ในท่ามกลางแรงระเบิดนี้ไม่มีใครสังเกตเห็นหยดเลือดสีทองขนาดใหญ่ร่วงหล่นลงจากหางที่ขาดของสัตว์อสูรซึมลึกลงในร่างกายของวิลเลียม

แสงวาบเจ็ดดวงพุ่งเข้ารวมกับร่างของวิลเลียมในชั่วพริบตา

"คาคาคา ข้ายังไม่ตาย ไอ้โง่! ข้ายังไม่ตาย คาคาคาคา!" นั่นคือสิ่งสุดท้ายของสัตว์อสูรที่ชายหนุ่มได้ยิน

"ข้าจะฆ่าเจ้า! ข้าสาบานต่อชีวิตข้านับพันชีวิต ข้าจะฆ่าเจ้าด้วยมือของข้าเอง!"

*ฮึก!* *ฮึก!* *ฮึก!*

ในเคบินไม้เล็ก ๆ มีพื้นที่แคบ ๆ ที่สามารถอยู่ได้แค่คนเดียว ร่างเล็ก ๆสะดุ้งตื่นจากการหลับใหล

เมื่อกี้เขากรีดร้องด้วยน้ำเสียงแปลกๆ พูดด้วยเสียงแหบพร่าราวกับมันมาจากส่วนลึกของขุมนรก

ร่างเล็กเต็มไปด้วยเหงื่อจนเสื้อผ้าธรรมดาที่ห่อหุ้มร่างเล็กๆของเขาเปียกโชก หน้าอกของเขาขยับขึ้นลงอย่างถี่เร็วราวกับเพิ่งวิ่งมาราธอนมา

“นี่…” เขาเป็นเด็กน้อยอายุไม่เกินสิบเอ็ดขวบ ร่างกายเขาเล็กมาก รูปร่างก็ผอมบางจนมองไม่เห็นกล้ามเนื้อเลยสักที่

แต่เขามีลักษณะที่ดื้อดึงแบบเดียวกันกับรูปลักษณ์ของชายหนุ่มที่ถูกแทงโดยจิ้งจอกเก้าหางด้วย

เด็กน้อยนั่งสงบสติอารมณ์อยู่ประมาณห้านาที จากนั้นก็เริ่มมองไปรอบๆ ยิ่งเห็นก็ยิ่งสงสัยจนตกตะลึง

"ที่นี่คือที่ไหน?" เขาค่อยๆ ดันผ้าห่มธรรมดาที่คลุมร่างของเขาออกช้าๆ ตอนนี้เขาเห็นร่างกายของเขาและอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว

เขายกมือทั้งสองข้างขึ้นมาตรงหน้าดวงตาเล็ก ๆ และตรวจสอบมัน มือเขาเล็ก นิ้วเรียว มีผ้าพันแผลสีขาวสกปรกพันกำปั้นไว้ทั้งสองข้าง เขามองไปที่ร่างคลุมด้วยผ้าสีขาวเรียบง่ายที่ทำจากผ้าที่ถูกที่สุด

“นี่…” ความคิดแวบเข้ามาในหัวของเขา เป็นความคิดที่เขาไม่กล้าเชื่อ ครู่ต่อมา เขาก็กระโดดลุกจากเตียงไม้เรียบง่ายและยืนอยู่หน้าโต๊ะไม้ตัวเล็ก

โต๊ะตัวนั้เป็นโต๊ะที่เรียบง่ายมากมีลิ้นชักเดียวและเก้าอี้ไม้หนึ่งตัว อะไรที่พิเศษหน่อยก็คงจะเป็นฝุ่นที่ปกคลุมมัน

บนโต๊ะตัวนั้น มีกระจกกลมอยู่ มันมีขนาดเล็กเพียงแค่ส่องให้เห็นใบหน้าเขาได้เท่านั้น แต่แค่นี้ก็พอแล้วในตอนนี้

เขายกมันขึ้นเลื่อนเข้าใกล้ใบหน้า ขณะที่กำลังตรวจดูใบหน้า เขาเสยผมสีน้ำเงินเข้มที่ยุ่งเหยิงออกไปเพื่อให้เห็นใบหน้าชัดเจนขึ้น

ดวงตากว้างสีดำ ราวกับถูกยัดเข้าไปในร่องลึกสองแห่งบนใบหน้าของเขา แก้มผอมและยาว มีคางที่มีรอยบุ๋มที่ปลาย

เมื่อเห็นใบหน้านี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะยิ้ม เผยให้เห็นฟันซี่เล็กๆ เขายังฟันด้านบนที่หลออีกด้วย เนื่องจากฟันหลุดไปและยังไม่งอกขึ้นใหม่

"เซรี่ย...ไม่มีทาง เป็นไปไม่ได้ ไอ้บ้า! ไม่มีทาง!!" เขากรีดร้องด้วยความตกใจขณะกระโดดโหยงเหมือนถูกงูกัด "นี่มัน... ไม่มีทาง แม่xเอ้ย! ข้ากลับมาแล้ว ข้ากลับมาแล้ว!"

เขามองไปรอบๆ และคราวนี้ไม่ได้ยืนเฉยๆ เขาเริ่มสำรวจห้องแคบๆ แต่ก็ไม่มีอะไรให้ตรวจสอบมากนัก นอกจากโต๊ะตัวนี้แล้ว ยังมีลิ้นชักธรรมดาๆ ที่มีของของเขาเก็บอยู่

เครื่องแต่งกายสามชุดแบบเดียงกับชุดที่เขาสวมอยู่  มีกระเป๋าใบใหญ่ที่สะพายหลังได้ มันทำมาจากหนังสีน้ำตาล ทำมาเพื่อคนอย่างเขา

ที่กลางห้องตรงผนังด้านหนึ่ง เขามองเห็นบางสิ่งที่เก่าและคุ้นเคยในเวลาเดียวกัน เขายืนอยู่หน้าสัญลักษณ์นั้น โค้งมนด้วยผิวเว้า แสดงสัญลักษณ์หัวเสือที่ถูกทุบด้วยค้อน

“สถาบัน แอสไปร์… ข้ากลับมาแล้ว… ข้าย้อนเวลากลับมายี่สิบปี! ไม่น่าเชื่อ!”

ขณะที่เขาพูดคำเหล่านี้ เขาค่อยๆ ลากเก้าอี้ไม้ออกมาและนั่งลง ไม่สนใจฝุ่นที่ปกคลุม สิ่งเดียวที่เขาคิดได้ก็คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้และสถานการณ์ปัจจุบันของเขา

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด