ตอนที่ 1184 เพราะเจ้าก็เป็นหนึ่งในสารอาหาร
“อย่านึกว่าเจ้ามีอาวุธเทพคนเดียวประทีปราตรีของข้าไม่ได้เป็นรองวิถีกำศรวลของเจ้า?” เฮยโจวไม่อาจต้านทานซื่อเสินได้แต่เขายังมีความหยิ่งภูมิใจและวิเคราะห์อย่างใจเย็น “กระจกแห่งความจริงของจ้าวซีดาบวิเศษดื่มหิมะของเทียนโฉวและมุกประทีปราตรีของข้าของวิเศษระดับเทพทั้งสามรวมอยู่ในที่เดียวกันพลังซื่อเสินเจ้าจะต่อต้านฟ้า และเจ้าต้องพ่ายแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย”
ตามคำพูดของเขาเทพทักษิณเทียนโฉวอัญเชิญคัมภีร์ทองเป็นคนแรก
และเริ่มใช้ทักษะแฝงเร้นทันที
สนามพลังปราณดาบทำงานทันที
พลังระเบิดออกมาสนับสนุนดาบเทพดื่มหิมะอย่างบ้าคลั่งทันทีและหลอมรวมกับอสูรพิทักษ์แปลกประหลาดและเปล่งรัศมีสมบัติเทพเป็นพันๆสาย หลังจากได้รับพลังเทพกระตุ้นเทียนโฉวมีพลังก้าวหน้าอย่างไม่มีสิ้นสุดเหมือนกับภูเขาขนาดใหญ่พอใกล้ถึงซื่อเสินจึงค่อยๆหยุด
แม้ว่าจะไม่สูงเท่าซื่อเสินที่มองลงมาแต่ก็ค่อนข้างใกล้
เหมือนกับว่าเทียนโฉวมีความสูงเจ็ดฟุตกำลังเผชิญหน้ากับซื่อเสินที่มีความสูงเก้าฟุตระดับความห่างมีไม่มากไม่ชัดเจนเหมือนกับยักษ์โนมส์พลังก็ยังถือว่าอยู่ในระดับเดียวกัน
อีกด้านหนึ่งเทพอุดรจ้าวซีมีพลังแทบจะทัดเทียมกับเทียนโฉว
และมีความลึกลับมากกว่า
แม้ว่าจะเป็นคัมภีร์อัญเชิญระดับทองก็สร้างสนามพลังได้ เย่ว์หยางนักแสดงเหรียญทองที่ซ่อนตัวอยู่ในระยะไกลทั้งยังแสร้งทำเป็นตายยังไม่สามารถเห็นรูปร่างของอสูรพิทักษ์ของเขาได้ชัดเจนเขาแค่มีความรู้สึกว่าเหมือนหมอกไม่มีความชัดเจน หากเทียนโฉวนับว่าเหมือนสว่าน อย่างนั้นจ้าวซีเหมือนเข็มที่เก็บไว้ในกระเป๋า ไม่มีใครรู้ว่าเมื่อไหร่จะแสดงให้เห็น แต่เย่ว์หยางแน่ใจได้ว่าเทพอุดรจ้าวซีเมื่อปรากฏตัวลงมือจะทำให้มีคนได้รับบาดเจ็บหนักแน่นอน
แค่เทียนโฉวกับจ้าวซีก็ยังเป็นไปได้ที่จะเอาชนะซื่อเสิน
แต่เมื่อเพิ่มเฮยโจวอีกคน
อย่างนั้นความสมดุลจะย้ายไปทางค่ายตะวันตกอย่างช่วยไม่ได้
ท้องฟ้าในขณะที่เฮยโจวเรียกคัมภีร์กลับกลายเป็นมืดมิด เป็นความมืดขนาดมองไม่เห็นนิ้วตนเองได้
จากนั้นคู่วัตถุสีทองม่วงพุ่งออกมาจากหลุมดำเปล่งแสงเจิดจ้า
เย่ว์หยางมองเห็นแล้วน้ำลายไหล นั่นคือสมบัติเทพประเภทอัญมณีเพราะยังแกล้งตายอยู่ เย่ว์หยางไม่กล้าใช้จักษุญาณทิพย์ตรวจสอบได้จึงไม่กล้าตัดสินคุณภาพที่แท้จริงที่สุดในเวลานั้น แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ก็สามารถสรุปได้ว่า อัญมณีประทีปราตรีดีกว่ากระจกวิเศษและดาบดื่มหิมะ พลังไล่ๆกับกระบี่วิถีกำศรวลในมือของซื่อเสิน
ถ้าเย่ว์หยางมองสูงขึ้นไปบนท้องฟ้าจะเป็นว่าท้องฟ้าและพื้นโลกถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนตรงกลางมืดสว่างตัดกัน
ครึ่งสว่างเต็มไปด้วยปราณกระบี่
อีกครึ่งหนึ่งมืดเหมือนหมึกมองเห็นมุกบนดาบวิเศษและบนกระจกวิเศษ
ความมืดด้านนี้ได้รับอิทธิพลจากเฮยโจวเทียนโฉวและจ้าวซี ค่อยๆ ท่วมทับด้านสว่างที่เป็นพลังของซื่อเสินคนเดียว แม้ว่าเฮยโจวและซื่อเสินไม่สามารถสร้างสัญลักษณ์ที่เท่ากันได้พลังปัจจุบันนี้ไม่ต่างกันมาก
เหมือนกับว่าถ้าซื่อเสินสูงเก้าฟุต อย่างนั้นเฮยโจวก็สูงกว่าแปดฟุต
ด้วยความช่วยเหลือของศัตรูที่มีความสูงเจ็ดฟุตสองคนคือเทียนโฉวและจ้าวซีทำให้เฮยโจวได้เปรียบ
“ฮึ่ม!”
เทพพายัพซวงหานในฐานะผู้ชมดูถ้าในเวลานี้เขาเข้าไปช่วย อย่างนั้นซื่อเสินต้องแพ้แน่ แต่เขาไม่ทำเช่นนั้น ก่อนนั้นเฮยโจวมีทัศนคติต่อซาฟงทำให้ทัศนคติของซวงหานเสียหายหนัก เขาคิดอยู่เสมอว่าเขาเข้ามาช่วยเหลือโดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ตอบแทนเพื่อให้สงครามเทพไม่ยืดเยื้อและยุติในวันแรกๆ ไม่ต้องพูดถึงว่าตอนนี้เฮยโจวได้เปรียบ แม้จะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบเขาจะไม่ยื่นมือช่วยเฮยโจวอีกต่อไป หลังจากซาฟงถูกทอดทิ้งไม่ไยดีและพวกเขาสงสัยซวงหาน ปล่อยให้ซื่อเสินโค่นล้มเฮยโจวก็คงไม่เลว
การช่วยเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ถอยออกมาโดยไม่ต้องทำอะไรดีกว่า
ซวงหานตัดสินใจไปจากที่นี่
สงครามเทพจะเป็นยังไง
เขาไม่ยุ่งด้วย
ใช้ชีวิตอิสระอย่างชิงหวินดีกว่า
น่าเสียดายที่จ้าวซียังคงไม่เคลื่อนไหวไม่เช่นนั้นซวงหานคงจากไปอย่างสบายใจ
“อา..โปรดรอก่อน” จีอู๋ลี่เข้ามาขวางข้างหน้าซวงหานเขายิ้มเต็มหน้า ยิ้มจริงใจของคนที่เหนือกว่าใครก็ตามที่เห็นอดนึกไม่ได้ว่าคนผู้นี้น่าเชื่อถือและมีความรู้สึกว่าตนด้อยกว่าไม่กล้าเงยหน้ามองเมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้าตำหนักศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้
“ถ้าเจ้าต้องการโน้มน้าวให้ข้าเปลี่ยนใจอย่างนั้นเจ้าไม่ต้องพูด” ซวงหานปฏิเสธความเป็นไปได้ที่จะคืนดีกัน เฮยโจวไม่ใช่ผู้นำที่ดีที่สุดและตอนนี้เขาจิตใจตายด้านเสียแล้ว
“ไม่เลย,ข้าไม่ได้ตั้งใจโน้มน้าวเจ้า ความเข้าใจผิดระหว่างเจ้ากับเฮยโจวนั้นข้าไม่สนใจและข้าเองก็ไม่ยินดีจะไกล่เกลี่ยให้เจ้า” จีอู๋ลี่ส่ายหน้าและโบกมือเพื่อไม่ให้ซวงหานเข้าใจเขาผิด เขายิ้มอย่างจริงใจและเป็นมิตรขณะมองดูเทพพายัพซวงหานที่ดูท่าทางสงสัยงงงันในที่สุดจีอู๋ลี่เน้นคำพูดถามทีละคำ “เทพพายัพซวงหานไม่ว่าเจ้าจะรู้สึกว่าข้าเป็นนักสู้ระดับกึ่งเทพหรือไม่ ข้าคิดว่าเจ้าไม่ต้องถามข้าแน่ใช่ไหม?”
“เฮอะ” ซวงหานโมโหแต่ใบหน้ายังคงยิ้มอยู่ “ข้าคิดว่าข้าต้องการจะจากไปและข้าตัดสินใจแล้วว่าต้องไป ข้าต้องให้เจ้าเห็นด้วยอีกหรือ?”
“ไม่เห็นด้วย”
จีอู๋ลี่ส่ายหน้าและยักไหล่เล็กน้อย“ถ้าเจ้ายอมคุกเข่าจับขาข้าและสาบานเป็นผู้รับใช้ข้า ข้าจะพิจารณาไว้ชีวิตเจ้า”
หน้าของซวงหานชะงักค้างทันที
เขาโกรธจัด
แต่ไม่ได้อาละวาดทันที
ในฐานะนักสู้ระดับเทพที่ผ่านการฝึกฝนมาเป็นหมื่นปีเขากลับถูกผู้เยาว์ที่เป็นนักสู้ระดับกึ่งเทพรุกรานแสดงความเย่อหยิ่งต่อหน้าเขาเขาไม่เคยเห็นแบบนี้มาก่อนในชีวิต เขาต้องให้นักสู้ระดับเทพกลายเป็นคนใช้นี่รังแกตัวเขามากไปหรือเปล่า?
พยัคฆ์ลงจากภูเขายังถูกสุนัขรังแกด้วยหรือ?
แม้แต่เทียนโฉว
หรือเฮยโจวที่กล้าท้าทายซื่อเสินก็ยังไม่กล้าทำอย่างนี้
“เจ้าน่ะหรือ ทำไมล่ะ?” ซวงหานอดแค่นเสียงมิได้
“ก็แค่ข้าคือจีอู๋ลี่มีโชคชะตาของผู้ถือครองคัมภีร์อัญเชิญระดับศักดิ์สิทธิ์และมีชะตาผู้ผนวกทำลายขุนเขาเหนือขุนเขาทั้งหมดหรือทั่วทั้งมิติดินแดนฝึกปรือและข้าจะเป็นผู้ถือครองคัมภีร์เทพแห่งมิติดินแดนฝึกปรือแห่งนี้คัมภีร์เทพเล่มสุดท้ายถูกกำหนดไว้แล้วว่าจะต้องเป็นของข้า” เหมือนกับว่าจีอู๋ลี่กำลังอธิบายเรื่องเล็กน้อยไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นไม่เย่อหยิ่งหรือตื่นตระหนก ยังคงแสดงออกอย่างสงบราวกับน้ำนิ่ง
“.....”เย่ว์หยางปล่อยให้จีอู๋ลี่พูดไปเรื่อย ลูกพี่พูดไม่รู้จักระวังเลยหรือ? คัมภีร์เทพก็ยังไม่ได้รับ คนระดับต่ำอย่างเจ้ารู้หรือเปล่าว่าคำว่า ‘ถ่อมตัว’ สะกดยังไง?ถ้าเขาไม่สั่งสอนเดี๋ยวจะหาว่าตระหนี่เกินไป
เย่ว์หยางแกล้งตายอยู่ครึ่งค่อนวันแทบห้ามใจไม่อยู่และอยากลุกขึ้นมาเถียง
โชคดีที่เขายังควบคุมตนเองได้ไม่เลว
เขากลับมารู้สึกถึงสภาพปัจจุบัน
ต่อให้ร่างกายถูกฟ้าผ่าเกรียมไหม้เขาจะอดทน
ซวงหานตกตะลึงอยู่นานเขาคาดไม่ถึงจริงๆ ว่าจีอู๋ลี่จะยอมพูดข้อสงสัยนี้ออกมา
อย่างไรก็ตามในวินาทีต่อมาเขาสนองตอบโซ่น้ำแข็งเหมือนกับแห ปกคลุมไปทั่วอากาศ หนาวเย็นแทบเป็นศูนย์องศาสมบูรณ์และแช่แข็งจีอู๋ลี่ทันที
อ่อนแอเกินไป
ร่างน้ำแข็งของจีอู๋ลี่ถูกกระแทกแตกกระจาย
ตั้งแต่หัวจรดเท้าเขาไม่ได้รับความเสียหายแต่อย่างใดเขาไม่สนใจโซ่น้ำแข็งเย็นที่บินอยู่รอบตัว เขายื่นมือขวาออกมาอย่างสงบช้าๆ สัมผัสคัมภีร์ที่งดงามอ่อนโยนราวกับสัมผัสผิวคนรัก ทันทีที่คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ออกมาโล่สนามพลังป้องกันก็ทำงานทันทีพร้อมกันไม่ทราบว่าทักษะแฝงเร้นจีอู๋ลี่คืออะไรแต่โซ่น้ำแข็งทั้งหมดแปรสภาพเป็นเกล็ดหิมะที่อ่อนโยนโรยตัวลงช้าๆ โดยไม่ทำอันตราย
“เจตจำนงราชันย์” ซวงหานสีหน้าเปลี่ยน
“ของดีระดับสูงแบบนี้อย่างเจ้าต้องอาศัยคนอื่นจึงจะได้มา เป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะเข้าใจ ต่อให้เจ้ามีคัมภีร์อัญเชิญเจ้าจะไม่มีทางเป็นเทพแท้ ไม่มีทางเป็นราชันย์ พวกเจ้าทั้งหมดเป็นแค่ขยะถ้าไม่ใช่เพราะเทพมหาอัคคีและเทพสุดยะเยือกพวกเจ้าไม่มีทางได้คัมภีร์อัญเชิญตลอดชีวิต”
จีอู๋ลี่พลิกหน้าคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของเขาอย่างสบายอารมณ์ ดูเหมือนเขาคิดว่าจะเรียกอสูรอัญเชิญหรืออสูรศึกตัวใดออกมาก็สามารถเอาชนะซวงหานได้สบายทำให้ลังเลเลือกไม่ถูก
ซวงหานตัวสั่น
แต่เขารู้ว่าเจตจำนงราชันย์และคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของศัตรูนั้นน่ากลัวเพียงไหน
ซื่อเสินไม่มีคัมภีร์ระดับศักดิ์สิทธิ์แม้แต่น้อยแต่เขาแข็งแกร่งกว่าพวกเฮยโจวในขอบเขตของพลังเจตจำนงเขายึดตำแหน่งนักสู้อันดับหนึ่งขุนเขาเหนือขุนเขาได้อย่างมั่นคง
ตอนนี้จีอู๋ลี่ไม่เพียงแต่มีเจตจำนงราชันย์ที่สูงกว่าซื่อเสินเท่านั้นแต่ยังถือครองคัมภีร์อัญเชิญระดับศักดิ์สิทธิ์ที่ทุกคนได้แต่ฝัน
ในที่สุดแล้วสงครามจะเริ่มต้นอย่างไร?
ซวงหานไม่มีคำตอบ
เขาไม่เคยพบเจอศัตรูที่ถือคัมภีร์ระดับศักดิ์สิทธิ์
ต่อให้เป็นเทพมหาอัคคีและเทพสุดยะเยือกที่ใกล้ความเป็นอมตะก็ยังไม่มีคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์...
“นายท่าน! หนอนแมลงตัวน้อยนี้ ข้าเห็นแล้วไม่พอใจยิ่งนักเมื่อหมื่นปีที่แล้วเจ้าแมลงน้อยตัวนี้ยังเป็นเด็กขี้แยอยู่เลยข้าสั่งสอนเขาไปแล้ว ทำให้เขาหวาดกลัวจนฉี่ราดกางเกงถ้าไม่ใช่เพราะเทพมหาอัคคีและเทพสุดยะเยือกสองเทพที่ชอบยุ่งเรื่องของคนอื่นขุนเขาเหนือขุนเขาคงถูกข้าถล่มไปแล้ว ตอนนี้ข้าหยวนจี๋กลับมาแล้วแต่เทพมหาอัคคีและเทพสุดยะเยือกไม่อยู่อีกต่อไปบุญคุณความแค้นไม่อาจตามชำระได้แล้ว ยังดีที่ข้าหาเจ้ามดแมลงมาระบายความคับแค้นใจได้บ้าง” มีเงาสีทองลอยม้วนคล้ายควันอยู่เหนือคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์
“อะไร อะไรกัน? หยวนจี๋? เจ้าถูกเทพมหาอัคคีและเทพสุดยะเยือกผนึกไปแล้วไม่ใช่หรือ?” ซวงหานมองดูเงาสีทองและรู้สึกหวาดกลัว
“มันคือผนึกก็จริงแต่หลายพันปีที่แล้วนายท่านได้ปล่อยตัวข้าออกมา น่าสมเพชจริงๆ เมื่อข้าต้องการหลบหนีจากผนึกในปีนั้นข้าต้องพบว่าเพื่อช่วยให้ข้ารอดชีวิต ข้าต้องหลอมรวมกับอสูรศึกของนายท่าน อย่างไรก็ตามเจ้าสิ่งนี้สร้างชีวิตที่สมบูรณ์แบบให้กับข้าด้วยร่างกายที่สมบูรณ์แบบไม่มีวันตายพร้อมกับความสามารถทักษะแฝงเร้นของเจ้านายข้าฮ่าฮ่า วันที่หยวนจี๋จะผนวกรวมขุนเขาเหนือขุนเขาอยู่ไม่ไกลแล้ว! ข้าไม่เพียงแต่รวมขุนเขาเหนือขุนเขา หุบเขามนุษย์หุบเขาโลกธาตุและหุบเขาสวรรค์ที่เป็นของข้าเท่านั้น แม้แต่มิติดินแดนฝึกปรือทั้งหมดก็คือสมบัติในกระเป๋าข้า เจ้าพวกโง่แม้แต่ข้าเองก็เป็นทาสไม่มีคุณสมบัติ ฮ่าฮ่าฮ่า..”
เงาสีทองหัวเราะอย่างหยิ่งยโส
ซวงหานสีหน้าเปลี่ยน
เขาใช้โซ่น้ำแข็งสร้างเป็นกำแพงปกป้องร่างกายจากนั้นเปิดมิติเตรียมพร้อมเทเลพอร์ตหนีไปจากที่นี่ทันที
เงาร่างสีทองไม่ได้สนใจมองมันเหยียดนิ้วและยิงแสงศักดิ์สิทธิ์ฝ่าอากาศและทะลุโซ่น้ำแข็งอย่างง่ายดายผ่านแนวป้องกันของเทพพายัพซวงหนานราวกับไม่มีสิ่งใดป้องกัน
อกและหลังที่ตำแหน่งหัวใจของเขาเป็นทะลุขนาดใหญ่เท่าชาม
โปร่งใส
“เจ้าคิดว่าข้าคือหนอนที่น่าสมเพชเพิ่งจะหนีพ้นจากผนึกหวาดกลัวเมื่อได้ยินลมพัดยอดหญ้าหรือ? ซวงหานเอ๋ยซวงหานเจ้ากับจ้าวซีมีโอกาสที่ดีที่สุดในอดีต แต่เจ้าไม่ติดตามอย่างระมัดระวัง ด้วยเหตุนี้ข้าจึงหนีไปได้ด้วยความช่วยเหลือของนายท่านหลังจากพักฟื้นเป็นพันๆ ปี ข้าไม่เพียงฟื้นฟูพลังของข้าได้แต่ยังแข็งแกร่งยิ่งกว่าปีนั้น ปีที่เทพมหาอัคคีและเทพสุดยะเยือกยังแข็งแกร่งอยู่..... หากไม่มีเทพมหาอัคคีและเทพสุดยะเยือกแมลงตัวน้อยอย่างเจ้าต้องการแข่งขันท้าทายข้าหยวนจี๋ จ้าวสวรรค์ยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งฟ้าเหนือฟ้า?” ร่างสีทองโบกมือและโยนมนุษย์ร่างโชกเลือดคนหนึ่ง
ซวงหานหรี่ตามองอย่างระวัง “ชิงหวิน”
บุรุษผู้มีเลือดท่วมร่างถูกสูบพลังเทพออกไปบาดเจ็บปางตายคือเทพอีสานชิงหวินผู้ชิงชังสงครามเทพมากที่สุดในขุนเขาเหนือขุนเขา
ชิงหวินผู้รักธรรมชาติรักความเป็นธรรมต่อทุกชีวิต...ในบรรดาเทพทั้งหมดเขาเทพอีสานชิงหวินเป็นคนแรกที่ได้รับการยอมรับจากคัมภีร์อัญเชิญ ก่อนเทพบูรพาซื่อเสินด้วยซ้ำ
แม้แต่เฮยโจวก็ยังยอมรับว่าเทพอีสานชิงหวินคือสุภาพบุรุษคนหนึ่ง
เมื่อชิงหวินปฏิเสธเข้าร่วมสงครามเฮยโจวไม่ได้บังคับแต่อย่างใด
ซื่อเสินก็ยอมปล่อยเขาจากไป
คาดไม่ถึงเทพผู้รักถนอมทุกชีวิตและรักความสงบกลับถูกจีอู๋ลี่และหยวนจี๋สูบพลังเทพจนแห้งและโยนร่างใกล้ตายทิ้ง
ซวงหานรู้สึกว่าดวงตาของเขาแทบจะถลนออกจากเบ้าความโกรธแค้นสุมอยู่ในอกแทบบ้าเขาไม่สนใจบาดแผลตนเองรีบวิ่งไปรับร่างใกล้ตายของเทพอีสานชิงหวิน เขาอยากตะโกนออกมาแต่ไม่มีเสียงเล็ดรอดออกมาภาพข้างหน้ารู้สึกเบลอเลือนราง
แม้แต่ซื่อเสินและจ้าวซีที่กำลังจะเข่นฆ่าต่อสู้กันพากันตกตะลึง
ไม่อยากเชื่อภาพที่เห็น
ร่างเงาทองยกร่างซวงหานที่บาดเจ็บสาหัสขึ้นและหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ด้วยทักษะแฝงเร้นกลืนกินของนายท่านเจ้ามดแมลงน้อยจะช่วยเป็นอาหารบำรุงให้ข้ากลับคืนสภาพแข็งแกร่งสูงสุดพวกเจ้ารู้หรือไม่เหตุใดนายท่านถึงได้ยั่วยุให้เกิดสงครามเทพครั้งนี้? เขาแค่ต้องการรวบพวกเจ้าไว้ในร่างแหเดียวกัน พวกเจ้าคิดว่าคนที่ผ่านไปเป็นหมื่นปีแล้วยังเป็นระดับกึ่งเทพอยู่นั่นเป็นคนด้อยความสามารถหรือไม่? โง่สมกับเป็นมดแมลงน้อยจริงๆถ้าไม่ใช่เพราะทักษะแฝงเร้นดูดกลืนพลังของนายท่าน เทียบกับร่างกายหลักพวกเจ้าคิดว่าจะบังอาจตีตนเทียบเท่าเจ้านายข้าได้หรือ? พวกเจ้ายังจะมีชีวิตอยู่ได้จนถึงวันนี้หรือ?หลายพันปีที่แล้วนายท่านก็สามารถเอาชนะระดับเทพได้แล้วเทียบเขากับพวกเจ้าเหล่ามดแมลง พวกเจ้าไม่มีค่าอะไร พวกเจ้าก็แค่กบก้นบ่อเท่านั้น...”
“ไม่นะ, อู๋ลี่ ทำไมเจ้าถึงได้ตะโกนใส่หน้าข้าด้วยเล่า?” เฮยโจวหน้าแข็งกระด้างทันที
“เพราะเจ้าก็เป็นหนึ่งในแผนบำรุงเลี้ยงของเขา” เทียนโฉวยืนอยู่ข้างเฮยโจวและใช้ดาบเทพดื่มหิมะแทงใส่หัวใจเฮยโจวราวกับสายฟ้า
ไม่ถึงเสี้ยวพันวินาทีเฮยโจวก็ตอบโต้
เขาพร้อมจะตอบโต้กลับอยู่แล้ว
แต่เงาทองพุ่งมาอยู่ที่ด้านหลังเฮยโจวจับศีรษะเฮยโจวแล้วอัดไถลกับพื้นขุนเขาเหนือขุนเขาอย่างรุนแรงวินาทีต่อมาเฮยโจวได้ยินเสียงจีอู๋ลี่พูดอย่างสงบเยือกเย็น“พลังของท่านลุงข้าจะขอรับไว้ในไม่ช้านี้ ถ้าท่านลุงมีความปรารถนาสุดท้ายอันใด อู๋ลี่จะพยายามทำให้ท่านจนสำเร็จ”