MDB ตอนที่ 270 การจากลาอย่างสง่างาม
ปีศาจวานรกำลังเปล่งรัศมีของอสุรกายระดับสามออกมา ผู้เฒ่าลัทธิเต๋าตกใจอย่างเห็นได้ชัด
เขารู้ว่าผู้ประเมินหลินมีส่วนเกี่ยวข้องกับวิวัฒนาการของปีศาจวานร แต่เขารู้สึกละอายใจที่ไม่สามารถบอกได้แน่ชัดว่าปีศาจวานรวิวัฒนาการได้อย่างไร
เขาคือยอดฝีมืออย่างแท้จริง
ถึงหลินจินจะยังหนุ่มมาก แต่เขาก็มีทักษะการประเมินสัตว์วิเศษอันน่าเหลือเชื่อ ประจวบกับสติปัญญาอันเหนือล้ำ เพียงแค่ฟังไม่กี่ประโยคเขาก็สามารถเขียนจารึกเครื่องรางของนิกายเมฆา และสร้างสำเร็จในเวลาไม่นาน ทั้ง ๆ ที่พวกมันอยู่กับเขามาเป็นเวลาหลายปีแต่เขาไม่สามารถทำให้มันใช้งานได้อย่างที่หลินจินทำเลย
เมื่อสังเกตเห็นผู้เฒ่าลัทธิเต๋าหมดกำลังใจ หลินจินก็ปลอบใจว่า
“ท่านหวู่ โปรดอย่าคิดมาก การประเมินสัตว์วิเศษเป็นความสามารถพิเศษของข้า และปีศาจวานรได้แสดงสัญญาณของวิวัฒนาการมาสักพักแล้ว ข้าแค่ยื่นมือช่วยเพียงเล็กน้อยเท่านั้น สำหรับจารึกเครื่องรางนั้นเป็นเพียงเหตุบังเอิญที่ทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ไม่คาดฝันเท่านั้น”
เหตุบังเอิญ?
การบ่มเพาะจะสำเร็จได้ด้วยความบังเอิญได้อย่างไร?
หวู่เฉียนรู้ว่าหลินจินแค่พยายามปลอบเขา และเขาก็รู้สึกขอบคุณ
เขายิ้มง่าย ๆ และความหดหู่และความทุกข์ในตอนแรกก็จางหายไป
“ข้าได้พบกับปีศาจวานรตนนี้เมื่อนานมาแล้ว ในระหว่างการเดินทาง หลังจากนั้นข้าก็สอนการบ่มเพาะและเครื่องรางแก่เขา เขาอยู่กับข้ามากว่าสิบปีแล้ว และเป็นศิษย์เพียงคนเดียวของข้า
ข้าต้องขอบคุณผู้ประเมินหลินที่ช่วยทำให้การเดินทางของเราต่อจากนี้ง่ายมากขึ้น เราสามารถยืนหยัดต่อสู้ได้เมื่อเจอภัยอันตรายแล้ว”
อย่างที่ผู้เฒ่าลัทธิเต๋าพูด เมื่อก่อนพวกเขาต้องระวังตัว และอดทนหากเจอคนพาลและมีอำนาจ
ตอนนี้ปีศาจวานรอยู่ในระดับสามแล้ว พวกเขาไม่เป็นต้องฝืนทนอีกต่อไป สัตว์ปีศาจระดับสามควรจะยืนหยัดต่อสู้ได้ภายใต้สถานการณ์ปกติ และด้วยรูปแบบพลังงานอสูร เขาจะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเมื่อเทียบกับเมื่อก่อน
ปิศาจวานรรู้ว่าหลินจินก็เป็นผู้มีพระคุณของเขาเช่นกัน เขาจึงคุกเข่าขอบคุณทันที
ทันใดนั้น หลินจินก็นึกถึงวัดลัทธิเต๋าที่ชางเอ๋อร์และเหล่าจิ้งจอกเคยซึมซับความรู้จากที่นั่น มันจึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการบ่มเพาะของพวกเธอ
หลินจินต้องการที่จะเยี่ยมชมสถานที่เพื่อสำรวจ แต่ตอนนี้เขาได้พบกับผู้เฒ่าลัทธิเต๋าแล้ว ทำไมเขาไม่ลองถามข้อมูลจากเขาดู? เนื่องจากพวกเขาเป็นลัทธิเต๋าเหมือนกัน บางทีหวู่เฉียนอาจจะรู้อะไรบางอย่างก็เป็นได้
หลินจินยกมือประสานกันและถามว่า “ท่านหวู่ ข้ามีบางอย่างที่ข้าอยากจะถามท่าน”
หลังจากได้เห็นความสามารถของหลินจินทั้งหมดแล้ว หวู่เฉียนก็ไม่กล้าเพิกเฉยต่อคำขอของหลินจิน เขาคำนับทันทีเพื่อตอบแทนความช่วยเหลือ
“ผู้ประเมินหลินสามารถถามข้าได้ทุกอย่างเลย ข้าจะบอกท่านทุกอย่างที่ข้ารู้”
"ยอดเยี่ยม!" หลินจินถามเขาเกี่ยวกับวัดลัทธิเต๋าบนภูเขาฉีเซีย ข้าไม่รู้ชื่อวัด แต่เขาแน่ใจว่าสถานที่นี้มีคาถาเพื่อเปลี่ยนสัตว์วิเศษธรรมดาให้กลายเป็นสัตว์ปีศาจได้”
“วัดลัทธิเต๋าบนภูเขาฉีเซีย?” หวู่เฉียนครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนที่จะส่ายหัว “ข้ารู้จักไม่กี่นิกาย แต่ไม่เคยได้ยินว่ามีนิกายลัทธิเต๋าที่มีชื่อเสียงในภูเขาฉีเซีย แต่ถ้ามันสามารถเปลี่ยนสัตว์วิเศษให้กลายเป็นสัตว์ปีศาจได้ มันต้องสำคัญมากทีเดียว น่าเสียดายที่ข้าไม่รู้เรื่องนี้จริง ๆ”
หลินจินรู้สึกประหลาดใจ แต่เมื่อคิดอีกครั้ง มันก็สมเหตุสมผลเช่นกัน
แม้ว่าผู้เฒ่าลัทธิเต๋าจะมาจากชุมชนลัทธิเต๋า แต่เขาก็ไม่รู้ว่าลัทธิเต๋ามีกี่นิกาย ต้องมีบางนิกายที่เขาไม่รู้จัก ดังนั้นหลินจินจึงทำได้เพียงเลือกเดินทางไปที่นั่นเพื่อตรวจสอบด้วยตัวเอง เขาอาจจะพบข้อมูลบางอย่างที่นั่นก็ได้
หลินจินได้รับประโยชน์ไม่น้อยจากการพบกับหวู่เฉียน เขาไม่เพียงเรียนรู้เกี่ยวกับการฝึกฝนของมนุษย์ในโลกนี้ แต่เขายังค้นพบความลึกลับของเครื่องรางของผู้เฒ่าลัทธิเต๋าอีกด้วย เครื่องรางเบญจอัคคีอาจมีประโยชน์กับเขาในสักวันหนึ่ง
ค่ำคืนผ่านพ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ เมื่อท้องฟ้าเริ่มสว่าง หลินจินรู้ว่ามันถึงเวลาแล้ว เขาจึงลุกขึ้นเพื่ออำลา เมื่อรู้ว่าการพบป่ะพูดคุยจะต้องจบลง ผู้เฒ่าลัทธิเต๋าจึงลุกขึ้นไปส่งหลินจินที่ข้างนอก
“หากมีโอกาส ข้าจะไปเยี่ยมท่านที่เมืองเมเปิ้ล ผู้ประเมินหลิน” หวู่เฉียนกล่าวพร้อมกับทำความเคารพ
หลินจินยิ้ม “ถือว่าเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ท่านสละเวลาอันมีค่าเพื่อมาเยี่ยมข้า”
"ลาก่อน!"
"ลาก่อน!"
จากนั้น วานรยักษ์ขาวได้ยกโลงศพขึ้นมาแบก หลินจินได้เดินนำไปข้างหน้า ประมาณสิบก้าวต่อมา หวู่เฉียนเห็นหลินจินและวานรยักษ์ขาวค่อย ๆ หายลับไปในอากาศ
เขาตกตะลึง
“เร้นกาย?”
หัวใจของผู้เฒ่าลัทธิเต๋าเต้นแรง และเขารีบไล่ตามพวกเขาไป ด้วยร่างกายที่แข็งแรงกว่าคนส่วนใหญ่ ผู้เฒ่าลัทธิเต๋าวิ่งเร็วมาก แต่ไม่ว่าเขาไล่ตามอย่างไร เขาก็ไม่สามารถจับแม้แต่เงาของพวกเขาได้
ผู้เฒ่าลัทธิเต๋ากระทืบเท้าด้วยความโมโหทันที
"ข้าพลาดซะแล้ว! ใครจะคิดว่าผู้ประเมินหลินจะรู้จักเคล็ดวิชาเร้นกายด้วย ข้าสามารถใช้คาถานี้ได้โดยผ่านเครื่องรางเท่านั้น ถ้าข้ารู้เรื่องนี้ก่อนหน้านี้ล่ะก็ ข้าคงจะขอคำแนะนำจากเขา ช่างน่าเสียดายจริง ๆ ช่างน่าเสียดายเหลือเกิน” ผู้เฒ่าลัทธิเต๋ารู้สึกเสียใจ
แต่หลังจากคิด เขาก็หัวเราะอย่างเต็มที่
“ข้านี่ช่างโง่เง่าเสียจริง ข้าสามารถไปเยี่ยมผู้ประเมินหลินที่เมืองเมเปิ้ลได้ในอนาคต ข้าไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องพวกนี้เลย”
พูดจบก็กลับไปอย่างร่าเริง
เขาไม่รีบร้อนที่จะมุ่งหน้าไปยังเมืองเมเปิ้ลเช่นกัน ลัทธิเต๋าเน้นเรื่องโชคชะตาเป็นอย่างมาก การพลาดครั้งนี้เป็นเพียงโชคชะตาบอกเขาว่ายังไม่ถึงเวลา เมื่อเป็นเช่นนี้จึงไม่จำเป็นต้องบังคับตัวเอง เขาสามารถไปได้ทุกเมื่อที่เขารู้สึกว่าเวลานั้นมาถึงแล้ว
'ข้าได้รับการฝึกฝนในลัทธิเต๋าตั้งแต่อายุยังน้อย แต่ข้าไม่เชี่ยวชาญในการร่ายคาถาและระดับการฝึกฝนของข้าก็ตื้นเขิน ข้าไม่เข้าใจถึงความอันรุ่งโรจน์ของลัทธิเต๋า และข้าไม่มีทักษะวิเศษใด ๆ ข้ารู้เทคนิคเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
เมื่อข้าคิดว่าข้าได้สูญเสียช่วงเวลาวัยเยาว์ไปโดยเปล่าประโยชน์ ข้าก็ได้พบกับหลินจิน เขาช่วยให้ข้าตระหนักว่าข้าต้องฝึกฝนต่อไป ข้าไม่สามารถล้มเลิกการทำตามเป้าหมายได้'
ความมั่นใจของหวู่เฉียนในตอนนี้ได้ฟื้นคืนมาแล้ว
ตัดภาพมาที่หลินจิน ตอนนี้เขาได้ออกมาจากเมืองแล้ว
แม้ว่าเขาจะอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน แต่หลินจินก็ได้เรียนรู้อะไรมากมาย การบ่มเพาะของเขาก็พัฒนาขึ้นอย่างมาก และเขาสามารถร่ายคาถาเร่งความเร็วเพื่อเร่งความเร็วของเขา ไม่ว่าจะเป็นทางขึ้นเขาหรือทางราบ เขาสามารถข้ามได้อย่างง่ายดายและรวดเร็วกว่ารถม้า
ผ่านไปครึ่งทาง หลินจินก็หยุดทันทีและถอนหายใจ
"โธ่เอ๊ย! ฉันลืมเรื่องนั้นไปซะสนิทเลย!" หลินจินพึมพำกับตัวเอง “หลู่ปิ่นบอกว่าเขาจะยกอินทรีให้ฉัน ฉันอุตส่าห์ช่วยเขาตั้งมาก แต่สุดท้ายฉันก็ลืมรับรางวัลของฉัน”
เขาขี้เกียจเกินกว่าจะกลับไปตอนนี้ แต่ตามลักษณะนิสัยของหลู่ปิ่น ชายคนนี้มักจะรักษาสัญญา เขาอาจจะอินทรีให้หลินจินในสักวันหนึ่ง
หลินจินอยากได้อินทรีมาก เขาลองจินตนาการดูว่าเขาจะบินได้เร็วแค่ไหนในขณะที่ขี่มัน
อย่างไรก็ตาม ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันของเขา เขาคงไม่สามารถใช้อินทรีได้อยู่ดี นอกเหนือจากเจ้าลิงขาวแล้ว อินทรีตัวหนึ่งไม่สามารถขนส่งโลงศพที่เป็นที่อยู่ของซอมบี้คธูลูได้
ดังนั้นเขาควรจะเดินทางต่อไปด้วยการเดินเท้า...
ณ ตอนนี้หลู่ปิ่นได้รับการปล่อยตัวจากจักรพรรดิเหอเฉียนจากคุกหลวงแล้ว
ก่อนหน้านี้ เหอเฉียนขังหลู่ปิ่นไว้เพื่อปกป้องเขาเท่านั้น ตอนนี้เทพมังกรหยกสิ้นชีพแล้ว และฝ่ายของเสนาบดีหยู่ถูกกวาดล้างจนหมด ดังนั้นเขาจึงไม่ตกอยู่ในอันตรายอีกต่อไป
หลู่ปิ่นไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น หลังจากถูกขังอยู่หลายวัน เมื่อเขาได้รับการปล่อยตัว เขาก็ตระหนักว่าทุกอย่างคงจะเรียบร้อยแล้ว
เขาจึงไปเข้าเฝ้าองค์หญิงหกเหอหยู่ทันที
เหอหยู่ฟื้นคืนสติและอาการดีขึ้นเรื่อย ๆ พิธีบรรลุนิติภาวะของเธอจะมีขึ้นในอีกสองวัน และดูเหมือนว่าเธอจะสบายดี ถึงกระนั้นเธอก็ยังคงระมัดระวัง หากเธอสามารถอยู่ได้ถึงวันเกิดของเธอ นั่นย่อมหมายความว่าคำสาปของเธอได้ถูกทำลายลงแล้ว
หลู่ปิ่นมีความสุขอย่างแท้จริงจากก้นบึ้งของหัวใจ
เกี่ยวกับวิธีการรักษาของเหอหยู่ หลังจากตรวจสอบกับเหอฉิงและรวบรวมข้อมูลจากช่องทางต่าง ๆ แล้ว หลู่ปิ่นก็รู้ว่าเป็นเพราะ 'ภัณฑารักษ์' ผู้ลึกลับได้ให้ความช่วยเหลือเป็นการส่วนตัว