ตอนที่ 15 หยิ่งเกินไป
หยวนวู่จีนั้นทรงพลังมาก เขาจับพวกเธอได้อย่างง่ายดายและรวดเร็วมาก
เขาเป็นผู้ฝึกตนการอัจฉริยะที่อยู่ในขั้นที่เจ็ดของรูปแบบแก่นแท้จริง แม้ว่าพวกเธอจะเลือกใช้ท่าไม้ตายของพวกเธอ มันก็ยังยากมากที่พวกเธอนั้นจะหนีไปได้
เพราะหวงหลิงอยู่เพียงขั้นที่ห้าของรูปแบบแก่นแท้จริงเท่านั้นส่วนซื่อหมินอยู่ในขั้นที่สี่เท่านั้น
พวกเธอจะสู้กับเขาคนนี้ได้ยังไงกัน?
ดูเหมือนว่าพวกเธอกำลังจะถึงทางตันและหนีไม่พ้นอีกต่อไปแล้ว
"พวกเจ้าไม่ชอบวิ่งเหรอ? ไปสิ วิ่งออกไปสิวะ!"
หยวนวู่จีขยับร่างกายของเขาและทันใดนั้นเขาก็ปรากฏตัวขึ้นบนต้นไม้ต้นใหญ่ก่อนจะมองไปที่ทั้งสองคนด้านล่างด้วยสายตาเยาะเย้ย
ในขณะนี้เองที่ผู้ฝึกตนอีกสองคนของนิกายซวนหยินได้เข้ามาเสริมหลังจากจัดการกับพวกนักเดินทางก่อนหน้านี้ทั้งหมดแล้ว จากนั้นทั้งสามคนก็เริ่มที่โจมตีและเข้าไปล้อมหวงหลิงและซื่อหมิน!
"หยวนวู่จี เจ้าเป็นถึงผู้ฝึกตนขั้นที่เจ็ดของรูปแบบแก่นแท้จริงการที่เจ้าข่มเหงผู้หญิงที่อยู่เพียงแค่ขั้นที่ห้ากับสี่นั้น เจ้าต้องเป็นผู้ชายแบบไหน?!"
หวงหลิงมองไปที่หยวนวู่จีด้วยความเย็นชา
เธอและซื่อหมินได้รับเกล็ดน้ำแข็งทมิฬนี้มาโดยบังเอิญ ซึ่งหยวนวู่จีและทีมนักเดินที่โหดร้ายพวกนั้นได้รู้ว่าพวกเธอนั้นได้พบมันแล้ว
สิ่งที่ทําให้พวกเธอรู้สึกสู้ไม่ได้ก็คือทั้งสองฝ่ายนั้นได้รู้ว่ามีเกล็ดน้ำแข็งทมิฬนั้นเป็นสมบัติหายากที่สามารถเพิ่มค่ากระดูกโดยธรรมชาติของผู้ฝึกตนได้ ทำให้พวกเขาทั้งสองกลุ่มต้องการชิงมาเป็นของพวกเขาเอง
เพราะสมบัติชิ้นนี้แม้แต่ผู้ฝึกตนที่อยู่ในระดับรูปแบบการก่อตัวหลักเองก็ยังต้องการมัน
และด้วยเหตุมันจึงทำให้เรื่องราวก่อนหน้านี้ได้เกิดขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนของนิกายซวนหยินที่นําโดยหยวนวู่จีหรือกลุ่มนักเดินทางที่โหดร้ายนั้น พวกเขาทั้งหมดต้องการที่จะชิงเกล็ดน้ำแข็งทมิฬในมือของพวกเธอ
และแน่นอนว่าด้วยความแข็งแกร่งของหยวนวู่จีทําให้เขาไม่จําเป็นต้องเจรจากับหวงหลิงและซื่อมิน
ก่อนหน้านี้พวกเขาได้เสนอเงื่อนไขดังกล่าวเพื่อเป็นการข่มพวกเธอเท่านั้น แต่หวงหลิงและซื่อมินได้ปฏิเสธข้อตกลงของหยวนวู่จี ซึ่งทำให้ครั้งนี้เขาไม่ต้องการที่จะเจรจากับพวกเธออีกต่อไป
"เฮ้อ นั่นน่ะเป็นสมบัติที่มีคุณค่ามากๆ พวกเจ้าคิดว่าความแข็งแกร่งของพวกเจ้านั้นเหมาะที่จะครอบครองเกล็ดน้ำแข็งทมิฬนั่นงั้นหรือ? หยวนวู่จีอดไม่ได้ที่จะเยาะเย้ยพวกเธออีกรอบ
"ถ้าตอนนี้เจ้ามอบเกล็ดน้ำแข็งทมิฬนั่น ข้าก็จะไว้ชีวิตพวกเจ้าเพราะว่าพวกเราทั้งคู่นั้นเป็นหนึ่งในสาวกของนิกายชั้นยอดของราชวงศ์เฉียนผู้ยิ่งใหญ่!
"จริงๆข้าเองก็ไม่อยากสู้เหมือนกัน...และอย่าบังคับให้ข้าต้องทำแบบนั้นเลย!"
ทันทีที่เขาพูดจบแววตาของหยวนวู่จีก็พุ่งเข้าหาหวงหลิงและซื่อหมินทันที พร้อมกับความหื่นกามที่มองไปด้วยสายตาของเขา
"หยวนวู่จีถ้าเจ้าเลือกที่จะโจมตีพวกเรา เจ้าจะกลายเป็นศัตรูกับนิกายชิงหยุนของเราทันที เจ้าคิดว่าเจ้าจะรับผลที่ตามมาได้หรือไม่?"
หวงหลิงอดไม่ได้ที่จะถามเขาไปด้วยสีหน้าที่เย็นชาของเธอ
ในขณะเดียวกันจิตใจของเธอก็เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง หากอีกฝ่ายเข้ามาโจมตีจริงๆ เธอและน้องสาวของเธอจะต้องตายอย่างแน่นอน
"เป็นศัตรูงั้นหรือ? เฮอะ นิกายซวนหยินของข้าอยู่ในอันดับที่สองในบรรดานิกายชั้นนํานิกายชิงหยุนของเจ้าอยู่ในอันดับที่สิบเท่านั้น พวกมันจะทำอะไรได้สักแค่ไหนกัน?
"นอกจากนี้ ตราบใดที่ข้านั้นฆ่าทุกคนที่อยู่ที่นี่ในวันนี้ ใครจะรู้ว่าเจ้าตายด้วยมือของข้า? แม้ว่านิกายชิงหยุนจะได้รู้เรื่องนี้จริงๆ เจ้าคิดว่าพวกเขาจะกล้าเป็นศัตรูกับนิกายซวนหยินหรือไม่?"
หยวนวู่จีอดไม่ได้ที่จะพูดเยาะเย้ยเมื่อเขาได้ยินแบบนี้
ด้วยความแข็งแกร่งของนิกายซวนหยินนั้น เขาจึงชอบเอาชื่อของนิกายของเขามาอ้างเพื่อใช้ข่มผู้อื่นตลอดเวลา
"อย่าว่าแต่ลูกศิษย์ส่วนตัวของนิกายชิงหยุนเลย แม้ว่าผู้อาวุโสของเจ้าจะมาที่นี่ พวกเขาก็ไม่กล้าที่จะเป็นศัตรูกับนิกายของข้าด้วยซ้ำ!"
หยวนวู่จีพูดด้วยความเย่อหยิ่งดวงตาของเขาที่เต็มไปด้วยความรังเกียจผู้ที่อยู่ต่ำกว่าเขา
"หือ? ดูเหมือนว่าเจ้าจะดูมั่นใจมากเลยนะ!"
ในตอนนั้นเองที่จู่ๆก็มีเสียงเบาๆดังขึ้น
"นั่นใครน่ะ?"
เมื่อได้ยินแบบนี้ลูกศิษย์ของหยวนวู่จีก็รีบหาต้นตอของเสียงและใช้การรับรู้ทางจิตวิญญาณในร่างกายของพวกเขาเพื่อหาแหล่งที่มาของเสียงนั้นทันที
ในขณะเดียวกันด้วยการแสดงออกของผู้ฝึกตนทั้งสองคนของนิกายซวนหยินนั้น หวงหลิงและซื่อหมินเองก็ตกใจด้วยเช่นกัน
พวกเขาทั้งหมดนั้นรู้ดีว่ามีผู้ฝึกตนที่ทรงพลังได้ปรากฏตัวขึ้น
แม้ว่าเสียงนั้นจะเบามาก แต่ดูเหมือนว่ามันจะดังพอที่จะแพร่ไปทุกทิศทางในพื้นที่นี้ได้ทั้งหมด
หยวนวู่จีกำลังค้นหาที่มาของเสียงนั้นอย่างระมัดระวัง แต่ไม่พบร่องรอยของใครเลย
ในตอนนี้หยวนวู่จีดูเหมือนจะจําอะไรบางอย่างได้เมื่อจู่ๆสายตาของเขาก็จ้องมาที่จุดหนึ่งภายในพื้นที่ที่ว่างเปล่านั้น
ทันใดนั้นร่างสีแดงเพลิงก็ปรากฏขึ้น ซึ่งมันเป็นนกเพลิง!
ทันใดนั้นนกเพลิงก็ปรากฏตัวขึ้นในทันที
ในขณะเดียวกัน หยวนวู่จีได้สังเกตเห็นคนอีกสองคนที่อยู่บนหลังของนกเพลิงตัวนั้น
หนึ่งในนั้นเขาเป็นชายหนุ่มที่มีสีหน้าและอารมณ์ที่ไม่มีใครหยั่งถึงได้และอีกคนเป็นหญิงสาวที่มีรูปร่างผอมบางและสง่างาม
แม้ว่าเขาจะไม่รู้จักกับผู้หญิงคนนั้น แต่พวกเขานั้นคุ้นเคยกับผู้ชายคนนี้มาก
ผู้ชายคนนี้คือบุตรคนที่ห้าของนิกายชิงหยุนที่ชื่อว่า ยื่อซวน!
แม้ว่านิกายชิงหยุนนั้นจะอยู่ในอันดับที่สิบของราชวงศ์เฉียนอันยิ่งใหญ่ แต่ความแข็งแกร่งของยื่อซวนนั้นก็ใม่มีใครที่จะกล้าท้าทายเขาซึ่งๆหน้าด้วยเช่นกัน
นอกจากฐานะปรมาจารย์ที่อายุน้อยที่สุดของนิกายชิงหยุนแล้ว เขายังเป็นที่รู้จักในฐานะอัจฉริยะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของนิกายชิงหยุนในช่วงห้าร้อยปีที่ผ่านมา เขาได้ก้าวข้ามไปสู่ไประดับแก่นหลักว่างเปล่าขั้นกลางได้เมื่ออายุยี่สิบปีเท่านั้น
แม้แต่ในนิกายซวนหยินเองก็มีผู้อาวุโสหลายคนที่เกรงกลัวต่อยื่อซวนมาก พวกเขาคิดว่ามีโอกาสมากที่เขาจะก้าวข้ามไปสู่ระดับแก่นหลักแท้จริงได้ก่อนอายุยี่สิบหกและถึงขั้นแก่นหลักทองคําได้ก่อนอายุสี่สิบหกปี
ในราชวงศ์เฉียนที่ยิ่งใหญ่นั้นผู้ฝกตนในระดับแก่นหลักทองคำนั้นเป็นเครื่องหมายของพลังอำนาจที่สมบูรณ์
แต่หยวนวู่จีเองก็มีพรสวรรค์มากเพราะของเขาเพิ่งเข้าไปถึงขั้นที่เจ็ดของรูปแบบแก่นหลักแท้จริงเมื่ออายุ 18 ปี
แม้ว่าเขาจะมั่นใจว่าเขาจะเข้าสู่ระดับรูปแบบจิตวิญญาณสีม่วงก่อนอายุ 20 ปีได้ แต่เขาไม่สามารถรับประกันได้ว่าเขาจะไปถึงรูปแบบการก่อตัวหลักได้ก่อนอายุ 30 ปี
นี่เป็นอุปสรรคใหญ่สําหรับผู้ฝึกตนอย่างมากเพราะยิ่งระดับยิ่งสูงเท่าไหร่ก็ยิ่งยากที่จะก้าวข้ามไปได้
ผู้ฝึกตนหลายคนได้ทะลุผ่านขั้นที่สิบของรูปแบบจิตวิญญาณสีม่วงเมื่ออายุ 30 ปี แต่หลังจากนั้นผู้ฝึกตนส่วนใหญ่ต้องใช้เวลาหลายสิบปีก่อนที่พวกเขาจะเข้าสู่ระดับรูปแบบการก่อตัวหลัก
แต่ก็มีผู้ฝึกตนหลายคนที่พยายามทั้งชีวิตแต่ไม่สามารถก้าวข้ามไปสู่ระดับรูปแบบจิตวิญญาณสีม่วงได้
ซึ่งเรื่องนี้ได้พิสูจน์ความสามารถของยื่อซวนได้อย่างชัดเจน
หยวนวู่จีนั้นเคยได้ยินเรื่องราวของเขามาบ้าง
แต่หลังจากได้เห็นยื่อซวนปรากฏตัวขึ้น ท่าทีของหยวนวู่จีก็ดูเปลี่ยนไปอย่างมากและร่างกายของเขาก็สั่นอย่างมากพร้อมกับความกลัวในจิตใจ
ในตอนนี้เขามีความคิดเดียวในใจและนั่นคือการหนีไปอย่างรวดเร็ว และปล่อยเกล็ดน้ำแข็งทมิฬนั้นไป เพราะตอนนี้การรักษาชีวิตของเขานั้นเป็นเรื่องที่สำคัญกว่า