ตอนที่ 1131 หัวใจ ความสว่าง ประกายเจิดจ้า
“เพื่อไม่ให้ทุกคนต้องเสียเวลา ข้าคิดว่า เจ้าให้คำแนะนำเพิ่มเติมก็ได้ดูแล้วน่าจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น” เย่ว์หยางแกล้งวางตัวเป็นสุภาพบุรุษกระตือรือร้นจะรับฟังอย่างถ่อมตน
“.....” เด็กหญิงทั้งสามพูดไม่ออก
เขาโกงได้หรือ?
นี่มัน
เขาโกงแบบนี้ได้ยังไง?
ต้องบอกลูกเล่นมามิฉะนั้นจะไม่ยอมให้วายร้ายนี่ผ่านไปได้ และจะต้องอยู่ในโลกที่ไม่มีสิ้นแน่นอน
เด็กหญิงตัวน้อยที่อยู่ตรงกลางหัวเราะและไม่พูดอะไร แต่เด็กหญิงผมสั้นทรงนักเรียนด้านขวาน่ารักเจ้าเล่ห์บอกว่าเธอไม่ยอมใบ้ให้เด็ดขาด แต่เด็กหญิงแก้มเป็นพวงชมพูทางซ้ายอารมณ์ดีจิตใจอ่อนโยน เธอขยับเข้ามาหาเย่ว์หยางเพื่อดูให้ชัดและกระซิบบอกปริศนา “การสร้างเมืองมีอยู่ทั่วไป ไม่เพียงแค่นั้นแต่เป็นเทพเจ้าผู้มีพลังอันยิ่งใหญ่ แม้แต่มนุษย์ที่ไร้ประโยชน์อย่างปากเจ้าว่า คนธรรมดาก็ยังสามารถสร้างได้ การสร้างมีหลายรูปแบบ มีการสร้างทางจิตสำนึกและการสร้างทางกายภาพ, มีการสร้างในรูปแบบของพลังงาน การสร้างในรูปแบบของชีวิต, อาจมีการรู้แจ้ง หรือสร้างกฎสวรรค์..การสร้างไม่มีที่สิ้นสุด ตั้งแต่จักรวาลจนถึงธุลีเล็กนิดเดียว ไม่มีการอธิบายการสร้างทุกอย่าง”
“การสร้างมีเร็ว มีช้า มีสร้างทันที มีสร้างนิรันดร มีทั้งการสร้างที่ยอดเยี่ยมงดงาม มีทั้งการสร้างที่ต่ำต้อยและอ่อนน้อมมีทางการสร้างสรรค์ทางบวกประกอบด้วยความรักเมตตา และการสร้างทางลบแฝงด้วยความเสียหาย การสร้างไม่รู้จบได้ก่อเป็นรูปร่างโลกอย่างที่เราเห็น มีโลกมากมายนับไม่ถ้วนที่เราทั้งรู้และไม่รู้ก่อตัวกลายเป็นโลกที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเป็นชั้นๆนับแต่สมัยโบราณจวบจนถึงอนาคตทุกอย่างมีวิวัฒนาการในการสร้างโลกที่เจ้ากับข้าอยู่นั้นเจ้าก็เป็นทั้งผู้สร้างและเป็นหนึ่งในการสร้างโลก เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นมนุษย์ แล้วเจ้าคิดว่าเจ้าเป็นผู้สร้างหรือไม่เจ้ามีอำนาจทุกอย่างเหมือนกับพระเจ้า”
“สิ่งเหล่านี้เป็นการสร้างสรรค์ของการรู้แจ้งของข้าไม่ได้ครอบคลุมทุกอย่าง ต้องมีระดับที่สูงกว่าข้า ในฐานะที่ขอบเขตดินแดนรู้แจ้งของเจ้า อย่างนั้นก็ต้องดูความเข้าใจและความสามารถของเจ้า นี่ก็เป็นความแตกต่างกันระหว่างเทพและพลังของแต่ละคนด้วย!” เด็กหญิงน้อยหน้ากลมที่ชื่อว่า ‘ผู้สร้าง’ กระซิบบอกเย่ว์หยางด้วยน้ำเสียงน่ารัก
“ขนมหวานถาดนี้เป็นของเจ้า!” เย่ว์หยางดีใจยกถาดของหวานให้เด็กหญิง ‘ผู้สร้าง’
“แม้ว่าจะดูไร้เดียงสาไปหน่อย...แต่ที่สำคัญคือความตั้งใจจริงของเจ้า ขอบคุณ นี่เป็นครั้งแรกที่ข้ารับของขวัญอย่างนี้” เด็กหญิง ‘ผู้สร้าง’หน้ากลมหัวเราะและเลียกินอมยิ้มอย่างน่ารัก
“ผู้สร้างให้ความรู้สึกเล็กน้อย,อย่างนั้นการทำลายเล่า?” เย่ว์หยางหันหน้าไปทางเด็กหญิง ‘ผู้ทำลาย’ ผมสั้น
“การทำลายก็คือการสร้าง การสร้างก็คือทำลาย” เด็กหญิงผมสั้นให้คำตอบจนเย่ว์หยางสะดุ้ง
“ไม่เข้าใจ” เย่ว์หยางส่ายหน้าและโบกมือ
“โง่” เด็กหญิง ‘ผู้ทำลาย’ คนขวามือวิจารณ์เย่ว์หยางตรงๆ แบบขวานผ่าซาก เธอไม่ใจดีเหมือนกับเด็กหญิง‘ผู้สร้าง’
“โง่ไม่ใช่เรื่องสำคัญ ข้าจะอุ่นเตียงรอ!” เย่ว์หยางยิ้มมีความสุข
“ข้าจะคุยกับคนแบบนี้ได้อย่างไร?” เด็กหญิง ‘ผู้ทำลาย’ ผมสั้นกลอกตาประมาณว่า ‘เออ เจ้าชนะก็ได้’ ท่าทางน่ารักจนเย่ว์หยางนึกอยากยื่นมือไปบีบแก้มเธอ เด็กหญิง ‘ผู้ทำลาย’ ปั้นสีหน้าจริงจังและยกมือขึ้น “เรื่องทฤษฎีข้าจะไม่พูดมากเพราะเจ้ารู้แล้ว แต่ข้าสามารถอธิบายตัวอย่างขั้นตอนการฝึกให้เจ้า เจ้าจะเข้าใจด้วยตัวเองหรือไม่?”
“การสร้างที่เพิ่งพูดถึงมานั้นกล่าวคือเจ้าก็สามารถสร้างได้ แม้เจ้าจะเป็นมนุษย์ก็ตามอย่างเช่นตัวเจ้าได้พบกับหมาป่าฮุยไท่หลาง เจ้าได้สร้างอนาคตให้มัน อสูรอย่างมันไม่มีทางบรรลุถึงระดับหมาป่าปีศาจล้างโลกได้สำเร็จ แต่เป็นเพราะเจ้า อนาคตของมันจึงเปลี่ยนไป นี่คือสิ่งที่เจ้าสร้าง แน่นอนว่าเพราะอนาคตของมันเปลี่ยนไป ความแข็งแกร่งของเจ้าหมาโง่เปลี่ยนแปลงไปเพราะเจ้ามีพลังแข็งแกร่งมากขึ้น ในระหว่างติดตามเจ้ามันได้ทำลายสิ่งมีชีวิตไปเป็นจำนวนมาก ฆ่าสัตว์ไปหลายชีวิตและอสูรรูปแบบต่างๆ ที่แต่เดิมมีชีวิตที่หลากหลาย มันกินสิ่งต่างๆมากมายที่เดิมทีมันไม่มีทางกินได้ กินพลังงานจำนวนมากที่หลอมรวมไม่ได้ ในระยะเวลาสั้นๆมันได้กระทำการหลายอย่างที่นอกเหนือวิถีชีวิตปกติของมัน การกระทำเหล่านี้อาจกล่าวได้ว่าเป็นการสร้างใหม่โดยเจ้า แต่ก็ยังเป็นการทำลายล้างด้วย เนื่องจากรูปร่างหน้าตาของหมาป่าฮุยไท่หลางของเจ้าได้กลายเป็นหมาป่าปีศาจล้างโลก ภูเขาสูงตระหง่านถูกทำลายราบผืนดินผืนป่าถูกมันเผาจนเรียบ และอีกชีวิตหนึ่งก็ตายเพราะมัน นี่ไม่ใช่การทำลายล้างใช่ไหม? มันคือการทำลาย แต่ก็ยังเป็นสร้างใหม่เป็นการฝึกฝนส่วนตัวและเป็นทางเติบโตของเจ้า! ดังนั้นข้าจึงกล่าวได้ว่าการทำลายคือการสร้าง การสร้างก็คือการทำลาย” เด็กหญิงผู้ผมสั้นเสมอหูสรุปให้ฟัง
“นี่เป็นเรื่องแย่หรือเรื่องดี?” เย่ว์หยางตกใจเขาไม่เคยคิดถึงคำตอบนี้จริงๆ
“การทำลายเป็นเรื่องดีบางส่วนและเป็นเรื่องแย่บางส่วน” เด็กหญิง ‘ผู้ทำลาย’ ยิ้มตอบ
“บ่งบอกให้ชัดได้ไหม?” เย่ว์หยางถาม
ในโลกแห่งการสร้างสรรค์ไม่มีที่สิ้นสุดหากพลังงานด้านบวกเพิ่มมากขึ้น อย่างนั้นช่วงเวลานั้นจะสวยงามรุ่งเรืองมากขึ้น หากสถานที่นั้นมีคนดีมาก คนชั่วน้อยคุณธรรมของคนในที่นั้นค่อนข้างสูง คนมีส่วนร่วมและสามัคคีกันมากไม่มีการเข่นฆ่าหรือสงคราม ไม่มีมาตรการหรือแผนการเชิงลบ ในทางตรงกันข้ามถ้าในที่นั้นมีพลังด้านลบเป็นจำนวนมาก ที่นั้นจะเป็นเหมือนกองขยะมีกลิ่นที่ไม่ดี ผู้คนต่อสู้ดิ้นรนอย่างหนัก พวกเขาต่อสู้กันอย่างสิ้นหวังเพื่อผลประโยชน์เล็กน้อยทุกคนต่อสู้ดิ้นรนเพื่อผู้อื่น เพื่อโลกที่ไม่เคยพอ ในระยะเวลาสั้นๆไม่นานสถานที่นั้นกลายเป็นกองขยะที่ทำให้คนคิดว่ามันจะถูกทำลายอย่างรวดเร็ว สำหรับพื้นที่ที่ยังต้องการความรุนแรง หรือแข่งขันชิงดีชิงเด่น ในพื้นที่ชีวิตของผู้อื่นการสร้างโลกถูกทำลายอย่างต่อเนื่อง การชำระล้างโลกเป็นวิธีการที่จำเป็นในภาพรวมถือว่าเป็นภาพดี”
“ในกระบวนการฝึกฝนและเติบโตเจ้าได้ฆ่าคนไปหลายชีวิต ทรัพย์สมบัติหรือทรัพยากรจำนวนมากถูกเจ้าปล้นไป เจ้าไม่กล้าพูดว่าทุกอย่างที่ทำไปล้วนแต่มีความรู้สึกผิดชอบชั่วดี แต่โดยทั่วไปแล้วการทำลายล้างที่เจ้าได้สร้างขึ้นมากมายกว่าสิ่งที่เจ้าได้สร้างมองในมุมกว้างเจ้าไม่เพียงแต่ใช้การสร้างสรรค์แต่ยังรวมถึงพลังแห่งการทำลายล้าง แต่ยังดีที่สร้างสภาพแวดล้อมที่มั่นคงที่มีความสมดุลเอื้อประโยชน์ต่อการสร้างสรรค์ของผู้อื่นยังไม่ถือว่าเป็นคนเลว หากเจ้าประคองตัวเองเพื่อสร้างความสุขให้กับผู้อื่นและนำความมั่นคงมาให้ผู้อื่นมากขึ้นเจ้าจะไม่มีวันล้ม!”
“ถ้านักรบเสื่อมโทรมล้มเหลวจะต้องเผชิญกับผนึกที่น่ากลัวใช่ไหม?” เย่ว์หยางถามด้วยความรู้สึกขนลุก
“สิ่งเลวร้ายที่สุดนั่นคือการทำลายล้างครั้งสุดท้ายการลบล้างทำลายการสร้างสรรค์ชีวิตที่เกี่ยวข้องนี้ทั้งหมดอย่างสมบูรณ์ราวกับว่าชีวิตนี้ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน ไม่มีใครจดจำได้อีกเลยหากมีร่องรอยของการฟื้นฟู อย่างนั้นก็แค่ถูกผนึกไว้แน่นอนว่าเงื่อนไขแตกต่างกันระดับการทำลายล้างก็แตกต่างกัน เงื่อนไขนี้อยู่เหนือความสามารถข้า ข้าไม่สามารถพูดถึงการทำลายล้างเกินไปกว่านี้ได้” เด็กหญิง ‘ผู้ทำลาย’ บอกกับเย่ว์หยางว่ายังมีระดับทำลายล้างที่สูงกว่าเธอ
“สิ่งใดจำเป็นต้องใช้กับมาตรฐานพลังทำลายล้าง?” เย่ว์หยางเหมือนจะเข้าใจบ้าง จึงถามต่อ
“ใช้หัวใจเจ้าตัดสิน จงตัดสินด้วยตัวเอง”
“ถ้าการตัดสินผิดพลาดเล่า?”
“นั่นเป็นเพราะเจ้ายังไม่ได้ค้นพบตัวตนของเจ้า และยังไม่ได้สะท้อนหัวใจที่บริสุทธิ์ของเจ้าออกมา...”
หลังจากฟังแล้วเย่ว์หยางสูดหายใจลึกมีแรงกระตุ้นในใจของเขาที่เขาต้องการจะเข้าใจทันที แต่เขาข่มใจเพราะเวลาไม่เป็นใจยังมีข้อมูลอีกมาก เขายังไม่ได้ถามเด็กหญิง ‘ผู้นิรันดร์’
เด็กหญิง‘ผู้นิรันดร์’ ยิ้มอยู่เงียบๆเธอเป็นหัวหน้าของเด็กหญิงทั้งสาม
หากไม่สามารถรับข้อมูลที่แท้จริงจากเธอโดยตรงนับเป็นความเสียใจที่ยิ่งใหญ่ของชีวิตจริงๆ
ในขณะที่จิตใจปั่นป่วนเย่ว์หยางมองดูเด็กหญิงคนกลางผู้เงียบสงบเหมือนน้ำนิ่ง“ถ้าอย่างนั้นความนิรันดร์คืออะไร?”
เด็กหญิงผู้อ้างชื่อว่า‘ผู้นิรันดร์’ เงยหน้ามองดูเย่ว์หยางเงียบๆ “การสร้างที่ดีที่สุดคือความนิรันดร์และการทำลายล้างที่ดีที่สุดคือความนิรันดร์”
คำตอบนี้ทำให้เย่ว์หยางอึ้งเกินจินตนาการอีกครั้ง
เด็กหญิงน้อยมองหน้าเย่ว์หยางและยิ้ม“ในโลกนี้มีการสร้างสรรค์บางอย่างที่ลบล้างไม่ออกและการทำลายล้างบางอย่างที่มิอาจถูกลืมได้เจ้าจะเข้าใจความเป็นมนุษย์นิรันดร์แท้จริงได้ เจ้าก็สามารถหลบหลีกเทพได้ มนุษย์สามารถรู้ได้ว่าความนิรันดร์คืออะไร แต่มนุษย์ไม่สามารถควบคุมความนิรันดร์ได้... ปุถุชนมักจะปล่อยตัวไปตามกระแสระหว่างการสร้างและการทำลายล้าง ทันทีที่พวกเขาเกิดก็พังทลายกับพื้น เมื่อเราอยู่ในห้องสนทนากัน พวกเขาเติบโตวิญญาณของพวกเขาแข็งกล้ามากขึ้น และเมื่อพวกเขามีความสามารถพิเศษเล็กน้อย พวกเขาภาคภูมิใจที่ไม่มีใครเทียบพวกเขาได้ แต่ระหว่างที่เราสนทนากันอยู่นี้พวกเขาแก่มีผมหงอกฟันหลุดร่วง ร่างกายที่แข็งแรงก่อนนั้นอ่อนแอลงเนื้อตัวเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น ความตายก็เริ่มคุกคามพวกเขา ก็เหมือนกับสตรีที่มีใบหน้างดงามเริ่มต้นแก่ชราเหี่ยวเฉา ในที่สุดก็เหลือแต่กระดูกที่เหี่ยวแห้งนี่คือชีวิตเล็กๆ ของมนุษย์ที่น่าสงสารที่รู้จักสนุกสนานดิ้นรนสร้างสรรค์และทำลายอย่างไม่หยุดยั้งแต่ไม่มีทางหนีจากความเป็นชีวิตที่อ่อนแอเล็กน้อยนี้ได้ ปณิธานของพวกเขาแย่มาก พวกเขาสนุกไปกับความสุขเล็กๆน้อยๆ ดื่มด่ำกับความต้องการนอนหลับมีสัมพันธ์ ร้องไห้เจ็บปวดก็แทบไม่อาจทนได้ พวกเขาไม่ต้องการพัฒนาตัวเองจนเกินไป หากต้องการหลีกเลี่ยงข้อจำกัดนี้ ก็ต้องก้าวข้ามข้อจำกัดเหล่านี้ให้ได้”
“ตราบใดที่เจ้าก้าวข้อจำกัดนั้นได้อย่างสมบูรณ์ เจ้าจะมีตัวตนที่แท้จริง และมีชีวิตนิรันดร์ เมื่อเจ้าได้ความอมตะเจ้าจะมีร่างกายที่ไม่แตกสลาย ความรู้ที่มีจะมั่นคงไม่ผิดพลาดไม่มีความลังเลสงสัย ทั้งมีความสุขห่างไกลจากทุกข์ความเจ็บปวดที่มนุษย์จมปลักอยู่ในนั้น เมื่อถึงระดับนั้นเจ้าจะมีพลังอย่างแท้จริงเป็นตัวตนที่แท้จริง ไม่ว่างเปล่าเหมือนควันไฟ นี่คือความอมตะ หรือความนิรันดร์”
“ถ้าข้าไม่สามารถเข้าใจความนิรันดร์ได้ อย่างข้าก็เป็นแค่ความฝันใช่ไหม?” เย่ว์หยางตกใจ
“เจ้ายังไม่ได้อยู่ชั่วนิรันดร์ ในไม่ช้าเจ้าจะตายในทะเลผู้คนที่กว้างใหญ่ไพศาลไม่มีที่สิ้นสุดเจ้าจะไม่เหลือแม้แต่เศษธุลี ผ่านไปหลายล้านปีใครยังจะจำความคงอยู่ของเจ้าได้? ไม่มีใครรู้ถึงความมีอยู่ของเจ้า? การดำรงอยู่ของเจ้ามีความหมายต่อผู้ใด? คนเราไม่ว่าจะมีชีวิตงดงามเพียงใด ในสายธารแห่งกาลเวลาหลายร้อยล้านปีเขายังไม่สามารถนับดวงดาวในดาราจักรได้ ในทางตรงกันข้ามถ้าเจ้ามีชีวิตเป็นนิรันดร์เจ้าจะเป็นปรมาจารย์แห่งการสร้างและเป็นผู้ทำลาย จะมีทางแยกมากมายทุกที่ๆเจ้าสร้างถูกจัดการโดยตัวเจ้า เจ้าจะควบคุมทุกอย่าง....เจ้ายังคงฝันเช่นนี้หรือไม่?” เด็กหญิง ‘ผู้นิรันดร์’ คนกลางยิ้มน้อยๆใบหน้าของเธอเปล่งประกายดวงปัญญาที่ไม่รู้จบ
เย่ว์หยางค่อยๆหลับตา
กางแขน
เขายืดตัวแล้วทิ้งตัวลงอย่างอิสระเหมือนกอดเหมือนหลับอยู่กลางอากาศราวกับว่าใจของเขาหลอมรวมกับฟ้าและดินไม่มีอะไรขวางกั้นได้
วินาทีต่อมาร่างของเขาฉายประกายรัศมีนับล้านๆสายส่องสว่างไปทั่วโลกไร้ที่สิ้นสุดเหมือนดวงตะวัน
โลกไร้ที่สิ้นสุดไม่ทราบว่ากลายเป็นหัวใจของเย่ว์หยางตั้งแต่เมื่อใด
และเปล่งแสงสว่างเจิดจ้า