ตอนที่ 1125 ความจริงที่คาดไม่ถึง
“มีสถานที่สำหรับส่งเสริมประสบการณ์พิเศษให้เจ้าถ้าเจ้าสามารถทำได้...อย่างไรก็ตามตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม” คนที่กล่าวคนแรกคือสตรีผู้ถือคัมภีร์สีเงินชุดขาวนางพูดไม่จบเหมือนกับว่าสงวนคำพูดไว้
“นั่นก็ดีแล้ว ข้าเชื่อว่าเราจะปฏิบัติตามข้อกำหนดตามวันเวลาที่กำหนดไว้และจะไม่สายเกินไปแน่” เย่ว์หยางยิ้มเล็กน้อย
เขารู้มานานแล้วว่าการทดสอบขั้นสุดท้ายไม่ใช่เรื่องง่ายนัก
ถ้าการทดสอบง่ายมากอย่างนั้นหมื่นปีที่ผ่านมานักรบผู้มีความสามารถของรุ่นก่อนที่ได้ปฏิบัติตามข้อกำหนดคงบรรลุเป้าหมายไปมากมายแล้ว
นอกจากนี้ จากมุมมองของฝ่ายตรงข้ามยิ่งการทดสอบยากยิ่งขึ้น รางวัลความสำเร็จย่อมเป็นของที่ดีที่สุดแน่นอน เทวทูตทั้งสามสามารถอยู่และรอเวลาที่จะมาถึง สำหรับเย่ว์หยางถือว่าสิ่งนี้ประสบความเร็จไปมากกว่าครึ่งเมื่อเทียบกับจีอู๋ลี่ผู้แสวงหาผลลัพธ์โดยการแลกเปลี่ยนกับเทพปีศาจ เย่ว์หยางกับหมิงจูกำลังก้าวหน้าไปถูกทางอย่างมิต้องสงสัย เฉพาะการทดสอบสุดท้ายการฟื้นคืนชีพของเทพปีศาจ
คุณชายหมิงจูรู้ว่าพวกนางจะไม่พูดตอนนี้ แต่พวกนางทั้งไม่เต็มใจและไม่สามารถช่วยได้ ได้แต่ถามปัญหาขึ้น “ท่านช่วยบอกเราได้ไหมเกี่ยวกับหุบเขาโลกธาตุและหุบเขาสวรรค์?”
เทวทูตหญิงคนกลางยิ้มโดยไม่พูดอะไรเพียงแต่ลูบคัมภีร์ในมือ
เทวทูตคนที่หยิ่งและกล้าหาญหยุดพูด
เทวทูตหญิงหน้ากลมน่ารักเห็นเย่ว์หยางต้องทำเป็นเหมือนไม่ให้ความร่วมมือกับคุณชายหมิงจูนางอดปลอบใจเขามิได้ “ที่จริงสถานที่แห่งนี้ไม่ใช่ว่าจะเป็นความลับ เราจะบอกเจ้าเร็วๆนี้หรือต่อจากนั้น แต่ตอนนี้ยังไม่เหมาะสมที่จะบอกเจ้า มันจะส่งผลต่ออารมณ์และสถานะของเจ้า
เย่ว์หยางและคุณชายหมิงจูมองหน้าและพยักหน้าให้กันและขอบคุณเทวทูตสาวหน้ากลมผู้น่ารัก
นางมิได้ระบุไว้ให้ชัดเจน
แต่เย่ว์หยางและคุณชายหมิงจูพยายามคาดเดานิดหน่อย
ก่อนหน้านี้พวกนางบอกว่าเทพปีศาจกลับมาและถ้าไม่มีใครหยุดมันได้พวกนางจะออกมาเอง...เย่ว์หยางสงสัยว่าถึงเวลานั้นคงมีแต่เทพปีศาจผู้เดียวเท่านั้น ไม่อาจจะรักษาหุบขามนุษย์ไว้ได้และล่มสลายในที่สุด จากนั้นจะมีเทพปีศาจนับไม่ถ้วนในหุบเขาโลกธาตุและหุบเขาสวรรค์
ถ้าการใช้ชีวิตในหุบเขาโลกธาตุและหุบเขาสวรรค์ยังเอาตัวไม่รอดแล้วพวกเขาจะไปที่ไหน?
ความปลอดภัยที่แท้จริงอยู่ตรงไหน?
นอกจากนี้เย่ว์หยางยังมีข้อสงสัยเกี่ยวสถานที่เร้นลับอย่างหอคอยเหนือหอคอแห่งหุบเขามนุษย์ ขุนเขาเหนือขุนเขาแห่งหุบเขาโลกธาตุและฟ้าเหนือฟ้าแห่งหุบเขาสวรรค์ ไม่ใช่ว่าสถานที่เหล่านี้ไม่มีอยู่จริง แต่หลังจากการต่อสู้ในหอคอยเหนือหอคอยเป็นการยืนยันข้อสันนิษฐานในใจของเย่ว์หยาง หลังจากคุยกับองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนและจักรพรรดินีเทียนฟาในโลกคัมภีร์แล้วเย่ว์หยางก็ได้ข้อสรุปตามจากการเสนอแนวคิดของทุกคน จากนั้นแบ่งปันแนวคิดสันนิษฐานให้กับหมิงจู นั่นคือ ตอนนี้ในหอคอยโบราณแห่งหุบเขามนุษย์ความจริงก็คือหอคอยเหนือหอคอย และหอคอยเหนือหอคอยซึ่งเป็นสถานที่ต่อสู้กับเทพปีศาจนั้นก็คือหอคอยโบราณแห่งหุบเขามนุษย์
ทั้งสองที่สลับตำแหน่งกันโดยไม่ทราบสาเหตุ
วิญญาณของเทพปีศาจหลุดออกจากร่างและถูกผนึกไว้ในหอคอยเหนือหอคอย
ซึ่งความจริงก็คือหอคอยโบราณนั่นเอง
อาจเป็นเพราะผู้แข็งแกร่งทรงพพลังยุคโบราณสลับช่องว่างมิติระหว่างหอคอยโบราณกับหอคอยเหนือหอคอย
นั่นคือหนึ่งในเหตุผลที่ทุกคนจะเห็นได้ว่ารูปแบบอาคารโบราณหลังจากเข้าไปในอาคารจะมีขนาดใหญ่โดยเฉพาะอย่างยิ่งใหญ่กว่าอาคารด้านนอกถึงสิบเท่า อีกเหตุผลหนึ่งก็คือเมื่อเย่ว์หยางนำหินเทพเจ้าออกมาที่ยอดเขาทั้งสี่ของหอคอยโบราณเพื่อเข้าสู่พื้นที่ผนึกโบราณและค้นหาสมบัติโบราณ หินวิเศษเหล่านี้รู้จักกันในนามของพลังงานอนันต์เดิมทีไม่ได้มีอยู่หลังจากที่เทพปีศาจถูกผนึกเพื่อใช้วัตถุโบราณนั้นยับยั้งเทพปีศาจไม่ให้ออกมาจากผนึก นักรบโบราณที่แข็งแกร่งจงใจสร้างประตูเทเลพอร์ตและหินพลังงานในยอดเขาทั้งสี่ทิศ เย่ว์หยางใช้ตาทิพย์ตรวจสอบพบว่ายอดเขาทั้งสี่ทิศยังไม่ได้รับหินพลังงาน
ยิ่งกว่านั้น แม้ว่าจะมีประตูเทเลพอร์ตแต่ไม่จำเป็นต้องใช้พลังงานจากศิลาศักดิ์สิทธิ์
ทุกอย่างถูกเปิดเผย
เกี่ยวกับการทดสอบสติปัญญา สำหรับการทดสอบคนรุ่นหลัง นักเรียนที่ฉลาดที่สุดและยอดเยี่ยมที่สุดสามารถค้นหาโบราณวัตถุได้ คนธรรมดาไม่มีทางได้รู้ความลับฟ้าและแม้แต่ไม่มีโอกาสร่วมในการทดสอบค้นหาโบราณวัตถุ
หอคอยเหนือหอคอยเป็นหอคอยโบราณดั้งเดิมของแท้ และเย่ว์หยางรู้สึกว่ายังมีเหตุผลอื่นสนับสนุนอยู่
นั่นคือพลังเทพ
ในการต่อสู้กับเทพปีศาจพลังที่น่าหวาดหวั่นพรั่นพรึงที่เทพปีศาจแสดงออกมานั้นไม่มีใดเทียบได้ แต่ยังเป็นพลังที่อ่อนแอเพียงหนึ่งในร้อยของพลังเทพเดิมแต่ก็ยังเล่นงานเย่ว์หยางจนทุลักทุเล เด็กหนุ่มจากโลกอื่นอาจพูดได้ว่า เป็นสุดยอดฝีมือที่สั่นสะท้านจักรวาลได้ ในท้ายที่สุดแล้ว เขาก็แทบเอาตัวไม่รอดเพียงแต่เทพปีศาจไม่มีโอกาสโจมตีครั้งที่สอง ในทางตรงกันข้าม เมื่อแข่งขันกันที่ยอดเขาตะวันตกที่เขาเผชิญกับจินฉีและว่านหมอ จินฉีได้พลังปีศาจมาหนึ่งในหมื่นและว่านหมอได้พลังเทพปีศาจมาหนึ่งในพัน แม้ว่าดูเหมือนจะได้ความสามารถมามาก แต่ในความเป็นจริงเย่ว์หยางรู้สึกว่าการต่อสู้ง่ายกว่าที่เขาคิด
หากสลับไปสู้กับเทพปีศาจที่หอคอยเหนือหอคอยพลังเทพหนึ่งในพันก็ทำให้เขาลำบากได้
ทำไมความแตกต่างระหว่างทั้งสองจึงมากมายขนาดนั้น?
เหตุผลก็คือหอคอยโบราณก็คือหอคอยเหนือหอคอยที่แท้จริงซึ่งเทพสร้างให้สำหรับเป็นที่ฝึกฝนและกฎสวรรค์ที่จำกัดห้ามมีพลังรุนแรง
ดังนั้นจินฉีและว่านหมอที่ต่อสู้กับเย่ว์หยางในยอดเขาตะวันตก พลังเทพปีศาจของพวกเขาถูกสกัดกั้นโดยกฎสวรรค์และอ่อนแอลงอย่างมาก ไม่เช่นนั้นพลังที่พวกเขาใช้จะต้องมากมายยิ่งกว่านั้น
ถ้าจินฉีกับว่านหมอเปลี่ยนที่สู้กับเย่ว์หยาง
ไม่ว่าที่ใดในหุบเขามนุษย์
แม้ว่าพวกเขาจะพ่ายแพ้ก็ตาม
แต่คงไม่พ่ายแพ้อย่างน่าอนาถ
หากพลังเทพที่ทำการแลกเปลี่ยนกันโดยเทพปีศาจไม่มีผลเลย เทพปีศาจจะรู้ว่ามันจะไร้ประโยชน์ถ้าเขาเล่นงานเย่ว์หยาง?แน่นอนว่าเขาต้องการกำจัดเย่ว์หยาง แต่น่าเสียดายที่เทพปีศาจไม่ได้คิดว่าจินฉีและว่านหมอจะต่อสู้กับเย่ว์หยางที่ยอดเขาตะวันตก ดังนั้นผลลัพธ์ของพลังเทพบางอย่างก็ไร้ประโยชน์และเย่ว์หยางถูกโจมตี
สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเย่ว์หยางได้รับข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความลับของเทพปีศาจ
เขาไม่สับสนเหมือนเมื่อก่อนที่ไม่รู้อะไร
เพราะการสลับระหว่างหอคอยโบราณและหอคอยเหนือหอคอยเป็นเพราะทัศนคติก่อนหน้านี้ของเทวทูตสาวชุดขาวทั้งสามเช่นเดียวกับข้อมูลเล็กน้อยที่เย่ว์หยางรวบรวมไว้จากนางพญาเฟ่ยเหวินหลีและเหตุผลขององค์หญิงเชี่ยนเชี่ยน เย่ว์หยางได้ทำการคาดเดาที่กล้าหาญมาก หากหุบเขามนุษย์ล่มสลายไปเฉยๆอย่างนั้นหุบเขาโลกธาตุและหุบเขาสวรรค์ก็ไม่สำคัญ ดังนั้นพวกเขาต้องพูดเท็จ...มิฉะนั้นเทพโบราณคงไม่สามารถสร้างดินแดนมิติฝึกฝีมือที่จะทำให้คนรุ่นหลังไม่มีความหวังไม่มีทางสำเร็จเป้าหมายได้เลย!
หุบเขามนุษย์ หุบเขาโลกธาตุและหุบเขาสวรรค์มีแนวโน้มว่าจะตกอยู่ในมือของเทวทูตชุดขาวสามสาว
จากนั้นพวกนางเลือกเป็นการส่วนตัว
มีแต่ผู้มีคุณสมบัติที่ดีที่สุดถึงจะเข้าไปได้
เป็นไปไม่ได้ที่เทพโบราณจะให้การส่งเสริมทดสอบฝึกฝนเทพที่มีความทะเยอทะยานรุ่นหลังหรือเทพปีศาจชั่วร้าย ที่ไม่มีทางควบคุมบังคับได้ เป็นไปไม่ได้ที่จะปล่อยให้กองกำลังป่าเถื่อนควบคุมคนที่มีความหวังที่แท้จริงให้หลงทาง
ดังนั้นกุญแจสำคัญสำหรับไขทุกอย่างอยู่ที่เทวทูตสตรีชุดขาวทั้งสาม
พวกนางแสดงถึงประสงค์ของเทพเจ้าโบราณในระดับหนึ่ง
อย่างน้อยก็อยู่ในยุคเดียวกันกับเทพโบราณจะเลือกผู้สืบทอดเจ้าของคัมภีร์เทพที่แท้จริง... หากหุบเขามนุษย์เป็นของปลอมอย่างนั้นหุบเขาโลกาและหุบเขาสวรรค์ที่จำเป็นต้องผ่านไปให้ได้ก็เป็นของปลอมเช่นกัน จริงๆ แล้วมันอยู่ที่ไหน?
“เจ้ายิ้มค่อนข้างน่ากลัว อย่าตีข้านะข้าจะไม่พูดอะไรเลยในตอนนี้” เทวทูตสาวหน้ากลมผู้น่ารักกลัวที่จะมองเย่ว์หยางเพราะเด็กหนุ่มหัวเราะน่ากลัวพร้อมกับจ้องมองนาง ใบหน้าของสาวเทวทูตผู้น่ารักบ่งบอกว่ามีจิตใจอ่อนโยนที่สุด และนางชอบหยอกล้อเย่ว์หยางมากที่สุดนางจึงเป็นคนที่น่าบอกความลับได้มากที่สุด
“ก็ได้ อย่ามองข้าเหมือนกับหมาป่าเห็นลูกแกะ เจ้าเช็ดน้ำลายที่ปากก่อน!” คุณชายหมิงจูทนดูไม่ไหวเขาใช้วิธีอย่างสุภาพ เจ้าหมอนี่ดีแต่จะใช้กำลังหรือไง?
“ข้าเหมือนคนช่างกระวนกระวายอย่างนั้นหรือ?” เย่ว์หยางทำตัวกร่างคุณชายหมิงจูยืนอยู่ด้วยอย่างนี้เขาหักหน้าได้อย่างไร
“ไม่ใช่ว่าดูเหมือน แต่ว่าใช่เลย!” คุณชายหมิงจูรู้สึกว่าการป้องกันอย่างเข้มงวดไม่มีอะไรผิดจะเป็นยังไงถ้าเจ้าเด็กนี่ ทำงานเพื่อผลประโยชน์ตัวเองภายใต้หน้ากากทำงานเพื่อสาธารณะเป็นแค่เพียงไม่จริงใจอย่างนั้นหรือ
“ก็ได้เจ้าชนะ” เย่ว์หยางทำเป็นก้มหน้าขีดเขียนแก้เก้อ เขาไม่ต้องการทะเลาะกับคุณชายหมิงจู
คุณชายหมิงจูเชิดหน้าภูมิใจเหมือนนกยูง
มันยากที่จะเอาชนะเขาได้สักครั้ง และเอามาอวดเมื่อใดก็ได้!
เทวทูตสตรีที่ถือคัมภีร์สีเงินนั่งเงียบๆในกระโจมชั่วคราวที่เย่ว์หยางสร้างให้ นางทรุดตัวนั่งลงไม่ว่าเย่ว์หยางและหมิงจูจะทำอะไร นางไม่สนใจส่วนเทวทูตสตรีที่ดูห้าวหาญมองเย่ว์หยางและหมิงจูจากนั้นเดินเข้าไปพักในกระโจมเหลือแต่เทวทูตหญิงหน้ากลมน่ารักเอียงคอมอง ดูเหมือนนางจะชอบมองภาพลักษณ์ย่ำแย่ของเย่ว์หยางเป็นรูปลักษณ์เหมือนขโมยที่ถูกจับได้ เห็นแล้วมีความสุข
ในเวลากลางคืน เย่ว์หยางก่อกองไฟ
เขาจับปลาและกุ้งในทะเลมาทำกับข้าวมื้อค่ำ
เทวทูตสามสาวไม่สนใจอาหาร แต่นางดื่มน้ำพุวิญญาณที่เย่ว์หยางนำมาจากหอทงเทียน
คุณชายหมิงจูวิพากษ์วิจารณ์งานฝีมือของเย่ว์หยาง แต่ในความเป็นจริงเขาพอใจมากเขายิ้มและถามเกี่ยวกับกิจการของเย่ว์หยางในแดนสวรรค์ แน่นอนสิ่งที่อย่างถามมากที่สุดก็คือหอทงเทียน น่าเสียดายที่เย่ว์หยางแค่สนทนาสั้นๆนอกจากเป็นหัวข้อที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
“หอทงเทียน กล่าวกันว่ามีสุสานเทพเจ้า สุสานเทพเจ้าจริงๆใช่ไหม?” เทวทูตหน้ากลมผู้น่ารักมีความรู้ดีมาก
“และคัมภีร์เทพด้วย!” เทวทูตหญิงผู้หยิ่งจิบน้ำพุวิญญาณและพูดคุยสนทนาด้วย
“เจ้าเคยเห็นคัมภีร์เทพมาก่อนไหม?” เย่ว์หยางเหลือบตาถาม
“คัมภีร์เทพจะอยู่ในใจของผู้ที่มองเห็นได้..ผู้ที่ถูกลิขิตไว้ว่าจะได้มาจึงจะเห็นได้ ผู้ที่ไม่มีชะตาได้รับก็จะมองไม่เห็นแน่!” เทวทูตผู้ถือคัมภีร์เงินยิ้มอ่อนโยนราวกับจะถามเย่ว์หยางเงียบๆ ว่าเจ้าคิดว่าตนเองมีวาสนาหรือไม่? ประโยคนี้ของนางก็มีความหมายว่าคัมภีร์เทพไม่ใช่สิ่งที่จะรับได้ตามต้องการ ไม่ว่าจะใช้ความพยายามมากเพียงไหนทุ่มเทราคามากเพียงไหนก็ไม่มีทางได้รับ เพราะคัมภีร์เทพเลือกเจ้าของเอง
คัมภีร์เทพจะเลือกเจ้านายของตนเอง
แน่นอนว่าไม่ใช่สิ่งที่กองกำลังภายนอกจะบังคับเอามาได้ไม่ว่าจะมีพลังมากขนาดไหนก็เป็นไปไม่ได้
ความจริงเย่ว์หยางไม่คิดถึงปัญหาเรื่องนี้ เด็กหนุ่มจากโลกอื่นยังมีคัมภีร์เทพฤทธิ์ที่เขายังไม่มีโอกาสได้ใช้ สำหรับคัมภีร์เทพเขาต้องการได้มาเพื่อป้องกันไม่ให้คนอื่นได้ไปไม่ใช่เพื่อตัวเขาเอง
แน่นอนว่าถ้าคัมภีร์เทพเลือกเขา อย่างนั้นเย่ว์หยางก็ไม่ต้องเกรงใจ
เย่ว์หยางไม่ต้องการสนทนาหัวข้อนี้มากเกินไปเนื่องจากคัมภีร์เทพฤทธิ์ที่ไม่สามารถเรียกใช้งานได้ทำให้เขากังวลอย่างมากว่าความลับจะรั่วไหลโดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อหน้าคุณชายหมิงจู และสามเทวทูตสาวชุดขาวถ้าพูดไปโดยไม่ตั้งใจอย่างนั้นก็จบกัน ดังนั้นเย่ว์หยางเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเป็นเรื่องหุบเขาทั้งสาม หุบเขามนุษย์หุบเขาโลกธาตุและหุบเขาสวรรค์ “ถ้าประสบการณ์ในหุบเขามนุษย์คือการเกิดใหม่จากนั้นพัฒนาตนจนเลื่อนไปเป็นเทพ อย่างนั้นประสบการณ์ในหุบเขาโลกธาตุและหุบเขาสวรรค์จากนั้นจะเป็นยังไง?”
คำถามนี้เขาถามโดยไม่ตั้งใจ และไม่ได้ถามเพื่อลองใจ
เป็นปฏิกิริยาตามธรรมชาติอย่างสมบูรณ์
เขาต้องการพูดคุยเรื่องนี้ หลังจากพูดเรื่องนี้แล้วเย่ว์หยางรู้ตัวทันทีก็รีบเปลี่ยนหัวข้อคุย
คาดไม่ถึงว่าเทวทูตหญิงผู้ถือคัมภีร์สีเงินเปลี่ยนทัศนคติและตอบเขาโดยตรง “จริงๆ แล้วมันไม่สำคัญ สำหรับเจ้าความหมายที่แท้จริงของหุบเขาโลกธาตุก็คือทำลายและหุบเขาสวรรค์ก็คือการสร้าง”
“....” เย่ว์หยางและคุณชายหมิงจูตกตะลึง มองหน้ากันเองและพวกเขาพูดไม่ออกชั่วครู่
ทำไมนางถึงบอกความจริง?
แต่สิ่งที่น่าสงสัยที่สุดก็คือการสร้างของหุบเขาสวรรค์ไม่มีอะไร แต่ความหมายที่แท้จริงของหุบเขาโลกธาตุคือการทำลายนั้น...การทำลายคือการทดสอบชนิดหนึ่งหรือ?