ตอนที่ 13 วิธีการซ่อนพลัง
ลู่หยานรันกำลังนั่งอยู่บนหลังของนกเพลิงที่กำลังลอยสูงหลายพันฟุตบนท้องฟ้า เธอมองลงไปที่พื้นด้านล่างและอดไม่ได้ที่จะตื่นเต้น
นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้อยู่บนท้องฟ้าแบบนี้
"ลู่หยานรันในภูมิภาคเทียนหยวนนั้นผู้อ่อนแอนั้นจะตกเป็นเหยื่อของผู้แข็งแกร่งและผู้แข็งแกร่งนั้นจะได้รับการเคารพ โลกใบนี้มันโหดร้ายมาก เจ้าต้องจําไว้ว่าอย่าเปิดเผยความสามารถของเจ้าต่อหน้าผู้อื่นโดยเด็ดขาด!
"และวันนี้ข้าจะสอนวิธีซ่อนออร่าพลังของเจ้า!"
ยื่อซวนที่ยืนอยู่บนหลังนกเพลิงพูดด้วยสีหน้าที่นิ่งๆ พลังทางจิตวิญญาณในร่างกายของเขากลายเป็นเกราะใสบางๆเพื่อต้านทานแรงลมบนท้องฟ้า
ทันใดนั้นเขาก็นึกอะไรบางอย่างได้จากการที่หลินชิงนั้นได้เข้ามาหาเขา เพราะยื่อซวนนั้นจดจ่ออยู่กับการถ่ายทอดพลังให้กับลู่หยานรันจนเขาลืมสอนเรื่องวิธีซ่อนพลังของเธอ
เมื่อได้ยินแบบนี้ ลู่หยานรันซึ่งกำลังนั่งไขว้ขาที่บนหลังของนกเพลิงอดไม่ได้ที่จะมองไปที่ยื่อซวนด้วยแววตาที่เป็นประกาย
ยื่อซวนเอื้อมมือไปแตะหน้าผากของลู่หยานรันเบาๆ
"วิธีการซ่อนพลังงั้นหรือ?"
ในขณะเดียวกันเทคนิคลับก็ได้ปรากฏขึ้นในใจของลู่หยานรัน
ด้วยการฝึกเทคนิคการซ่อนพลังนั้นทำให้สามารถซ่อนความแข็งแกร่งของตัวเองได้อย่างง่ายดาย เว้นแต่ความแตกต่างด้านพลังของทั้งสองฝ่ายนั้นจะมากเกินไปอีกฝ่ายจนอีกฝ่ายสามารถรู้ถึงพลังได้แม้ว่าจะซ่อนมันไว้ก็ตาม
ระดับในตอนนี้ของลู่หยานรันนั้นอยู่ในขั้นที่เก้าของรูปแบบการเปลี่ยนแปลงฉี หลังจากฝึกเทคนิคการซ่อนพลังแล้วอย่างมากท่าสุดนั้นเธออจะสามารถปิดกั้นการตรวจจับพลังทางจิตวิญญาณของผู้ฝึกตนสถานะแก่นหลักว่างเปล่าได้ หากเธอได้พบกับผู้ฝึกตนระดับแก่นหลักแท้จริงหรือระดับที่สูงกว่านั้น เทคนิคลับนี้จะไร้ผลในทันที
แน่นอนว่าด้วยความก้าวหน้าด้านความแข็งแกร่งของลู่หยานรันนั้นจะสามารถช่วยปรับปรุงเทคนิคการซ่อนพลังของเธอได้อีกด้วย
[ดิ๊ง! เนื่องจากท่านให้มอบเทคนิคการซ่อนพลังแก่ลูกศิษย์ของท่าน ท่านจึงได้รับการตอบแทนแบบสุ่ม 21 เท่า ขอแสดงความยินดี ท่านได้รับเทคนิคการซ่อนลมหายใจ!]
เสียงของระบบดังขึ้นในใจของยื่อซวน
ทันใดนั้นเขาก็รีบอ่านความสามารถของเทคนิคการซ่อนลมหายใจทันที
เทคนิคการซ่อนลมหายใจนั้นเหมือนกับเทคนิคการซ่อนพลังในก่อนหน้านี้ นอกจากนี้มันยังสามารถปิดบังระดับเฉพาะของผู้ฝึกตนได้ แต่มันสามารถปกปิดพลังของผู้ฝึกตนได้อย่างสมบูรณ์จนทําให้อีกฝ่ายนั้นรู้สึกว่าผู้ใช้ความสามารถนี้นั้นไร้ซึ่งพลัง
หรือก็คือเทคนิคการซ่อนพลังนั้นสามารถปิดบังระดับการฝึกตนของผู้ฝึกตนได้เท่านั้น แต่เทคนิคการซ่อนลมหายใจสามารถปิดบังข้อมูลทั้งหมดของผู้ฝึกตนได้
ไม่ว่าจะเป็นระดับของผู้ฝึกตนการหายใจการเต้นของหัวใจหรืออื่นๆซึ่งมันสามารถปกปิดได้อย่างสมบูรณ์ หลังจากใช้เทคนิคการซ่อนลมหายใจแล้วผู้ใช้จะเป็นเหมือนเม็ดทรายดูธรรมดาทั่วไปทันที
ยิ่งไปกว่านั้นหากใครสามารถฝึกความสามารถนี้ให้อยู่ในสถานะเชี่ยวชาญได้ มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะปิดบังการตรวจจับของผู้ฝึกตนระดับสูงได้ หรือก็คือผู้ที่ใช้ความสามารถนี้จนเชี่ยวชาญนั้นจะเป็นเหมือนกับนักฆ่าที่ไร้เสียงและเงา
เมื่อได้เห็นแบบนี้ ยื่อซวนจึงเลือกที่จะใช้มันโดยไม่ลังเล
"หืม?"
ลู่หยานรันที่สามารถตรวจจับพลังได้แล้วในตอนนี้อดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วขึ้น เธอรู้สึกเหมือนว่าเธอนั้นไม่สามารถตรวจจับการมีตัวตนอยู่ของปรมาจารย์ของเธอได้เลย
แต่เมื่อเธอลืมตาขึ้นปรมาจารย์ของเธอก็อยู่ข้างๆเธอด้วยสีหน้าสงบ
เมื่อเธอใช้ความรู้สึกทางจิตวิญญาณของเธอเพื่อตรวจพลังของเขาอีกครั้งเธอก็สูญเสียการรับรู้ทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับปรมาจารย์ของเธออีกครั้ง ราวกับว่าปรมาจารย์ของเธอนั้นหายไปทั้งๆที่ข้างๆเธอ
...
นกเพลิงตัวนี้นั้นเร็วมาก เพียงแค่ชั่วเวลาเดียวมันก็บินไปไกลหลายพันไมล์และกําลังมุ่งหน้าไปยังบ้านเกิดของลู่หยานรัน
เมื่อยื่อซวนได้ออกจากนิกายชิงหยุนเขาได้ขอที่อยู่เฉพาะของลู่หยานรันมาด้วย
บ้านของลู่หยานรันอยู่ในมณฑลเฟิ่งเทียนหมู่บ้านหลินชิทางตะวันตกของเมืองยุ่นเห่ย
มณฑลเฟิ่งเทียนนั้นตั้งอยู่ใกล้ๆมณฑลยู่นนานซึ่งอยู่ทางตะวันออกของราชวงศ์เฉียนที่ยิ่งใหญ่อีกทีหนึ่ง
ในตอนนั้น ลู่หยานรันได้พยายามหนีตายอย่างสุดชีวิตจนกระทั่งเธอใช้เวลาหลายเดือนกว่าจะไปถึงนิกายชิงหยุนได้
ตอนนี้ด้วยความเร็วในการบินอย่างรวดเร็วของนกเพลิงพวกเขาใช้เวลาเพียงสี่วันในการเข้าใกล้เมืองยุ่นเห่ยเท่านั้น
เวลาผ่านไปรวดเร็วและในไม่ช้าเทือกเขาขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นในขอบเขตการมองเห็นของพวกเขา แม้ว่าพวกเขาจะอยู่สูงจากพื้นดินหลายพันฟุต แต่ก็ไม่สามารถเห็นยอดของเทือกเขานี้ได้
"อีกไม่ไกลแล้วล่ะ หลังจากผ่านเทือกเขานี้ไปได้แล้วเราก็จะไปถึงเมืองยุ่นเห่ยแล้ว"
ยื่อซวนที่ยืนอยู่ด้านหลังของนกเพลิงมองไปที่เทือกเขาที่อยู่ไม่ไกลและพูดช้าๆ
เมื่อได้ยินแบบนี้ลู่หยานรันก็รีบลุกขึ้นยืน เมื่อมองไปที่เทือกเขาตรงหน้าเธอก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงเรื่องอันโหดร้ายนั้น
ก่อนที่เธอจะได้มาถึงนิกายชิงหยุนเป็นครั้งแรกนั้น เธอได้สัมผัสกับการเอาชีวิตรอดอันโหดร้ายที่เกือบจะไม่รอดที่เทือกเขานี้ และหลังจากออกมาจากเทือกเขาได้เธอก็ได้พบกับพ่อค้าใจดีสองคน
ด้วยความช่วยเหลือของพ่อค้าสองคนนั้นเธอจึงสามารถมาไปที่นิกายชิงหยุนได้ด้วยรถม้า
เทือกเขามรณะนั้นอันตรายมาก เป็นที่รู้จักกันว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ต้องห้ามของราชวงศ์เฉียนที่ยิ่งใหญ่ ผู้ฝึกตนที่ไม่ได้เข้าไปสู่รูปแบบแก่นแท้จริงขั้นกลางนั้นจะไม่สามารถเอาชีวิตรอดออกมาได้
เพราะสถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยปีศาจที่ทรงพลังมากมายอยู่ในเทือกเขา
แน่นอนว่าเทือกเขามรณะนั้นมีอันตรายอยู่อีกมากมาย ด้วยเหตุนี้นักเดินทางส่วนใหญ่จึงเดินทางอ้อมเทือกเขาแทน
ในระหว่างทางข้ามเทือกเขา ยื่อซวนได้เห็นกลุ่มนักเดินทางมากกว่าสิบคนแล้ว
เมื่อนักเดินทางได้เห็นนกเพลิงบินอยู่เหนือพวกเขา พวกเขาทั้งหมดก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ
แค่ออร่าของนกเพลิงเพียงอย่างเดียวก็ทรงพลังมากแล้ว ความแข็งแกร่งของปรมาจารย์ที่อยู่บนกตัวนี้จะแข็งแกร่งขนาดไหนกัน?
แน่นอนว่ายื่อซวนไม่รู้ว่านักเดินทางกําลังคิดอะไรอยู่และเขาก็ไม่สนใจ เขาวางแผนที่จะข้ามเทือกเขามรณะให้เร็วที่สุดแล้วพักผ่อนในเมืองยุ่นเห่ย
แต่ทันใดนั้นตัวเลขสองสามตัวก็ปรากฏขึ้นในขอบเขตการมองเห็นของยื่อซวน
"นั่นมันอะไรกัน?" เมื่อเห็นแบบนี้ยื่อซวนก็อดไม่ได้ที่จะทำหน้าแปลกๆออกมา
ไม่ห่างจากพวกเขามีผู้ฝึกตนสามกลุ่มกำลังเผชิญหน้ากัน
หนึ่งในกลุ่มประกอบด้วยผู้หญิงสองคน ดวงตาที่สวยงามของพวกเธอเต็มไปด้วยความเคร่งขรึมและดาบในมือของพวกเธอนั้นส่องแสงสะท้อนออกมาอย่างชัดเจน
อีกด้านหนึ่งมีผู้ฝึกตนเจ็ดคนในเสื้อผ้าที่แตกต่างกันโดยมีอาวุธต่างๆอยู่ในมือ
สายตาของพวกเขาจับจ้องไปที่คริสตัลในมือของเด็กสาวด้วยความโล�
อีกด้านหนึ่งมีชายหนุ่มสามคนสวมเสื้อคลุมสีฟ้าและสีดํา ชายทั้งสามคนนี้มีสีหน้านิ่งสงบและใบหน้าของพวกเขาแสดงถึงการมีสมาธิและกำลังวางกลยุทธ์เพื่อต่อสู้
ชายที่อยู่ด้านหน้ายืนโดยเอามือไขว้หลังของเขา สายตาของเขานั้นจ้องไปที่เด็กสาวสองคนที่อยู่ตรงหน้าและดวงตาของเขาเต็มไปด้วยการเยาะเย้ย
"พวกเจ้าทั้งสองคนจะตกลงกับข้าได้หรือไม่? ถ้าพวกเจ้าตกลงที่จะมอบความสามารถเกล็กน้ำแข็งทมิฬของเจ้า พวกข้าจะช่วยเจ้าจัดการกับคนเหล่านี้!"
ชายหนุ่มสวมเสื้อคลุมสีเขียวจ้องมองหญิงสาวสองคนอย่างนิ่งเฉยด้วยดวงตาของเขาเต็มไปด้วยการดูถูกขณะที่เขาพูด
"เฮอะ เจ้าคนที่ไม่รู้จักความห่างชั้นของสวรรค์และโลกเจ้ารู้ไหมว่าเจ้ากําลังพูดอะไรออกมา?"
ก่อนที่หญิงสาวสองคนจะทันได้ตอบ หนึ่งในกลุ่มคนเจ็ดคนซึ่งเป็นชายหน้าตาดุร้ายที่มีรอยแผลเป็นบนใบหน้าของเขาพูดขึ้นด้วยสายตาที่ดุร้าย
"ผู้ชายคนนี้ช่างไม่รู้อะไรเลย เจ้าคิดว่าพวกเจ้าทั้งสามคนจะสามารถเอาชนะพวกข้าได้จริงหรือ? พวกเจ้าคงไม่รู้สินะพวกข้านั้นแข็งแกร่งแค่ไหน!'
"เฮอะ!"
ชายหนุ่มทั้งสองคนนั้นไม่ได้สนใจผู้ชายที่น่ากลัวคนนั้นแต่พวกเขาหันไปมองที่หญิงสาวทั้งสองคนแทน