20. คุณจะมีศักยภาพอะไรมันก็เรื่องของคุณ
“ขอบคุณอีกครั้งสำหรับทุกท่านที่มาร่วมงาน
บัดนี้ได้เวลาฤกษ์อันเป็นมงคลแล้ว
ขอเริ่มพิธีรับศิษย์ขึ้นอย่างเป็นทางการ!
ก่อนอื่น ขอต้อนรับอาจารย์ของลูกชายฉัน
ผู้ปลุกพลังระดับ 6 แห่งวิหารเมฆขาว
ผู้เชี่ยวชาญระดับสูง ท่านนักบวชฉินหลิงอวิ๋น!”
ฉินหลิงอวิ๋นขยับเสื้อคลุมลัทธิเต๋าให้เข้าที่
แล้วเดินขึ้นเวทีอย่างสบายๆ ทักทายแขกเหรื่อด้านล่าง
แล้วก็นั่งลงบนเก้าอี้ดอกไม้สีเหลืองทางซ้ายมือ
แขกด้านล่างเวทีปรบมือต้อนรับเสียงดังสนั่นปานฟ้าร้อง
เมื่อเสียงปรบมือซาลง ทุกคนก็เริ่มพูดคุยกัน
“นักบวชเต๋าคนนี้หล่อจริงๆ เขายังหนุ่มอยู่เลย
แต่เป็นถึงผู้ปลุกพลังระดับ 6 แล้ว!”
“ฉันได้อ่านคำแนะนำของทางการแล้ว
ผู้ปลุกพลังระดับ 6 สามารถปลดปล่อยอำนาจเหนือมนุษย์ได้
มันน่ากลัวกว่ามิสไซล์เสียอีก
เนี่ย ถ้าเป็นสมัยโบราณ คงถูกยกย่องให้เป็นเทพเจ้าไปแล้ว”
“หวังจือกั๋วโชคดีจริงๆ
ลูกชายเขาเป็นผู้ปลุกพลังที่มีพรสวรรค์ชั้นยอด
แถมยังมีผู้เชี่ยวชาญเป็นอาจารย์อีกด้วย อนาคตเขาราบรื่นแน่นอน”
“วิหารเมฆขาวเป็นวัดเต๋าที่ใหญ่ที่สุดในภาคใต้ มีคนเลื่อมใสมากมาย”
แม้ฉินหลิงอวิ๋นจะมีความสุขมากที่ได้ยินเช่นนั้น
แต่เขายังคงแสร้งวางท่าให้ดูเหมือนผู้เชี่ยวชาญ จึงทำได้เพียงแค่ยิ้มออกมา
ต่างกับหวังจือกั๋วที่ไม่เก็บงำความรู้สึกเลยแม้แต่น้อย
เขาฉีกยิ้มกว้างจนเห็นฟันเต็มปาก
เมื่อฉินหลิงอวิ๋นนั่งลง
หวังจือกั๋วก็นั่งตามลงไปบนเก้าอี้ถัดไปทางด้านขวา
หวังอูเว่ยเดินขึ้นไปบนเวที หยิบถ้วยชา
แล้วคุกเข่าคารวะชาถ้วยแรกต่อพ่อของเขา
จากนั้นจึงหันไปคารวะถ้วยที่สองต่อฉินหลิงอวิ๋น อาจารย์ของเขา
ฉินหลิงอวิ๋นหยิบถ้วยชาขึ้นมาจิบ แล้วพูดว่า
“ศิษย์รัก ไม่ต้องมากพิธี”
แส้ปัดขนหางม้าในมือของเขาค่อยๆเหยียดยาวขึ้น
จนเหมือนตะบองสีทอง ช้อนลงไปใต้เข่าหวังอูเว่ยแล้วยกเขาขึ้นมา
การแสดงที่เหมือนมายากลนี่ทำให้แขกเหรื่อต่างพากันตกตะลึง
แม้แต่หนิงซีก็ยังอึ้งไปกับนิสัยชอบอวดตัวของนักบวชฉิน
หลังเสร็จพิธีการ หวังจือกั๋วหยิบกล่องของขวัญที่ห่ออย่างสวยงามออกมา
เขาพูดเสียงดังว่า
“ท่านนักบวชฉิน อูเว่ยยังเด็กอยู่และซุกซน
คงต้องรบกวนคุณช่วยสอนสั่งเขาแล้ว
เพื่อแสดงความขอบคุณในความเมตตาของคุณ
โปรดรับของขวัญเล็กๆ ชิ้นนี้ไว้ด้วย
มันคืออัญมณีที่ภรรยาของฉันคัดสรรมาอย่างดี
เพื่อแสดงความขอบคุณ”
หวังจือกั๋วส่งกล่องของขวัญให้หวังอูเว่ย
จากนั้นหวังอูเว่ยก็หยิบมันขึ้นมา
และคุกเข่าแล้วยกกล่องของขวัญขึ้นเหนือศีรษะ
มอบให้ฉินหลิงอวิ๋น แสดงถึงการยอมรับฉินหลิงอวิ๋น
เป็นอาจารย์ของเขา
ฉินหลิงอวิ๋นดีใจมาก เมื่อหวังจือกั๋วบอกว่าในกล่องคืออัญมณี
เขายื่นมือออกไปจนใกล้จะแตะกล่องของขวัญอยู่แล้ว
"จัดการได้!"
ท่ามกลางเสียงตะโกนอันดัง
หอกน้ำแข็งขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นกลางอากาศแทงไปที่ฉินหลิงอวิ๋น
จนฉินหลิงอวิ๋นต้องกระโดดหลบก่อนจะได้แตะกล่องของขวัญ
“ความมืดมิดจงปรากฎ!”
เมื่อสิ้นเสียง ทั้งห้องพีโอนีก็ตกอยู่ในความมืดมิด
แม้แต่หนิงซีที่มีสายตาเหนือคนธรรมดา ก็มองเห็นอะไรได้ไม่ชัดเจน
เขาทำได้เพียงพึ่งพาประสาทสัมผัสส่วนอื่น
ในการรับรู้ความเคลื่อนไหวในห้องโถง
ท่ามกลางความมืด ได้ยินสียงกรีดร้องทุกประเภทจากแขกที่มาร่วมงาน
ยังมีเสียงโต๊ะและเก้าอี้ล้มระเนระนาด
มีเสียงทุบตีเป็นระยะพร้อมกับเสียงครางอู้อี้เหมือนคนได้รับบาดเจ็บ
เสียงต่างๆดังอยู่ประมาณสิบวินาที การต่อสู้ก็จบลง
จากนั้นห้องพีโอนีก็กลับมาสว่างอีกครั้งหนึ่ง
มีผู้ชายหนึ่งคนและผู้หญิงหนึ่งคนนอนอยู่บนพื้นเวที
ศีรษะของชายคนนั้นกลิ้งอยู่ข้างๆ เขาตายจนไม่อาจตายได้อีกแล้ว
ส่วนผู้หญิงคนนั้นเอามือกุมอกไว้แน่น ดวงตาเบิกโพลงและไม่หายใจ
คราบเลือดสดๆไหลย้อมพรมแดงจนทำให้ดูแดงยิ่งขึ้น
ฉินหลิงอวิ๋นผมเผ้ายุ่งเหยิง ใบหน้าขาวซีด
การต่อสู้เมื่อสักครู่คงทำให้เขาลำบากเช่นกัน
เขาจัดแจงตัวเองเล็กน้อยก่อนพูดกับแขกที่ยังไม่ได้สติว่า
“ทุกท่านไม่ต้องกังวล อาขญากรทั้งคู่ที่เห็นนี้
คือผู้ปลุกพลังที่ถูกฉันและศิษย์พี่ฆ่าได้ทันท่วงที
ความมืดเมื่อสักครู่ปลดปล่อยมาจากทักษะ
ของผู้ปลุกพลังประเภทความมืด ทุกคนอย่าได้ตื่นตระหนกไป”
หนิงซีสังเกตุเห็นรอยเลือดบนดาบของนักบวชหน้าดำก็รู้ทันทีว่า
คนทั้งสองถูกฆ่าโดยนักบวชฉิงอวิ๋น
ดูๆไปแล้วฉินหลิงอวิ๋น น่าจะเป็นมือใหม่ไม่เคยมีประสบการณ์ต่อสู้มาก่อน
คนแบบนี้แม้สามารถก้าวขึ้นเป็นผู้ปลุกพลังระดับ 6ได้
ก็จะดูดีแค่ภายนอก แต่อ่อนแอจากภายใน
ถ้าต้องสู้กันจริงๆความแข็งแกร่งของเขาจะลดลงมาก
เมื่ออาชญากรตายไปแล้ว หวังจือกั๋วไม่เพียงแต่หายกลัว
แต่ยังโล่งใจอีกด้วย เขามองไปที่หนิงซี
ราวกับว่าบอกกลายๆว่าเขาเลือกได้ถูกต้อง
“นักบวชฉิน คุณและศิษย์พี่ของคุณสมกับเป็นผู้เชี่ยวชาญอย่างแท้จริง
ขยะของวิหารแห่งทวยเทพไม่มีค่าแม้จะพูดถึง เมื่ออยู่ต่อหน้าคุณ”
ฉินหลิงอวิ๋นไม่พูดอะไรอีก
เขาหากล่องของขวัญที่ถูกโยนทิ้งไว้บนเวทีจนพบ แล้วเก็บใส่กระเป๋า
"คุณหวัง พิธีรับศิษย์สิ้นสุดลงแล้ว ฉันและศิษย์พี่ขอตัวกลับวิหารก่อน
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย ฉันจะกลับมารับอูเว่ยขึ้นเขา”
“นักบวชฉิน คนของวิหารแห่งทวยเทพก็ตายหมดแล้ว
น่าจะไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงแล้วนี่”
หวังจือกั๋วประหลาดใจกับการแสดงออกของฉินหลิงอวิ๋น
ในสายตาเขา เขามองว่านักบวชฉินและศิษย์พี่เป็นผู้เชี่ยวชาญอย่างแท้จริง
พวกเขาฆ่าพวกนอกคอกที่ทรงพลังได้ภายในสิบวินาที
แต่เขายังไม่อยากให้นักบวชฉินและศิษย์พี่จากไปเร็วนัก
เขายังกลัววิหารแห่งทวยเทพจะหวนกลับมาแก้แค้น
ฉินหลิงอวิ๋นไม่สนใจหวังจือกั๋ว เขามองไปที่ศิษย์พี่ของเขา
นักบวชฉิงอวิ๋นขยับมือ ทำให้รอยเลือดบนดาบหายไปทันที
เขาวางดาบลงแล้วพูดว่า
“รีบกลับ!”
พูดจบก็หันหลังเดินออกไป
หนิงจือกั๋วหน้าชา ฉินหลิงอวิ๋นเปลี่ยนท่าทีเร็วเกินไป
จนกลายเป็นเหมือนคนเย็นชาไร้จิตใจ
เมื่อเห็นฉินหลิงอวิ๋นกำลังจากไป หวังอูเว่ยก็รีบวิ่งตามอาจารย์ของเขาไป
เมื่อเห็นดังนั้น เข็มโลหะที่ซ่อนตัวอยู่หลังเสาในห้องโถง
ก็ถามผ่านไมโครโฟนบนเสื้อของเขา
“ท่านฑูตสวรรค์อัคคี คนจากวิหารเมฆขาวกำลังจะไปแล้ว
เราจะลงมือเลยไหม?”
“อดทนไว้ก่อน เรามีโอกาสลงมือเพียงครั้งเดียว
คนจากกรมสอบสวนคดีพิเศษน่าจะอดทนไม่ไหวแล้ว
ปล่อยให้พวกเขาลงมือก่อนเรา”
ไม่ผิดจากที่ฑูตสวรรค์อัคคีพูด
นักบวชฉิงอวิ๋นถูกหยุดที่ประตูห้องโถงโดยหวางอูหลินและคนของเขา
“นักบวชฉิงอวิ๋น คุณฆ่าคนแล้วจะจากไปง่ายๆอย่างนี้หรือ?
คุณคิดว่ากรมสอบสวนคดีพิเศษเราไม่มีตัวตนหรือไง?”
เมื่อเห็นหวางอูหลิน นักบวชฉิงอวิ๋นที่ปกติทำตัวตามสบาย
ก็ขมวดคิ้วเป็นครั้งแรก เขากำดาบในมือแน่นแล้วพูดขึ้นช้าๆ
“เราแค่ป้องกันตัวเอง ตามกฎของผู้ปลุกพลัง เราไม่ได้ฝ่าฝืนกฎ”
หวางอูหลินยิ้มอย่างร่าเริง กล่าวว่า
“การป้องกันตัวเองเป็นเพียงข้ออ้างของคุณเท่านั้น
กรมสอบสวนคดีพิเศษเชื่อแต่ข้อเท็จจริงที่เราสอบสวนเอง
กรุณาให้ความร่วมมือในการสอบสวน
ตามฉันกลับไปที่กรมสอบสวนคดีพิเศษดีๆ”
นักบวชฉิงอวิ๋นมีสีหน้ามืดมนลง
เส้นเลือดบนใบหน้าที่ดำคล้ำโป่งพองออกมาราวกับจะระเบิดได้ทุกเมื่อ
ในที่สุดเขาก็อดกลั้นเอาไว้ ยอมให้จูต้าหนิวใส่กุญแจมือแต่โดยดี
เมื่อเห็นจูต้าหนิวกำลังจะใส่กุญแจมืออาจารย์ของเขา
หวังอูเว่ยก็กระวนกระวาย เขาเดินไปบังอยู่หน้าฉินหลิงอวิ๋นและพูดกับจูต้าหนิว
“ผู้กองจู คุณจะจับคนสุ่มสี่สุ่มห้าโดยไม่มีหลักฐานได้อย่างไร”
จูต้าหนิวกระชากหวังอูเว่ยออกไปแล้วผลักเขาล้มลงบนพื้น
เมื่อใส่กุญแจมือฉินหลิงอวิ๋นเสร็จแล้ว
จูต้าหนิวก็มองจ้องไปที่หวังอูเว่ยและพูดว่า
“พวกแกพ่อลูกนี่มันปัญญาอ่อนจริงๆ
ฉันอึดอัดกับพวกแกมานานแล้ว
เร็ว หลบไปอย่ามาเกะกะ”
หวังอูเว่ยตกตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก
นับตั้งแต่เขาเป็นผู้ปลุกพลังที่มีคุณสมบัติระดับ A
ผู้คนรอบข้างต่างพากันยกย่องเขา ภายใต้คำเยินยอนี้
เขาหลงคิดว่าตัวเองเป็นคนสำคัญจริงๆ
เขานอนร้องคร่ำครวญเสียงดังอยู่บนพื้น
“ฉันเป็นผู้ปลุกพลังที่มีความสามารถพิเศษประเภทสายฟ้า
ฉันมีคุณสมบัติระดับ A ฉันมีศักยภาพไร้ขีดจำกัด
ฉันขอเตือนให้คุณปฏิบัติต่อฉันด้วยความเคารพ
คุณต้องรู้ว่ากระแสน้ำเปลี่ยนทิศทุกสามสิบปี
อย่าดูถูกคนหนุ่มสาวหรือคนยากไร้ ถ้าคุณทำให้ฉันโกรธ
เมื่อฉันเติบโตขึ้น ฉันจะจับคุณแขวนและทุบตีคุณ!”
หนิงซีถึงกับส่ายหัวเมื่อได้ยินคำพูดโง่ๆแบบนี้
หวางอูหลินหัวเราะลั่น
เตะท้องของหวังอูเว่ยจนกระเด็นไปไกลกว่าสองเมตร
“ฉันไม่สนใจว่าคุณจะมีศักยภาพแบบไหน
คุณเป็นเพียงผู้ปลุกพลังมือใหม่ คุณยังกล้าพูดไร้สาระต่อหน้าฉันอีกหรือ
ฉันนะฆ่าผู้ปลุกพลังที่มีคุณสมบัติระดับ A มานับไม่ถ้วนแล้ว รู้ไว้ด้วย!”
เมื่อเห็นลูกชายถูกเตะ หวังจือกั๋วรีบถลันตัวเข้าไปช่วย
เขามองขอความช่วยเหลือไปที่ฉินหลิงอวิ๋น
แต่กลับเห็นนักบวชฉินที่เขาคิดว่าพึ่งพาอาศัยได้นั้น
กลับถูกใส่กุญแจมือ
และแกล้งทำเป็นไม่เห็นลูกศิษย์ของเขาถูกทุบตี
หวังจือกั๋วระลึกถึงสิ่งที่หนิงซีแนะนำก่อนหน้านี้ ว่าให้เขาทำตามรัฐบาล
ทำให้รู้สึกเขาเสียใจจนลำไส้แทบเปลี่ยนเป็นสีเขียว
หนิงซีพูดถูกแล้ว เมื่อเทียบกับเจ้าหน้าที่ของทางการแล้ว
วิหารเมฆขาวไม่มีอำนาจอะไร ช่างไม่ต่างจากฟ้ากับเหวเลย
เขาถูกความเย่อหยิ่งบังตา ทำไมเขาถึงไปดึงวิหารเมฆขาวเข้ามาร่วมด้วย?
หวังจือกั๋วรู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่ง
ลูกเตะลูกนั้นปลุกหวังอูเว่ยให้ตื่นจากความฝันเช่นกัน
ในที่สุดเขาก็รู้ว่าโลกของผู้ปลุกพลังไม่ใช่การละเล่นของเด็กๆ
มีแต่กฎที่โหดร้ายที่เคารพแต่ผู้แข็งแกร่งเท่านั้น
ยังมีแขกมากกว่า 200 คนที่อยู่ในที่เกิดเหตุ
พวกเขากำลังรู้สึกสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้น
มันควรจะเป็นพิธีรับศิษย์ตามปกติไม่ใช่หรือ
แต่กลับกลายเป็นผู้ปลุกพลังมาต่อสู้และฆ่ากัน
จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็เข้ามาจับกุมอาชญากร
หลายคนเริ่มมีลางสังหรณ์ถึงอันตรายและอยากจากไป
แต่ กรมสอบสวนคดีพิเศษได้ปิดกั้นทางเข้าออก
หัวหน้ากลุ่มเป็นชายหน้าแผลเป็น ทำให้ไม่มีใครกล้าขยับ
หวางอูหลินก็ไม่คิดจะหลีกทางให้
เขายืนอยู่ที่ประตู
และหยิบกล่องของขวัญออกมาจากแขนเสื้อของฉินหลิงอวิ๋น
เขาเปิดกล่องหยิบอัญมณีออกมา เมื่อตรวจดูอย่างละเอียดแล้ว
สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป
“นี่ไม่ใช่คริสตัลจิตวิญญาณระดับ A! คริสตัลจิตวิญญาณอยู่ที่ไหน?”
เมื่อหวางอูหลินพูดจบ
ร่างกายหวังจือกั๋วเหมือนกับถูกจับด้วยมือที่มองไม่เห็น
ยกขึ้นไปลอยคว้างอยู่กลางอากาศ
มือของหวังจือกั๋วไขว่คว้าไปมา ขาของเขาแกว่งอย่างไร้การควบคุม
เขาถูกมือล่องหนบีบจนหายใจไม่ออก หน้าตาแดงก่ำ
เริ่มสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายแห่งความตาย
หนิงซีเฝ้าดูเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างเย็นชา
เขารู้ดีว่าหวางอูหลินจะไม่ฆ่าน้าชายเขาแน่นอน
ปล่อยให้เขาทนทุกข์ทรมานสักหน่อยน่าจะดีต่อน้าชายเขา
เมื่อเห็นว่าหวังจือกั๋วใกล้จะตายแล้ว
หวางอูหลินก็สลายมือล่องหนของเขาทิ้ง
“ถ้าไม่อยากทรมาน บอกมาตามตรงว่าคริสตัลจิตวิญญาณอยู่ที่ไหน”
หวังจือกั๋วทรุดตัวลงบนพื้นด้วยใบหน้าที่สิ้นหวัง
เขาไม่รู้เลยว่าคริสตัลจิตวิญญาณอยู่ไหน
หวังจือกั๋วไม่ได้พูดอะไรสักคำ บรรยากาศก็ค่อยๆอึดอัดมากขึ้น
หนิงซีลุกขึ้นยืนเมื่อเห็นว่าหวางอูหลินกำลังจะลงมืออีกครั้ง
“ฉันกินคริสตัลจิตวิญญาณเข้าไปแล้ว
อืม...มันอร่อยใช้ได้เลย”
หวังจือกั๋วเห็นหนิงซีลุกขึ้นพูด ก็เข้าใจผิดว่าหลานชายกำลังจะช่วยเขา
เขาลุกขึ้นยืนเอนไปเอนมา ตะโกนว่า
“ฉันเคยบอกคุณไปแล้วว่าเรายังไม่เห็นคริสตัลจิตวิญญาณเลย
อัญมณีนั้นถูกคนจากวิหารแห่งทวยเทพฉกไปแล้ว!”
“นี่คือสร้อยคออัญมณีของครอบครัวคุณ!”
เข็มโลหะทำตามคำชี้แนะ เขาถอดหน้ากากแล้วยืนขึ้น
เขาโยนสร้อยคอที่ผู้ฝึกหัดชิงไปให้หวางอูหลินแล้วยักไหล่
“น่าเสียดาย สิ่งที่เราชิงมามันไม่ใช่คริสตัลจิตวิญญาณระดับ A”
“แล้วคริสตัลจิตวิญญาณระดับ A มันหายไปไหน?”
หมายเหตุ : ตั้งแต่ตอนหน้า(ตอนที่ 21)เป็นต้นไป จะขอติดเหรียญแล้วนะครับ