18. การจัดระดับของผู้ปลุกพลัง
เมื่อออกจากบ้านของหวังจือกั๋วแล้ว
ฉินหลิงอวิ๋นและเด็กฝึกเต๋าทั้งสองก็ขึ้นรถ BMW
เด็กฝึกเต๋าคนหนึ่งถามว่า
“ท่านอาจารย์ นี่เป็นครั้งแรกที่ท่านพบกับหนิงซี
เหตุใดท่านจึงจงใจเล่นงานเขาละครับ? ยังไงเขาก็เป็นญาติของอูเว่ย”
ฉินหลิงอวิ๋นปัดเสื้อคลุมลัทธิเต๋าพร้อมพ่นลมหายใจอย่างดูถูก
“ฉันเกลียดผู้ชายที่หล่อกว่า! อีกอย่างฉันพูดไม่ผิด
ผู้ปลุกพลังประเภทพละกำลังล้วนเป็นขยะ”
เด็กฝึกเต๋าทั้งคู่สบตากันเงียบๆ
วิหารเมฆขาวเพิ่งมอบพวกเขาให้เป็นลูกศิษย์ส่วนตัวของฉินหลิงอวิ๋น
พวกเขาไม่เคยแม้แต่จะฝันว่าอาจารย์จะมีบุคลิกแปลก ๆ เช่นนี้
ราวกับรับรู้ถึงความสงสัยในใจของลูกศิษย์ทั้งสอง
ฉินหลิงอวิ๋นเอนกายพิงเบาะรถ หลับตาลงและพูดว่า
“พวกเราพยายามอย่างหนัก จนในที่สุดก็จั่วได้ไพ่ที่ดีสุดในกองมา
หวังว่า หวังจือกั๋วจะเข้าใจคำใบ้ของฉันนะ เช้าวันะรืน
เขาน่าจะใช้คริสตัลจิตวิญญาณระดับ A เป็นของกำนัล
ในพิธีรับศิษย์เพื่อให้พิธีเสร็จสมบูรณ์”
“จากนั้นการร้องขอความช่วยเหลือของตระกูลหวัง
ที่ได้รับความเดือดร้อนจากคริสตัลจิตวิญญาณระดับ A
ก็จะได้รับการตอบรับจากวิหารเมฆขาวเช่นกัน”
“ศิษย์พี่จะมาพบฉันที่เมืองตงหลินในคืนพรุ่งนี้
เขาไม่ใช่คนที่พูดง่ายเหมือนฉัน
พวกเจ้าต้องระวังตัวให้ดี อย่าได้ละเลย”
"ขอรับ!"
เด็กฝึกเต๋าทั้งสองพร้อมรับเป็นเสียงเดียวกันด้วยความเคารพ
ฉินหลิงอวิ๋นพยักหน้าอย่างพอใจและไม่พูดอะไรอีก
ไม่มีใครสังเกตุเห็นคนสี่คนข้างถนน
ที่กำลังยืนมองตามรถ BMW ที่พวกเขานั่งอยู่
สามในสี่คน นั้นคือ เข็มโลหะ อสรพิษเขียว และผู้ฝึกหัด
เข็มโลหะโค้งคำนับและพูดว่า
“ท่านฑูตสวรรค์อัคคี ฉันเพิ่งได้ข่าวจากคนของวิหารเมฆขาวว่า
ฉินหลิงอวั๋นบอกเป็นการส่วนตัวว่าวันมะรืนนี้
หวังจือกั๋วจะมอบคริสตัลจิตวิญญาณระดับ A
ให้แก่เขาในงานเลี้ยงรับศิษย์
โปรดกรุณาแนะนำว่าเราเราควรทำอย่างไรต่อไป”
ฑูตสวรรค์อัคคี เป็นคนที่สูงมาก เขาสูงเกือบๆสองเมตร
สวมหน้ากากลวดลายเปลวไฟ
มีเฉพาะผู้ปลุกพลังระดับ 7 เท่านั้นที่ถูกเรียกว่า ฑูตสวรรค์
และมีเพียงฑูตสวรรค์เท่านั้นที่จะเปลี่ยนลวดลายบนหน้ากาก
จากดวงดาวไปเป็นสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของเขาได้
หน้ากากคนผู้นี้มีลวดลายเปลวไฟอยู่
แสดงว่าเขาเชี่ยวชาญความสามารถพิเศษประเภทไฟ
เสียงของเขาฟังดูแปลกหู จากสำเนียงแล้ว
บ่งบอกได้ว่าเขาเป็นชาวต่างชาติ
“ถ้าเราบุ่มบ่ามไม่ระวัง จะแหวกหญ้าให้งูตื่น”
จากการใช้สำนวน แสดงให้เห็นว่าฑูตสวรรค์อัคคี
คุ้นเคยกับราชอาณาจักรอวิ๋นเหมิงเป็นอย่างดี เขาพูดต่อไปว่า
“เราจะยังไม่ทำอะไร แต่จะขโมยคริสตัลจิตวิญญาณ
ที่งานเลี้ยงรับศิษย์ในเช้าวันมะรืนทีเดียวเลย”
“นี่คือราชอาณาจักรอวิ๋นเหมิง แผนกสอบสวนคดีพิเศษทรงพลังมาก
เรามีโอกาสลงมือแค่ครั้งเดียว
หลังจากได้รับคริสตัลจิตวิญญาณแล้ว
เราต้องถอนตัวทันที
พวกเจ้าต้องจัดเตรียมเส้นทางล่าถอยกลับราชอาณาจักรมีเยไว้ล่วงหน้าให้ดี”
คำสั่งของฑูตสวรรค์อัคคีฟังดูสมเหตุสมผลและชัดเจน
แต่เข็มโลหะและอสรพิษเขียวยังมีความกังวลอยู่ในสายตา
พวกเขาไม่นึกเลยว่าวิหารแห่งทวยเทพจะถึงขั้นส่งคนอย่างฑูตสวรรค์อัคคีไบรอัน
มาเมืองตงหลินเพื่อขโมยคริสตัลจิตวิญญาณ
เป็นทีรู้กันว่า กระบวนการบ่มเพาะความสามารถพิเศษนั้น
เป็นเส้นทางที่ยากลำบากและเต็มไปด้วยความเจ็บปวดทรมานอย่างถึงที่สุด
จนทำให้ผู้ปลุกพลังระดับสูงส่วนมากกลายเป็นคนที่บิดเบี้ยว
ฑูตสวรรค์อัคคีคนนี้ ยิ่งวิปริตกว่าคนอื่น
เขาเคยฆ่าล้างหมู่บ้านในนอร์ทกูลเพียงลำพัง
มีผู้คนกว่า 3,000 คนถูกเผาตาย ทั้งๆที่ที่นี่เป็นบ้านเกิดของเขา
ในบรรดาผู้ที่ถูกไฟคลอกตายมีทั้งพ่อแม่ ญาติ และเพื่อนของเขา
หลังจากที่ไบรอันพูดถึงแผนของเขาเสร็จ เขาก็กางแขนออก
เงยหน้าขึ้นและสูดลมหายใจเข้าลึกๆ
"อา! ช่างเป็นอากาศที่สดชื่นอะไรอย่างนี้
แต่ยังมีอะไรขาดไปอีกนิด นานมากแล้ว
ที่ฉันไม่ได้กลิ่นไหม้ของเนื้อมนุษย์ มันชวนให้คิดถึงจริงๆ."
เข็มโลหะและอสรพิษเขียวต่างก็ก้มหน้าลง ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจดัง
ส่วนผู้ฝึกหัดยืนตัวสั่นเทิ้ม และรู้สึกเสียใจมากที่ต้องมาอยู่ตรงนี้
เช้าวันรุ่งขึ้น หวางอูหลินหรือผู้กองหวางแห่งกรมสอบสวนคดีพิเศษ
มาเยี่ยมบ้านน้าชายของหนิงซี
รอยแผลเป็นบนใบหน้าของเขาสั่นสะท้านด้วยความโกรธ
จนร่างกายของเขาปลดปล่อยแรงกดดันที่มองไม่เห็นออกมา
จูต้าหนิวยืนอยู่ข้างหลังผู้กองหวางเงียบๆ
แต่เห็นชัดว่าเขาไม่พอใจอย่างมาก
น้าของหนิงซีขมวดคิ้วพูดขึ้นว่า
“ผู้กองหวาง ถ้าคุณมีอะไรจะพูดก็พูดออกมา
ฉันเป็นพลเมืองที่ปฏิบัติตามกฎหมาย
การข่มขู่ทำอะไรฉันไม่ได้หรอก”
หวางอูหลินพูดอย่างเย็นชาว่า
“ในสองวันที่ผ่านมาฉันยุ่งอยู่กับการขยายกรมสอบสวนคดีพิเศษ
เพียงแค่ฉันละสายตาไปจากคุณ ใครใช้ให้คุณไปหาผู้ช่วยเหลือคนใหม่”
"คุณหวัง มันจะเป็นการดีที่สุดสำหรับคุณ
ที่จะมอบคริสตัลจิตวิญญาณระดับ A ให้ฉัน
ฉันขอรับประกันความปลอดภัยของคุณ
ด้วยชื่อเสียงของกรมสอบสวนคดีพิเศษ”
“คริสตัลจิตวิญญาณระดับ A อะไรกัน?
ฉันเคยบอกคุณแล้วว่าอัญมณีนั้นหายไปแล้ว!
หรือว่าคุณไม่เชื่อฉัน”
แม้ว่าการแสดงออกของน้าเขาจะดูจริงใจมาก
แต่หวางอูหลินก็ยังคงสงสัยในตัวน้าเขาอยู่ดี
ยังไงก็ตามตอนนี้หลักฐานและเบาะแสทั้งหมดต่างชี้ไปที่หวังจือกั๋ว
“เอาละ เรื่องส่งมอบคริสตัลจิตวิญญาณ ฉันจะไม่บังคับถ้าคุณไม่ต้องการ
แต่คุณต้องไม่จัดงานเลี้ยงรับศิษย์เด็ดขาด
ตอนนี้ครอบครัวของคุณเหมือนเนื้อติดมันชิ้นใหญ่ มันอันตรายมาก
การจัดงานเลี้ยงตอนนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับการเรียกร้องหาความตายมาใส่ตัว”
“ลูกชายของฉันได้ปลุกความสามารถพิเศษแบบสายฟ้า
พร้อมคุณสมบัติระดับ A เขาได้ตัดสินใจเข้าร่วมกับวิหารเมฆขาวแล้ว
นักบวชเต๋าแห่งวิหารเมฆขาวมีความสามารถในการปกป้องพวกเรา
ฉันไม่คิดว่าพวกวิหารแห่งทวยเทพจะกล้ามาก่อกวน
ถ้าพวกเขามา นักบวชเต๋าแห่งวิหารเมฆขาวสามารถจัดการพวกเขาได้!”
เมื่อได้ยินหวังจือกั๋วพูดแบบนั้น
จูต้าหนิวที่ยืนอยู่ข้างหลังผู้กองหวางก็อดรนทนไม่ไหว
เขาก้าวมาข้างหน้า กำลังจะสบถ แต่ถูกผู้กองหวางห้ามไว้
“ไปกันเถอะ เฒ่าจู ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้ว
คนบางคนยังจมอยู่กับอดีตโดยไม่รู้ตัว
ในเมื่อเขาอยากให้ครอบครัวและเพื่อนของเขาตาย
ก็ปล่อยให้เขาทำไป”
ผู้กองหวางหันกลับและจากไป เฒ่าจูเดินตามหลังไปติดๆ
เขาพึมพำว่า
“ผู้กองหวาง ถ้าหวังจือกั๋วจัดพิธีรับศิษย์เมื่อไหร่
ต้องมีคนตายเป็นจำนวนมากแน่”
ผู้กองหวางถอนหายใจและตบไหล่จูต้าหนิว
“ตั้งแต่เมื่อวาน สถิติอาชญากรรมในเมืองตงหลินเพิ่มขึ้นมากกว่าสิบเท่า
คนหนุ่มสาวหลายคนที่ปลุกความสามารถพิเศษของตนได้
สูญเสียการควบคุมตัวเอง และเดินไปบนเส้นทางของอาชญากรรม”
“ในการปลุกพลังครั้งนี้ ได้สังเวยคนธรรมดาไปมากมาย
แต่ความสูญเสียนี้ได้มีการประเมินไว้ล่วงหน้าแล้วว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้”
“ในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงนี้
จากกำลังคนและพลังที่จำกัด
แม้แต่การการปกป้องครอบครัวของเราก็ยังเป็นเรื่องยาก
ส่วนคนอื่น เราได้แต่ปล่อยไปตามแต่โชคชะตาของพวกเขา
โดยไม่สามารถทำอะไรได้”
จูต้าหนิวไม่คิดมาก่อนว่า
การเริ่มต้นยุคสมัยแห่งการปลุกพลังจะโหดร้ายขนาดนี้
เขารอคอยยุคสมัยนี้มาตลอด
ด้วยความหวังที่จะเฉิดฉายต่อหน้าญาติๆและเพื่อนฝูง
ให้พวกเขารับทราบถึงพลังและความพิเศษของเขา
แม้ในความฝัน เขาก็ไม่เคยคิดเลยว่า
เขาต้องเจอกับความเป็นจริงที่นองเลือดก่อนที่เขาจะได้เฉิดฉาย
เมื่อผู้กองหวางจากไปแล้ว หนิงซีเตือนน้าของเขาอีกครั้ง
“คุณน้า ยุคสมัยแห่งการปลุกพลังริเริ่มโดยรัฐบาล
แน่นอนว่ารัฐบาลจะต้องจัดเตรียมความพร้อม
ให้กับกลุ่มผู้ปลุกพลังอย่างเสี่ยวเว่ยไว้แล้ว
ผมคิดว่าน่าจะให้เสี่ยวเว่ยเข้าร่วมกับโครงการของรัฐบาล
อย่ายอมเป็นศิษย์ใครง่ายๆ”
“วิหารเมฆขาวไม่ใช่องค์กรของรัฐบาล
แม้สืบทอดมาหลายปี แต่มีความสามารถและทักษะแตกต่างจากรัฐบาลมาก”
จริงๆแล้ว หลังจากที่ผู้กองหวางกับจูต้าหนิวจากไปแล้ว
หวังจือกั๋วก็เริ่มรู้สึกเสียใจ แต่จากการที่ธุรกิจของเขา
ประสบความสำเร็จติดต่อกันในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
ทำให้เขาเป็นคนดื้อรั้น พูดคำไหนคำนั้น
ยิ่งมีคนพยายามโน้มน้าวมากเท่าไหร่
เขาก็ยิ่งอยากพิสูจน์ว่าเขาพูดถูกมากเท่านั้น
“เรื่องการเป็นศิษย์ มันจบไปแล้ว
ไม่ต้องพูดอีก น้าได้เชิญสหายร่วมรบไปเรียบร้อยแล้ว
หลังงานเลี้ยงจบลง
ทุกคนจะได้รับรู้ว่าฉันหวังจือกั๋วได้ให้กำเนิดลูกชายที่ดี
ที่เป็นผู้ปลุกพลังที่มีพรสวรรค์ที่ดีที่สุด”
“เมื่อเสี่ยวเว่ยเป็นศิษย์ของวิหารเมฆขาวแล้ว
น้าจะหาอัญมณีชั้นยอดมามอบให้ฉินหลิงอวิ๋นเป็นของกำนัล
ด้วยวิธีนี้คนภายนอกก็จะคิดว่า
น้าได้มอบคริสตัลจิตวิญญาณให้กับวิหารเมฆขาวแล้ว”
“เฮงซวยจริงๆ อัญมณีเม็ดนั้นมันหายไปแล้ว!
แต่ทำไมทุกคนยังมาถามฉันถึงคริสตัลจิตวิญญาณอยู่อีก?
ฉันจะไปหาคริสตัลวิญญาณมาจากไหน”
เมื่อเห็นว่าน้าของเขายืนกรานความคิดของเขา หนิงซีก็จึงไม่พูดอะไรอีกต่อไป
“ติ๊งต่อง! ติ๊งต่อง!”
เสียงกริ่งประตูดัง.
มันน่าจะเป็นพัสดุของเขามาถึงแล้ว หนิงซีเปิดประตู
และเห็นเด็กผู้หญิงในเครื่องแบบพนักงานจัดส่ง
“สวัสดีคุณหนิง
พัสดุด่วนของคุณอยู่ในรถที่จอดอยู่ด้านนอก
น้ำหนักมันมากเกินไป กรุณาตามดิฉันไปรับมันด้วย”
พัสดุที่จัดส่งด่วนเป็นดาบโลหะผสม
ที่หนิงซีขอให้ฮ่าวเหมิงช่วยหาให้
หนิงซีเดินตามพนักงานจัดส่งไปที่ประตูของวิลล่า
“ฉันจะเอามันไปเอง ขอบคุณมาก”
หนิงซีหยิบกล่องพัสดุขนาดยาวและกลับไปที่ห้องของเขา
เขาเปิดกล่อง และเห็นดาบยาวที่ดูคล้ายกับดาบหนักอุกกาบาตในเกม
หนิงซีได้ขอให้ฮ่าวเหมิงช่วยปรับแต่งมันให้
มีโน้ตแนบมากับพัสดุ ด้วยลายมือสวยงามหนึ่งบรรทัด
“พี่สือโถว ดาบเล่มนี้ทำจากโลหะผสมหนัก 527 กิโลกรัม
ฉันได้แนบกับหนังสือ 'แนะนำความสามารถของผู้ปลุกพลัง'มาด้วย
จำไว้ อย่าเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการแย่งชิงคริสตัลจิตวิญญาณ”
หนิงซีสัมผัสได้ถึงความเป็นห่วงของฮ่าวเหมิง
มันทำให้หัวใจของเขารู้สึกอบอุ่น
เขาหยิบดาบยาวขึ้นมา กำลังคิดว่าจะพกมันอย่างไรดี
ก็มีการแจ้งเตือนปรากฏขึ้นบนหน้าจอโทรศัพท์ของเขา
[พบดาบยาว
คุณต้องการเก็บไว้ในกระเป๋าเป้ของคุณหรือไม่?
ใช่/ไม่ใช่]
หนิงซีคลิก 'ใช่' ทันทีและพบว่าดาบยาวเข้าไปอยู่ในกระเป๋าเป้ของเกม
เมื่อเขาหยิบมันออกมา ดาบยาวก็ปรากฏขึ้นในโลกจริง
หนิงซีใช้เวลาศึกษามันอยู่ครู่หนึ่ง
ก็พบว่าดาบยาวอยู่ได้แค่ในกระเป๋าเป้และในโลกจริงเท่านั้น
มันนำเข้าสู่โลกของเกมไม่ได้
ดาบหนักแห่งอุกกาบาตในโลกของเกมก็นำมาสู่โลกจริงไม่ได้เช่นกัน
หนิงซีใส่ดาบลงในกระเป๋าเป้ของเขา
และหยิบหนังสือที่มาพร้อมดาบแล้วพลิกอ่านมัน
หนังสือเล่มนี้น่าจะพิมพ์โดยฮ่าวเหมิง
มันเป็นหนังสือที่แนะนำระดับและความสามารถพิเศษของผู้ปลุกพลัง
ในปัจจุบัน ผู้ปลุกพลังถูกแบ่งออกเป็นเก้าระดับ
ผู้ปลุกพลัง ระดับ 1 มีความสามารถพิเศษขั้นต้น แต่หลังจากปลดปล่อยมัน
จะมีอาการบางอย่างเช่นความอ่อนแอ ปรากฏขึ้น
ผู้ปลุกพลังระดับ 2 สามารถปลดปล่อยความสามารถพิเศษได้หลายครั้งโดยไม่มีผลข้างเคียง
ผู้ปลุกพลังระดับ 3 ไม่เพียงแต่ปลดปล่อยความสามารถพิเศษได้หลายครั้ง
แต่ยังเรียนรู้ทักษะในการปลดปล่อย
ที่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพและพลังของความสามารถพิเศษที่ปลดปล่อยได้
ผู้ปลุกพลังระดับ 4 จะจารึกความสามารถพิเศษไว้บนบางส่วนร่างกาย
ทำให้ปลดปล่อยความสามารถพิเศษได้ทันที พลังการต่อสู้ทรงพลังอย่างมาก
ทำให้สามารถต้านทานอาวุธร้อนส่วนใหญ่ได้
ผู้ปลุกพลังระดับ 5 จะจารึกความสามารถพิเศษลงในสายเลือด
ทำให้ปลดปล่อยทักษะความสามารถพิเศษได้ทันที
ผู้ปลุกพลังระดับ 6 จะสามารถรวมทักษะความสามารถพิเศษได้ตามต้องการ
และสามารถเข้าใจทักษะขั้นสูงสุดของความสามารถพิเศษได้
ทักษะขั้นสูงสุดที่ปลดปล่อยนั้นทรงพลังมากและมีพลังทำลายล้างเทียบเท่ากับฝูงขีปนาวุธ
ผู้ปลุกพลังระดับ 7 ร่างกายเปลี่ยนเป็นธาตุได้ชั่วคราว
และพลังของความสามารถพิเศษเพิ่มขึ้นอย่างมาก
ผู้ปลุกพลังระดับ 8 เปลี่ยนร่างกายของเขาให้เป็นธาตุได้อย่างสมบูรณ์
ในขณะที่ผู้ปลุกพลังระดับ 9 สามารถปลุกวิญญาณธาตุของเขาได้
แน่นอนว่าผู้ปลุกพลังระดับสูงสุดก็ดูเหมือนเป็นเทพเจ้าในนวนิยายอยู่แล้ว
ไม่น่าแปลกใจที่จะมีองค์กรแบบวิหารแห่งทวยเทพเกิดขึ้นมา
แต่การบ่มเพาะความสามารถพิเศษไม่ใช่เรื่องง่ายและไม่มีทางลัด
ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้ความสามารถพิเศษผสานเข้ากับร่างกายให้ได้
และในท้ายที่สุดก็เปลี่ยนเป็นวิญญาณแห่งธาตุ
กระบวนการบ่มเพาะเป็นกระบวนการที่เจ็บปวดทรมานมาก
ยกตัวอย่างเช่น ลูกพี่ลูกน้องของเขา
หวังอูเว่ยเป็นผู้ปลุกพลังที่มีความสามารถพิเศษประเภทสายฟ้า
วิธีการบ่มเพาะของเขาคือการใช้ความสามารถพิเศษช๊อตร่างกายของเขาให้มากที่สุด
เพื่อให้ร่างกายของเขาปรับตัวเข้ากับความสามารถพิเศษประเภทสายฟ้าได้
ในที่สุดเขาจะค่อยๆกลายเป็นหนึ่งเดียวกับสายฟ้า
การช็อตด้วยสายฟ้าทุกวันเป็นความเจ็บปวดทรมานที่คนส่วนใหญ่ทนไม่ได้
โชคดีที่เขามีอวตารในเกม เขาจึงไม่ต้องทุกข์ทรมานเช่นนี้
หนิงซีดีใจมากในเรื่องนี้ ในเวลาเดียวกัน
ตอนนี้เขาก็รู้แล้วว่าทำไมสถานะของผู้ปลุกพลังประเภทพละกำลังจึงต่ำ
มันเป็นเพราะไม่มีเส้นทางการบ่มเพาะ
เส้นทางการบ่มเพาะของความสามารถพิเศษได้รับการออกแบบมา
สำหรับความสามารถประเภทธาตุและจิตวิญญาณเท่านั้น
หลังจากที่ผู้ปลุกพลังประเภทพละกำลังมาถึงระดับ 3
ก็ไม่มีหนทางให้เดินอีกต่อไป
ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากที่ระดับของผู้ปลุกพลังประเภทธาตุขึ้นถึงระดับสูงแล้ว
ร่างกายจะกลายเป็นธาตุ
ซึ่งจะสามารถต้านทานการโจมตีทางกายภาพส่วนใหญ่ได้
ซึ่งในระยะท้ายๆ ผู้ปลุกพลังประเภทพละกำลังไม่สามารถแข่งขันกับพวกเขาได้
ศิลปะการต่อสู้ของหนิงซี
ได้รับการแบ่งปันโดยกลุ่มผู้อาวุโสประเภทพละกำลังในของฟอรัมของผู้ปลุกพลัง
อาจกล่างได้ว่าเขารับสืบทอดมรดกและความรับผิดชอบของกลุ่มพละกำลัง
ถ้าเขาทำได้ เขาจะสร้างเส้นทางของผู้ปลุกพลังประเภทพละกำลังขึ้นมาเอง