17. พรสวรรค์ของญาติผู้น้อง
เมื่อการพูดคุยธุรกิจเสร็จสิ้น แกะย่างก็มาเสิร์ฟพอดี
พนักงานร้านเข้ามาให้คำแนะนำวิธีการกินและลักษณะของเนื้อแกะย่าง
“ชีวิตจะต้องมีระเบียบแบบแผน
ตอนนี้เรากำลังจะทำพิธีการผ่าเปิดแกะ
ขั้นตอนแรกขอเชิญแขกผู้ทรงเกียรติที่สุด
จับมีดผ่าหลังแกะตามขวาง
สิ่งนี้แสดงถึงการอุทิศทั้งจิตใจให้กับมิตรภาพ”
“ถัดไป ขอเชิญแขกอีกท่านผ่าหลังตามยาว
จนเป็นรูปกากบาทที่สื่อถึง
ความสมบูรณ์แบบของสรรพสิ่ง”
“จากนั้น เรียนเชิญแขกท่านสุดท้าย
สอดมีดเข้าไปในซี่โครงทั้งสองข้างของแกะ
เป็นการบอกว่ายอมทำทุกอย่างเพื่อสหายของเขา”
สิ่งหล่านี้บ่งบอกถึงความเอาใจใส่ของร้านที่มีต่อลูกค้า
เมื่อเห็นว่าหนิงซีและอีกสองคนเป็นเพื่อนกัน
ทางร้านจึงออกแบบพิธีผ่าเปิดตัวแกะสำหรับพวกเขาโดยเฉพาะ
จากนั้น พนักงานร้านก็แนะนำขั้นตอนในการกินเนื้อแกะเจ็ดขั้นตอน
“ท่านลูกค้าที่เคารพ กรุณาสวมถุงมือก่อน
จากนั้นขั้นแรก ให้ดึงเนื้อสันในที่อยู่ตรงกลางหลังของเนื้อแกะออกมา
นี่คือส่วนที่นุ่มที่สุดของแกะ…”
หนิงซีกับเพื่อนทั้งสองทำตามคำแนะนำของพนักงาน
กินไปเรื่อยๆจนปากเป็นมัน บอกได้ไม่อายปากว่า
เนื้อแกะย่างของเวสท์เมาเท้นพาวิลเลี่ยนนั้นยอดเยี่ยมจริงๆ
ข้างนอกไหม้เกรียม ข้างในนุ่ม รสชาติสดชื่น มีกลิ่นหอม
ไม่น่าแปลกใจเลยที่ร้านมีลูกค้าเต็มทุกวัน แม้จะตั้งอยู่ห่างไกลจากเมืองก็ตาม
พวกเขาได้แต่ดื่มโค้กเย็นๆ เนื่องจากขับรถมาเองจึงดื่มแอลกอฮอล์ไม่ได้
หลังจากที่พนักงานเดินจากไป หยางหยุนจีก็คว้าเนื้อแกะขึ้นมากัด แล้วพูดว่า
“แกซื้อยาปลุกพลังหรือยัง? ให้ตายเถอะ ฉันไม่คิดเลยว่า
การปลุกพลังเหนือธรรมชาติจะเกิดขึ้นในช่วงชีวิตฉัน”
เฉินเว่ยส่ายหัว
“ตอนนี้ฉันมีเงินไม่พอ คิดว่าไว้เงินปันผลออกแล้วค่อยว่ากันอีกที
พวกเราอายุเกือบ 30 แล้ว อัตราความสำเร็จต่ำเกินไป”
หยางหยุนจีหยิบโค้กขึ้นมาดื่มรวดเดียว
“บริษัทเติบโตเร็วมาก ยังจ่ายเงินปันผลไม่ได้หรอก
ถ้าแกอยากซื้อ เดี๋ยวฉันให้ยืมเงินก่อน 500,000 หยวน ก็ได้”
“เมื่อไม่กี่วันก่อน ผู้เชี่ยวชาญให้คำแนะนำกับพ่อฉัน
จนพบตัวทำให้เกิดปัญหาแล้ว
ตอนนี้เราแก้ไขสถานการณ์ได้แล้ว
และกลับมาเปิดกิจการค้าเสื้อผ้าของครอบครัวได้อีกครั้ง
ตอนนี้ฉันกลับมารวยเหมือนเดิมแล้ว”
หนิงซีถือขาแกะชิ้นโตขึ้นมาแทะแล้วถามว่า
“พ่อแม่แกไปขัดขาใครละ”
“เขาไม่ได้ล่วงเกินใคร
แต่เกิดเรื่องจากการที่แม่ฉันดันบังเอิญไปซื้ออัญมณี
ที่เจ้าหน้าที่รุ่นที่สองใช้เส้นสายจองเอาไว้
พอเขารู้เลยสั่งสำนักการตลาดปิดโรงงานครอบครัวฉันซะเลย”
“พอแม่ฉันขายอัญมณีให้เจ้าหน้าที่รุ่นที่สอง โรงงานก็กลับมาเปิดต่อได้เหมือนเดิม”
อัญมณีอีกแล้ว? หัวใจหนิงซีแทบกระโดดออกจากอก
เขาอดที่จะนึกถึงเหตุที่น้าสะใภ้ถูกลอบสังหารไม่ได้
เธอก็ซื้ออัญมณีโดยบังเอิญเหมือนกัน
ดูเหมือนว่าคริสตัลจิตวิญญาณระดับ A จะปะปนอยู่ในบรรดาอัญมณี
ที่ถูกขายให้พ่อค้าในตลาดในฐานะเป็นอัญมณีธรรมดาทั่วๆไป
ครั้งนี้ไม่เกี่ยวกับวิหารแห่งทวยเทพ
แต่เป็นเจ้าหน้าที่รุ่นที่สองมาเกี่ยวข้อง
แสดงว่าคริศตัลจิตวิญญาณระดับ A มีแรงดึงดูดใจอย่างแท้จริง
ทำให้กองกำลังต่างๆเข้าร่วมการช่วงชิงเพื่อครอบครองมัน
“แกจำร้านที่แม่แกซื้ออัญมณีได้ไหม”
“ปกติแม่มักจะซื้อเครื่องประดับจากร้านหลัก
ของร้านเครื่องประดับตงหลินโจวลิ่วฝูตลอด
อัญมณีชิ้นนี้ก็มาจากร้านนี้แหละ
สือโถว มีอะไรเกิดขึ้นกันแน่ แกคิดว่ามีอะไรผิดปกติหรือเปล่า”
การเข้าไปเกี่ยวข้องกับคริสตัลจิตวิญญาณระดับ A นั้น
อันตรายเกินไป หนิงซีไม่อยากให้เพื่อนถูกดึงเข้ามา
เขาจึงเลือกที่จะไม่บอก
"ไม่มีอะไร. ฉันแค่ถามไปยังงั้นเอง
อ้อ ฉันไม่จำเป็นต้องซื้อยาปลุกพลังหรอก
ฉันปลุกพลังด้วยตัวเองเรียบร้อยแล้ว”
"อะไรนะ?!"
“ไอ้บ้านี่!”
เฉินเว่ยและหยางหยุนจี ลุกขึ้นยืนพร้อมกันอย่างตื่นเต้น
ทั้งคู่ต่างยินดีกับหนิงซีอย่างแท้จริง
“เป็นไปตามคาด สือโถว แกมันอัจฉริยะ!”
"ใช่แล้ว. ต่อไปพวกเราจะกอดต้นขาแกให้แน่น
ความสามารถพิเศษของแกคืออะไร?”
เมื่อเห็นการตอบสนองอย่างเว่อร์วังอลังการของทั้งคู่
หนิงซีรีบพูดให้พวกเขาสงบลง
“ความสามารถพิเศษประเภทพละกำลังที่สุดธรรมดา”
ข้อมูลพื้นฐานของผู้ปลุกพลังได้ถูกประกาศจนรับรู้กันทั่วทั้งประเทศแล้ว
ผู้คนส่วนใหญ่ต่างรู้ถึงการจัดระดับพรสวรรค์ของผู้ปลุกพลัง
พวกเขายังรู้ด้วยว่าผู้ปลุกพลังประเภทพละกำลัง
คือคนที่มีศักยภาพน้อยที่สุด จนบัดนี้ ยังไม่มีใครที่พัฒนาเกินกว่าระดับ 3
“แค่ได้เป็นผู้ปลุกพลัง แม้จะเป็นประเภทพละกำลัง ก็ดีมากแล้ว
อย่างน้อย สมรรถภาพทางกายก็เพิ่มขึ้นมาก
ว่ากันว่า ถ้าไม่แส่หาที่ตายเองแล้ว ผู้ปลุกพลังจะอยู่ได้เกินร้อยปี”
“ตอนแรกฉันคิดว่าพวกเราคงไม่มีใครได้เป็นผู้ปลุกพลังเลยสักคน”
การตอบสนองของหยางหยุนจีและเฉินเว่ย
แสดงให้เห็นถึงความคิดของเหล่าคนที่มีอายุเกินเกณฑ์แล้ว
สำหรับพวกเขา การได้เป็นผู้ปลุกพลังเปรียบเสมือนของขวัญชิ้นใหญ่
จะเป็นความสามารถอะไรก็ได้ พวกเขาไม่เรื่องมากอยู่แล้ว
มันก็ดีนะที่มีเพื่อน ทั้งสามคนดื่มกินด้วยกัน จนเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ก่อนกลับ หนิงซีหยิบสูตรไวน์ผลไม้ที่เขาเตรียมไว้ออกมา
“สูตรนี้เป็นสูตรทำไวน์ผลไม้ที่รสชาติดี มีแอลกอฮอล์ต่ำ
พวกแกลองเอาไปทำดู
ไม่แน่ว่ามันอาจกลายเป็นสินค้าหลักอีกอย่างของร้านก็ได้”
หยางหยุนจีก็ไม่เกรงใจ
เขารับสูตรมาเก็บไว้เพื่อนำกลับไปทำวิจัยต่อไป
หนิงซีขับรถกลับไปถึงบ้านของน้าชายตอนสี่ทุ่ม
ภายในวิลล่าคลาคล่ำไปด้วยผู้คนที่ดูมีชีวิตชีวา
น้าชายของเขานั่งบนเก้าอี้ไม้มะฮอกกานีในห้องนั่งเล่น
กำลังชงชาให้คนเจ็ดหรือแปดคนที่นั่งอยู่รอบโต๊ะน้ำชา
คนที่โดดเด่นที่สุดคือนักบวชลัทธิเต๋าวัยสามสิบ
มีคิ้วดังดาบและดวงตาสดใสดั่งดวงดาว
ผมยาวถูกมัดเป็นมวย สวมเสื้อคลุมเต๋าสีเขียว
ถือแส้ปัดหางม้าสีขาว ดูเหมือนเทพเซียนจากสวรรค์
ด้านหลังเขา มีวัยรุ่นสวมเสื้อคลุมเต๋าสองคนยืนตัวตรง
เต็มไปรัศมีของนักบวชลัทธิเต๋า
จูต้าหนิวนั่งหน้าตาซีดเซียวอยู่บนโซฟาห่างออกไป
เมื่อเห็นหนิงซีกลับมาถึง น้าชายรีบเข้ามาทักเขา
“ซีน้อย รีบเข้ามาทักทายท่านนักบวชฉินสิ
ท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญจากวิหารเมฆขาว
ท่านเป็นผู้ปลุกพลังระดับ 6 แล้ว”
หนิงซีรับรู้ได้ถึงการเสแสร้งจากนักบวชฉิน
เขารู้สึกผะอืดผะอมเล็กน้อยขณะประสานมือทักทาย
“คารวะ นักบวชฉิน”
นักบวชฉินหยิบถ้วยชาขึ้นมาจิบ ชำเลืองมองหนิงซีด้วยสายตาเหยียดหยาม
“นี่คือลูกพี่ลูกน้องของอูเว่ยหรือ?
เป็นแค่เพียงผู้ปลุกพลังประเภทพละกำลังระดับต่ำเท่านั้น
ช่างไร้ประโยชน์จริงๆ คุณหวังไม่ต้องห่วง มีฉันอยู่ด้วย
รับประกันความปลอดภัยของครอบครัวคุณได้”
น้าชายไม่คาดคิดว่านักบวชฉินพูดโดยไม่ไว้หน้าหนิงซีขนาดนี้
จนเขาทำตัวไม่ถูกไปครู่หนึ่ง
หวังอูเว่ยที่อยู่ข้างๆนักบวชฉินไม่ได้รับรู้ถึงความเย้ยหยันในน้ำเสียงของอาจารย์
เขาพูดกับหนิงซีอย่างตื่นเต้นว่า
“ลูกพี่ลูกน้อง ฉันกลายเป็นผู้ปลุกพลังแล้ว!
ผลทดสอบ ความสามารถของฉันคือความสามารถพิเศษประเภทสายฟ้า
คุณสมบัติของฉันคือระดับ A!”
หวังอูเว่ยมีอายุเพียง 15 ปี เขาก็เหมือนกับวัยรุ่นทั่วไป
อดไม่ได้ที่โอ้อวดความสำเร็จครั้งใหญ่กับผู้อื่น
“ลูกพี่ลูกน้องคุณรู้ไหมว่า ในโรงเรียนมีฉันคนเดียวที่มีคุณสมบัติอยู่ในระดับ A
นอกจากนั้น ความสามารถของฉันคือความสามารถพิเศษประเภทสายฟ้าที่หายากมากๆ
ทั้งโรงเรียนตื่นเต้นกันยกใหญ่เลย!”
“ท่านนักบวชฉินหลิงอวิ๋น บังเอิญแวะไปที่โรงเรียน
จึงอยากรับฉันเป็นศิษย์ทันที เขาเป็นผู้ปลุกพลังระดับ 6
และยังเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ทรงพลังกว่าผู้กองจู ถ้ามีเขาอยู่แล้วละก็
วิหารแห่งทวยเทพจะคุกคามเราไม่ได้อีกต่อไป”
“ท่านนักบวชและครูที่โรงเรียนต่างมาแสดงความยินดีกับฉันที่บ้าน!”
หนิงซีมีอายุห่างจากลูกพี่ลูกน้องเขาประมาณสิบปี
ปกติพวกเขาสองคนก็ไม่ค่อยสนิทกันเท่าไร
ความสัมพันธ์ของพวกเขาอยู่ในระดับค่าเฉลี่ยทั่วไป
แต่เมื่อลูกพี่ลูกน้องของเขามีพรสวรรค์ที่โดดเด่น
หนิงซีก็ยินดีด้วยจากใจจริง
เขาตบหัวลูกพี่ลูกน้องเบาๆและพูดว่า
“ยินดีด้วย เสี่ยวเว่ย พรสวรรค์ไม่ได้หมายถึงทุกสิ่ง
คุณต้องอย่าเย่อหยิ่งและหุนหันพลันแล่นและควรฝึกฝนอย่างหนัก”
หนิงซีต้องการให้กำลังใจลูกพี่ลูกน้องของเขา แต่ฉินหลิงอวิ๋นกลับดูถูกหนิงซี
“พรสวรรค์กำหนดทุกสิ่ง ในฐานะผู้ปลุกพลังประเภทพละกำลัง
คุณควรมีความเข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดี ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่อูเว่ย
ฉันคงไม่ลดตัวลงไปพูดกับคุณ”
หนิงซีกลอกตาให้กับพฤติกรรมที่หยิ่งยโสของฉินหลิงอวิ๋น
“คุณไม่ต้องมายุ่งว่าพรสวรรค์ของฉันเป็นแบบไหน
คุณดูน่านับถือ แต่ไร้ซึ่งความเห็นใจต่อผู้อื่น
คุณนั่งดื่มชาในขณะที่มีเด็กฝึกเต๋ายืนอยู่ข้างหลัง
เพื่อทำให้คุณดูโดดเด่น น่าสนใจดีนี่?”
“อีกอย่าง ลูกพี่ลูกน้องของฉันยังไม่ตกลงที่จะเป็นศิษย์ของคุณใช่ไหม”
หนิงซีพูดกับน้าชายของเขาว่า
“คุณน้า ควรคิดให้รอบคอบนะครับ
วิหารเมฆขาวเป็นองค์กรที่ไม่ใช่ของรัฐ
น้าไม่รู้ที่มาที่ไปของมันด้วยซ้ำ
น้าอยากให้ลูกพี่ลูกน้องเป็นศิษย์ของนักบวชลัทธิเต๋าคนนี้แน่หรือ”
น้าชายของเขาเป็นคนหัวรั้นและรักษาคำพูด
เมื่อเห็นหนิงซีสงสัยในตัวนักบวชฉิน เขาก็ตบโต๊ะเสียงดัง
“ซีน้อย นักบวชฉินเป็นผู้เชี่ยวชาญอาวุโส
เขารักษาโรคที่ขาของคุณยายของหลานทันทีที่เขามาถึง
โชคดีเท่าไรแล้วที่เสี่ยวเว่ยได้เป็นศิษย์ของเขา เรื่องนี้น้าตัดสินใจแล้ว
น้าจะเชิญเพื่อนๆของน้ามาร่วมงานเลี้ยงรับศิษย์พรุ่งนี้”
หวังจือกั๋วเริ่มรู้ตัวว่าเขาพูดแรงเกินไป เขาถอนหายใจและพูดว่า
“ซีน้อย น้ารู้ว่าหลานเป็นผู้ปลุกพลังประเภทพละกำลัง
ความสามารถของหลานอยู่ต่างระดับกันมาก หลานกำลังเข้าใจนักบวชฉินผิดนะ”
“ไม่ว่าหลานจะเป็นคนธรรมดาหรือผู้ปลุกพลัง
หลานต้องรู้จุดยืนของตัวเอง ถ้าหลานไม่แข็งแกร่งพอ
หลานต้องเรียนรู้ที่จะควบคุมตัวเองให้ได้”
“ผู้ปลุกพลังประเภทพละกำลังก็เปล่งประกายได้เช่นกัน”
หนิงซีถึงกับส่ายหัว ในเมื่อเขาพูดในสิ่งควรพูดออกไปหมดแล้ว
ถ้าน้าชายยังคงดื้อรั้น เขาก็จะไม่พยายามเกลี้ยกล่อมอีกต่อไป
“ไม่ต้องห่วงครับคุณน้า น้าเป็นแค่คนธรรมดา
แต่น้ายังกล้ามาปลอบผู้ปลุกพลังแบบผมอีกหรือ?
ผมว่าน้าค่อยมาพูดเรื่องนี้กับผม
หลังจากน้าเป็นผู้ปลุกพลังแล้วดีกว่า”
หวังจือกั๋ว: “…”
หนิงซีไม่อยากเห็นสีหน้าเหมือนเป็นผู้ชนะของฉินหลิงอวิ๋น เขาจึงตรงไปที่ห้องของเขา
เขาไม่ได้คิดที่จะย้ายออกจากบ้านน้าชายเขาในตอนนี้
เขายังไม่เข้าใจเรื่องของคริสตัลจิตวิญญาณระดับ A ดีพอ
หลังจากนั้นไม่นาน ก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายจากห้องโถงชั้นล่าง
แม่ของหนิงซี หวังหยานกำลังสั่งสอนน้องชายเธออยู่ข้างนอก
“แกไม่มีสิทธิ์มาตัดสินว่าลูกฉันเป็นอย่างไร
หวังจือกั๋ว เดี๋ยวนี้แกปีกกล้าขาแข็งแล้วนี่
แกลองมองย้อนกลับไปตอนที่แกถูกปลดประจำการ
ไม่มีแม้เงินจะกินข้าว ใครเป็นคนเลี้ยงดูแกมาเป็นปี หา!”
เมื่อถูกพี่สาวดุด่า หวังจือกั๋วไม่กล้าพูดแม้แต่คำเดียว
บนใบหน้ามีแต่ความเสียใจ เมื่อเห็นเหตุการณ์น่าอึดอัดใจ
ฉินหลิงอวิ๋น และคนอื่น ๆ ก็รีบขอตัวกลับไปก่อน
“ท่านนักบวช ต้องขออภัยที่วันนี้ต้อนรับได้ไม่ดี
มะรืนนี้เวลา 10.00 น. เป็นฤกษ์ที่ดี
ฉันจะจัดงานเลี้ยงที่ภัตตาคารเพิร์ลและให้เสี่ยวเว่ยคารวะคุณเป็นอาจารย์
ฉันอยากทราบว่าวิหารเมฆขาวมีข้อกำหนดพิเศษสำหรับพิธีหรือไม่”
ฉินหลิงอวิ๋นถือแส้ปัดหางม้าและพูดเสียงเรียบว่า
“ลัทธิเต๋าเน้นการคล้อยตามธรรมชาติ ทุกอย่างควรเรียบง่าย
ฉันจะเชิญพี่ชายของฉัน นักบวชฉิงอวิ๋น
มาร่วมเป็นสักขีพยานในวันมะรืนด้วย”
เมื่อพูดจบ กลุ่มคนเหล่านั้นก็เดินจากไป
หนิงซีไม่ค่อยสนใจว่ามีอะไรเกิดขึ้นด้านนอก
เขาดูเกมและเห็นโหมดแฮ็กระบบได้ออกล่าสัตว์อสูรเวทย์มาสองวันแล้ว
แต่สะสมค่าประสบการณ์ได้เพียง 80,000 แต้มเท่านั้น
ยังห่างไกลมากจากค่าประสบการณ์ 640,000 แต้ม
ประเด็นหลักคือค่าประสบการณ์ที่ได้รับจากสัตว์อสูรเวทย์ระดับกลางนั้น
น้อยลงเรื่อย ๆเมื่อขึ้นไปถึงระดับที่สูงขึ้น
ด้วยความเร็วระดับนี้ เขาจะต้องแฮ็กอีก 14 วันถึงจะเพิ่มระดับได้ มันช้าเกินไป
เขาต้องได้รับผลึกจิตวิญญาณระดับ A โดยเร็วที่สุด
เพื่อนำมาอัปเดตระบบเกม
บางทีอาจมีวิธีที่เร็วกว่าในการเพิ่มระดับหลังจากการอัปเดตระบบ