ตอนที่ 1059 พูดถึงประสบการณ์ชีวิต!
คำถามของมหาบัณฑิตพันปีทำให้เย่ว์หยางคิด
อะไรคือความลับของชีวิต?
เหตุใดมนุษย์ถึงยิ่งก้าวหน้าก็ยิ่งกร้าวแกร่ง? ทำไมอสูรศึกทั้งหมดถึงวิวัฒนาการขั้นสูงสุดเป็นร่างมนุษย์?
เย่ว์หยางรู้ว่าการเปลี่ยนไปเป็นร่างมนุษย์คือรูปแบบชีวิตที่สมบูรณ์แบบที่สุดของอสูรศึกและยังคงเป็นรูปแบบที่แข็งแกร่งที่สุด เขารู้กระบวนการและผลลัพธ์ในเรื่องนี้ แต่เขาไม่ทราบความลับของการวิวัฒนาการว่าทำไมถึงต้องวิวัฒนาการไปในทำนองนั้น ทำไมถึงไม่เป็นไปในทางอื่น หรือว่าถ้าวิวัฒนาการไปในทิศอื่นจะเป็นเหตุไม่ทำให้แข็งแกร่งเท่าร่างมนุษย์? บางทีอาจกล่าวได้ว่าการเปลี่ยนเป็นมนุษย์สามารถเรียนรู้เหมือนมนุษย์ปลูกฝังแนวคิดในการใช้ปัญญา... แต่ต้องย้อนถามอีกครั้ง ทำไมมนุษย์ถึงฉลาดที่สุด? ทำไมการเรียนรู้ การฝึกฝนและการก้าวหน้าพัฒนาของมนุษย์จึงเร็วที่สุด?
ระหว่างสวรรค์และโลกใครสร้างชีวิตที่ซับซ้อนเช่นนี้?
และทำไมชีวิตนับไม่ถ้วนเหล่านี้จึงถูกสร้างขึ้น? ความสำคัญของการมีอยู่ของพวกเขาในโลกนี้ก็คือ ‘ความเป็นมนุษย์’ ใช่หรือไม่?
เขาปล่อยวางคำถามเหล่านี้
เมื่อมองกลับมาที่ตนเองเย่ว์หยางจะเห็นความลับของชีวิต แน่นอนว่าเขายังไม่เชี่ยวชาญ ดังนั้นเขาจึงยังไม่สามารถสร้างชีวิตเหมือนเทพเจ้าได้
แต่ถ้าลองคิดในทางกลับกันถ้าเขาเข้าใจความลับแห่งชีวิต เขาจะสามารถสร้างชีวิตได้หรือไม่? เทียบเท่ากับการเข้าสู่ขอบเขตของเทพหรือไม่?
ความคิดนี้
ทำให้หัวใจของเย่ว์หยางตื่นเต้นทันที
ตอนนี้เขาเป็นกังวลที่จะรู้ความลับของชีวิตจากคำพูดของมหาบัณฑิตพันปี แม้ว่าเขาจะรู้ความลับนี้ แม้ว่าจะยังไม่บรรลุถึงระดับเทพแต่ก็คาดว่าจะช่วยให้เขาก้าวหน้าต่อไปในอนาคต นางพญาเฟ่ยเหวินหลีบรรลุพลังปราณราชันย์ระดับศักดิ์สิทธิ์ พลังของนางเท่ากับพลังของเทพในตำนานนางสามารถสร้างปาฏิหาริย์โดยการสร้างโลกหิมะน้ำแข็งทั้งที่ยังอยู่ในมิติหลุมดำได้ แต่นางไม่สามารถสร้างชีวิตมีอยู่ครั้งหนึ่งนางคืนชีพเสี่ยวเหวินหลีด้วยตัวนางเอง และนางไม่ได้มองตัวนางเองนางรู้ว่ามีอุบัติเหตุในกระบวนการคืนชีพเกินกว่าจะคาดคิด ดังนั้นเสี่ยวเหวินหลีจึงกลายเป็นธิดาของนาง
ถ้าเขารู้ความลับของชีวิตและใช้กับนางพญาเฟ่ยเหวินหลี นางจะกลับขึ้นมาข้างบนได้หรือไม่?
จื้อจุน จักรพรรดินีราตรีนางเซียนหงส์ฟ้า เสวี่ยอู๋เสีย เชี่ยนเชี่ยน...ทุกคนมีสถานะที่แตกต่างกัน ถ้าพวกนางเชี่ยวชาญความลับของชีวิตในตอนนี้ และฝึกฝนจะได้ผลลัพธ์ของการฝึกฝนเป็นสองเท่าโดยใช้ความพยายามเพียงครึ่งเดียว
นอกจากนี้หากตัวเขาเองชำนาญความลับของชีวิต อย่างนั้นบางที อาหมัน อาหง เจี้ยงอิงภูตฟ้าปั่นป่วน ฯลฯ อาจจะมีวิวัฒนาการที่ดีได้
หากกล่าวว่ามีเรื่องที่จำเป็นต้องทำเร่งด่วนอย่างนั้นก็ต้องทำเรื่องนี้
ความลับของชีวิต.... หัวใจของเย่ว์หยางเต้นแรงเป็นร้อยครั้งเพราะมหาบัณฑิตพันปีหยุดและไม่พูดอะไรต่อ เขาต้องการเข้าไปหาแล้วให้ชายชราเล่าเรื่องความลับของชีวิตสอบถามเกี่ยวกับแนวคิดขั้นต่อไป แต่เมื่อเย่ว์หยางยังฝึกฝนอยู่ในระดับต่ำ เขาจึงไม่เข้าใจความต้องการของเขามากนัก เขาไม่ได้สำรวจลึกลงไปและคัมภีร์โบราณที่หอทงเทียนก็มีเป็นจำนวนมาก แต่ไม่มีพูดถึงแนวทางนี้
บางทีความรู้ที่ได้รับตกทอดมาจากพี่สาวแม่สี่ ทั้งยังมีมรดกนักรบที่โลกพฤกษาและแก่นพลังวงเวทรูนยักษ์ที่เขาเก็บไว้
ส่วนที่ซ่อนเร้นซึ่งเย่ว์หยางยังไม่สามารถมองเห็นได้นั้นก็คือสัจจะ
แม้แต่การสอนปราณกระบี่ไร้ลักษณ์ของเทพธิดากระบี่ฟ้ายังมีปริศนา น่าเสียดายที่ในเวลานั้นเขาไม่รู้ไม่เข้าใจถึงวิถีกระบี่ที่ลึกซึ้ง
เขาต้องคว้าโอกาสไขปริศนา
ความลับของชีวิตความจริงเป็นเช่นไรกันแน่?
ไม่เพียงแต่เย่ว์หยางเท่านั้นที่อยู่นอกหน้าต่าง แต่ผู้เกิดใหม่ก็นั่งฟังอยู่ด้วยแต่พวกเขาก็อยากรู้อยากเห็น
“ประการแรกเลยสิ่งที่ข้าอยากจะบอกก็คือมิติดินแดนฝึกฝีมือคือสถานที่ให้นักรบได้เลื่อนระดับไปเป็นระดับเทพ กล่าวอีกอย่างหนึ่งนี่คือสถานที่ฝึกฝนเทพเจ้า ไม่ว่าจะเป็นด่านแรก หรือด่านที่สิบวัตถุประสงค์ล้วนเหมือนกัน บางคนในที่นี้อาจนึกว่าข้าไม่ได้พูดอะไรมากมาย แต่ข้าอยากจะบอกถึงประเด็นอย่างอื่นนั่นคือสถานที่มิติดินแดนฝึกฝนแห่งนี้ทำให้ผู้คนเข้าใจความลับของชีวิต แต่ละระดับมีการเปิดเผยชีวิตที่แตกต่างกันลองนึกย้อนกลับไปอีกครั้ง สามด่านแรก เราได้เรียนรู้เกี่ยวกับการท้าทายของชีวิตเมื่อเผชิญความยากลำบากต่างๆนานา ตั้งแต่ด่านที่สี่หุบเขาราคะเราเริ่มเข้าใจตัวของเราเองทำอย่างไรจึงจะเผชิญหน้ากับความปรารถนาที่ยากที่เราจะปล่อยวางในที่สุดและควบคุมจิตใจของเราไว้ จากนั้นเป็นหุบเขาอสูรซึ่งเป็นด่านที่ห้า เราก็เริ่มเข้าใจพวกอสูร ชีวิตที่มีความภักดีใกล้ชิดเราที่สุด เราพยายามเข้าใจกระบวนการเติบโตของชีวิต แม้ว่าจะเป็นความรู้เพียงผิวเผินก็ตาม แต่ก็เป็นการเริ่มต้นที่ดี”
“ด่านที่หกหุบเขาปีศาจมองผิวเผินเหมือนกับเป็นสงครามชาติพันธุ์เป็นการต่อสู้ของสองค่ายฝ่ายมืดกับฝ่ายสว่างเพื่อเอาชนะกัน ความจริงนั้นมีวัตถุประสงค์ที่แท้จริงเพิ่มขึ้นมานอกจากการสำรวจความลับของชีวิตให้มากขึ้น ความเข้าใจที่ดีขึ้นผ่านการเติบโตของอสูรศึกและการพัฒนาตนเอง นอกจากนี้ยังมีความหมายที่ซ่อนอยู่นั่นคือความคล้ายคลึงกันและความแตกต่างกันแห่งชีวิต เมื่อต้องทำตัวเลือกที่แตกต่างกัน”
“ชีวิตไม่ใช่เส้นตรง มีผลต่างกันหลังจากที่พวกเจ้าเลือก
“อาจจะดีขึ้นหรือแย่ลง”
“ไม่ว่าจะดีขึ้นหรือแย่ลงในฐานะคนเลือกเจ้าต้องรับผลที่ตามมาจากการเลือกของเจ้า ในฐานะของผู้เป็นใหญ่เจ้าควรคิดถึงตัวเลือกที่เจ้าเลือกไว้เพราะว่าตัวเลือกไม่ว่าจะเล็กน้อยเพียงใดนั่นจะส่งผลกระทบต่อชีวิตของเจ้าไม่มากก็น้อย”
“ถ้าพวกเจ้ายังไม่พร้อมจะรับผลตามมาที่เลวร้ายที่สุด ข้าขอแนะนำให้พวกเจ้าหยุดและคิดเรื่องนี้ให้ดี เมื่อเจ้าพบกับตัวเลือกที่สำคัญในอนาคต”
“ชีวิตจะไม่มีโอกาสกลับมาได้อีก”
“เมื่อเลือกผิดเจ้าก็ต้องจ่ายด้วยคุณค่ามหาศาลเพื่อชดเชยความสูญเสียที่เกิดจากการเลือกผิดของพวกเจ้าและแม้แต่ตัวเลือกบางตัวก็ไม่สามารถย้อนกลับไปได้”
“ไม่ว่าจะเพื่อตนเองหรือเพื่อญาติสนิทมิตรสหายของพวกเจ้า เจ้าต้องมีความชัดเจนเกี่ยวกับตัวเลือกของเจ้า และเจ้าไม่สามารถโอนเอนไปทางซ้ายหรือขวาได้และอย่าคาดหวังผู้อื่นพวกเจ้าต้องควบคุมชีวิตของตัวเจ้าเองและตัดสินใจด้วยตนเอง ผู้ที่สามารถกุมชะตาของตนเองและสามารถสร้างจิตสำนึกส่วนตัวให้มีทางเลือกได้หลากหลายในชีวิตพวกเขาคือผู้ทรงอำนาจผู้ยิ่งใหญ่ที่แท้จริง ตอนนี้พวกเจ้าอาจเข้าใจว่าหากพวกเจ้าต้องการเข้าใจความลับของชีวิตอย่างแท้จริง พวกเจ้าต้องเริ่มต้นด้วยการควบคุมชีวิตตัวพวกเจ้าเอง”
“พวกเจ้าไม่สามารถเชี่ยวชาญในการคุมชะตาตนเอง แล้วจะรู้ความลับที่แท้จริงของชีวิตได้อย่างไร?”
“ในด่านทั้งหกนั้นข้าไม่รู้ว่าพวกเจ้าผ่านมาได้อย่างไร แต่ข้าสามารถบอกพวกเจ้าได้เดี๋ยวนี้เลยว่าทุกความท้าทายคือโอกาสเติบโตก้าวหน้าอย่างแท้จริง ทุกปัญหาคือโอกาสให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างแท้จริง แน่นอนว่าจะเป็นเหมือนกันในอนาคตหากพวกเจ้าเข้าใจ พวกเจ้าจะไม่ยอมแลกเปลี่ยนความมั่งคั่งหรือผลประโยชน์ใดๆ ในโลกแน่ ในทางตรงกันข้าม ถ้าพวกเจ้าพลาดนั่นจะเป็นการพ่ายแพ้ที่ไม่มีโอกาสแก้ไขได้
“นี่ไม่ใช่ปาฐกถาธรรมของคนรุ่นก่อน แต่เป็นคำแนะนำอย่างจริงใจของผู้พ่ายแพ้คนหนึ่ง”
“เด็กๆ ทั้งหลาย จงฟังให้ดี ถ้าพวกเจ้าสามารถเผชิญกับความยากลำบากทุกอย่างได้ อย่างนั้นเจ้าจะพบว่าชีวิตไม่ใช่สิ่งที่ยากเกินไป ชีวิตน่าตื่นเต้นมากกว่าที่พวกเจ้าคิดและผลตอบรับจากการเติบโตและผลสำเร็จอื่นๆ ล้วนเกินจินตนาการของพวกเจ้าแน่นอนว่าข้ารู้ด้วยว่าเป็นเรื่องยาก และยากจะลงมือทำได้ เพราะยากจะทำให้ดูเหมือนว่าสิ่งนี้มีค่าและเป็นการฝึกฝนเพื่อการก้าวหน้าจริงๆ
มหาบัณฑิตพันปีพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ทำให้เย่ว์หยางที่นั่งฟังคล้ายเกิดสติปัญญาทั้งตัวเต็มไปด้วยชีวิตชีวากระตือรือร้น
หลายอย่างที่ยากต่อการเข้าใจ ปมปริศนาพลันได้รับการเฉลยในใจเขาทันที
ภายในใจ
ทำให้เย่ว์หยางรู้สึกว่าตัวเขาอุดมไปด้วยความรู้นับไม่ถ้วนราวกับว่าความหมายที่แท้จริงของชีวิตอยู่ในกำมือของเขาแล้ว
แม้ว่าความลับของชีวิตเขายังไม่เข้าใจอย่างสมบูรณ์แต่ทุกประโยคและความจริงทุกข้อของมหาบัณฑิตพันปี เย่ว์หยางได้ยินหมดแล้ว
หากเขาไม่ได้ฟังอยู่นอกหน้าต่างเขาอยากตะโกนโห่ร้องออกมาดังๆระบายความอัดอั้นตันใจที่เก็บไว้เป็นเวลานานและก้าวหน้าต่อไปได้ทันที เย่ว์หยางไม่ทราบความหมายที่แท้จริงของมิติดินแดนฝึกฝีมือ แต่เมื่อใกล้จะจบเขาตระหนักได้เป็นธรรมดาถึงขอบแขตที่มหาบัณฑิตพันปีกล่าว และตรงตามความต้องการฝึก เขาได้รับรางวัลมรดกโบราณมากมายกลายเป็นโชคดีให้ผู้คนอิจฉา... แต่ในความเป็นจริงเขาไม่ได้โชคดี แค่มีคุณสมบัติภายใต้ข้อกำหนดที่มองไม่เห็นของการผ่านด่าน บางอย่าง เย่ว์หยางจึงเป็นผู้ท้าทายผ่านด่านที่มีคุณสมบัติอย่างแท้จริง
“ท่านมหาบัณฑิตที่นับถือ! ข้าขอถามท่านความสำคัญของการผ่านด่านที่เจ็ดคืออะไร?” บางคนทนรอไม่ไหว รีบยกมือเพื่อตั้งคำถาม
ทุกคนต้องการรู้เกี่ยวกับปัญหานี้
เมื่อรู้เรื่องนี้แล้วอย่างนั้นการจะมีส่วนช่วยเหลือในอยู่ในหุบเขามนุษย์มาก
มหาบัณฑิตพันปีไตร่ตรองปัญหานี้อยู่นานเหมือนจะพิจารณาว่าควรบอกทุกคนหรือไม่ รวมทั้งเย่ว์หยางที่อยู่นอกหน้าต่างเขาตั้งสมาธิฟัง และทุกคนต้องการคลี่คลายปริศนา ไม่ต้องการคำปฏิเสธ
“ทุกคนอาจต้องการจะรู้ ถ้าข้าบอกคำตอบออกไป ฮ่าฮ่าฮ่าข้าเสียใจที่จะบอกพวกเจ้าในที่นี้ได้เลยว่า ต่อให้พวกเจ้ารู้คำตอบก็ไม่มีทางช่วยอะไรได้ ตรงกันข้ามพวกเจ้าอาจจะสับสนมากยิ่งขึ้น เพราะเจ้าทุกคนเป็นผู้เกิดใหม่ในหุบเขามนุษย์” มหาบัณฑิตพันปีหัวเราะแต่เขาไม่ได้ปกปิดอะไร เขาส่งสัญญาณให้ทุกคนสงบลง “ด่านที่เจ็ดความสำคัญของการทดสอบในหุบเขามนุษย์ก็คือ เพื่อให้ทุกคนสังเกตตนเองรายละเอียดที่ผ่านมาในชีวิตของพวกเจ้ามากขึ้นและการทดสอบต่างๆที่พวกเจ้าพบในหุบเขามนุษย์ นี่คือสถานที่ซึ่งจะทรมานร่างกายภายในของพวกเจ้า หากพวกเจ้าเข้าใจว่าหัวใจของมนุษย์คืออะไรและมนุษย์ที่แท้จริงคืออะไร มนุษย์มีคุณสมบัติอย่างไร ดังที่ข้าได้พูดไว้ก่อนหน้านี้ มนุษย์อ่อนแอมากที่สุดแต่ก็มีศักยภาพมากที่สุดเมื่อทุกคนมาที่นี่ทำไมถึงกลายเป็นมนุษย์ได้ยากที่สุด? เหตุผลก็คือการใช้ตัวตนของมนุษย์เพื่อปลุกหัวใจของมนุษย์ของพวกเจ้าไม่ว่าพวกเจ้าจะเป็นเผ่าพันธุ์ใด ไม่ว่าจะเป็นปีศาจ เทวดา เอลฟ์ หรือโนม ถ้าพวกเจ้าสามารถอาศัยอยู่ในหุบเขามนุษย์ได้โดยไม่ต้องพึ่งพาพลังยุทธ์และไม่มีความช่วยเหลือจากภายนอก ถือได้ว่าพวกเจ้าอยู่ใกล้ชีวิตมนุษย์ หลังจากรู้เรื่องนี้แล้วจึงจะเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุด และสำเร็จเป้าหมายสูงสุดของการทดสอบของหุบเขามนุษย์”
“ทำไมในหุบเขามนุษย์จึงไม่สามารถใช้พลังยุทธ์ได้? เหตุผลก็คือทันทีที่พวกเจ้ามีพลังไม่ว่ามนุษย์หรือเผ่าพันธุ์อื่น พวกเจ้าจะปล่อยให้พลังครอบงำทุกอย่างในชีวิต พวกเจ้าจะไม่เข้าใจหัวใจของมนุษย์ที่แท้จริงและพวกเจ้าจะไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของมนุษย์ เด็กๆ ทั้งหลายการเป็นมนุษย์เป็นเรื่องที่ยากที่สุด ถ้าพวกเจ้าเข้าใจเรื่องนี้ นั่นจะเป็นจุดเริ่มต้นของความก้าวหน้า
“มันไม่มีประโยชน์ที่จะตอบคำตอบ เพราะพวกเจ้ามีชีวิตที่ต่างกันเป็นตัวเองสำคัญที่สุด”
“ใช้ชะตาของพวกเจ้าเกาะกุมโอกาส และพวกเจ้าจะมีชีวิตที่น่ามหัศจรรย์!”
“มีประสบการณ์ที่ดีในชีวิตของพวกเจ้า พวกเจ้ามีโอกาสพบประสบการณ์ที่มีค่าอย่างนี้เทพเจ้าจะมอบให้กับทุกเผ่าพันธุ์ ในท้ายที่สุดก็ขึ้นอยู่กับตัวพวกเจ้าเอง
เย่ว์หยางยิ่งฟังก็ยิ่งพลุกพล่านใจ
เขาอดตะโกนไม่ได้ “เยี่ยม”
พูดให้ถูกก็คือนี่คือบทเรียนที่จริงจังที่สุดที่เขาเคยได้ยินมาในชีวิต รายละเอียดในบทเรียนนี้ให้ความกระจ่างในชีวิตของเขาทั้งหมด