15. ข่าวจากฮ่าวเหมิง
หมู่บ้านเฉียนจินเป็นหมู่บ้านชานเมืองที่ใหญ่ที่สุดในเมืองตงหลิน
ละแวกนี้แต่ละบ้านสร้างขึ้นเองทั้งหมด และด้วยค่าเช่าที่ถูก
จึงดึงดูดให้แรงงานย้ายถิ่นเข้ามาอยู่อาศัยเป็นจำนวนมาก
บริเวณด้านซ้ายของหมู่บ้านคือจัตุรัสหวังต้าที่มีคนพลุกพล่าน
ส่วนทางด้านขวาคือย่านที่พักอาศัยระดับสูงที่พัฒนาขึ้นมาใหม่
ผู้คนที่มีรายได้น้อยจะมารวมตัวอยู่อาศัยกันในหมู่บ้านอย่างหนาแน่น
ประหนึ่งว่าความเจริญของเมืองดูเหมือนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับพวกเขา
มีผู้คนจำนวนมากย้ายเข้าออกไปมาในหมู่บ้านอยู่ตลอดเวลา
จึงช่วยไม่ได้ที่จะมีงูกับมังกรปะปนกันจนแยกไม่ออก
ทำให้ความปลอดภัยในหมู่บ้านค่อนข้างต่ำ
ในตอนนี้ ที่บ้านท้ายหมู่บ้านมีเสียงทุบตีดังมาเป็นระยะ
ชายคนหนึ่งนอนล้มตัวกุมท้องเกลือกกลิ้งไปมาบนพื้นด้วยความเจ็บปวด
ข้างๆเขา มีโต๊ะล้มลงกับพื้น
ถ้วยและของบนโต๊ะตกลงมาแตกเป็นเสี่ยงๆกระจายไปทั่วพื้น
“ไม่ได้เรื่องจริงๆ! แม้กระทั่งการชิงของจากคนธรรมดา
แกก็ยังทำไม่สำเร็จเลย สวะจริงๆ !
ถ้าไม่ใช่เพราะกรมสอบสวนคดีพิเศษจับตาดูพวกเราอยู่
ฉันคงไม่ให้แกทำงานสำคัญชิ้นนี้หรอกโว้ย?”
ชายหน้าแดงผมขาวสบถเสียงดังลั่น
“ฉันหลบซ่อนตัวอยู่หนึ่งเดือน
แต่ข้อมูลทั้งหมดที่ฉันซื้อมาด้วยเงินทั้งหมดในชีวิต
มันไร้ค่าไปแล้วเพราะแกคนเดียว!”
ยิ่งคิดขึ้นมา ชายผมขาวก็ยิ่งโกรธ
เขาเตะคนที่กลิ้งอยู่บนพื้นซ้ำไปอีกทีด้วยการเตะที่ทรงพลัง
จนชายคนนั้นตัวลอยขึ้นจากพื้นพุ่งไปชนเข้ากับกำแพง
เมื่อร่างเขาตกลงบนพื้น ก็กระอักโลหิตออกมาเต็มปาก
เห็นได้ชัดว่าอวัยวะภายในได้รับบาดเจ็บจากการเตะ
แต่เขาไม่กล้าต่อต้าน ได้แต่ปล่อยให้ชายผมขาวเตะเอา
ชายผมขาวเตะซ้ำอีกสองสามครั้ง และผู้หญิงยืนอยู่นิ่งๆก็พูดขึ้น
“พอได้แล้ว เข็มโลหะ! ต่อให้คุณเตะเขาตายก็ไม่มีประโยชน์
ที่นี่คือราชอาณาจักรอวิ๋นเหมิง ถ้าเกิดตายไปจะยุ่งยากมากขึ้นอีก”
ผู้หญิงคนนั้นสวมเสื้อเชิ้ตสั้นเปิดสะดือและกางเกงขาสั้นปิดแค่บั้นท้าย
รูปร่างของเธอสวยงามเป็นรูปโค้งตัวเอสที่สมบูรณ์แบบ
แต่เข็มโลหะก็ไม่กล้าแม้จะเหลือบตามองเธอ
เขาพูดอย่างโมโห
“ฉันควรเชื่อคุณ อสรพิษเขียว ฉันไม่ควรใจร้อนเกินไป
ผู้ปลุกพลังประเภทพละกำลัง มันแม่xห่วยจริงๆ!”
“คุณทำถูกแล้ว เราทั้งคู่ถูกกรมสอบสวนคดีพิเศษจับตามองอย่างใกล้ชิด
มันไม่เลวเลยที่ภายในเวลาอันสั้น คุณสามารถหาผู้ปลุกพลังได้
เรามีตัวเลือกไม่มากนัก”
อสรพิษเขียวหยิบสร้อยตรงหน้าขึ้นมาจรดปลายจมูก สูดดมก่อนจะพูดว่า
“ไม่แน่ว่า คุณอาจจะกล่าวหาผู้ฝึกหัดคนนี้ผิดไป”
“สร้อยคอเส้นนี้ยังมีกลิ่นหอมของน้ำหอมผู้หญิง
มันน่าจะถูกกระชากออกจากเป้าหมายของเรา
แต่ทำไมอัญมณีบนสร้อยคอไม่ใช่คริสตัลแห่งจิตวิญญาณ
อาจเป็นเพราะมีคนชิงตัดหน้าเรา หรือไม่ข้อมูลของเราก็ผิดพลาด”
“เป็นไปไม่ได้ ภายใต้การสะกดจิตของฉันไม่มีใครสามารถโกหกได้
ข้อมูลไม่น่าจะผิด”
เข็มโลหะกล่าวด้วยความมั่นใจ
“คริสตัลจิตวิญญาณนี้ถูกส่งมาราชอาณาจักรมีเย
ไปยัง ราชอาณาจักรอวิ๋นเหมิง
ฉันทำการตรวจสอบด้วยการสะกดจิตอย่างละเอียดในทุกขั้นตอน
คริสตัลจิตวิญญาณถูกผสมอยู่ในกลุ่มอัญมณีที่ขนส่งครั้งนี้
และกล่องบรรจุก็ปิดอยู่ตลอดการขนส่ง”
แม้เข็มโลหะจะพูดอย่างมั่นอกมั่นใจ
แต่อสรพิษเขียวกลับมองไปอีกมุมหนึ่ง เธอเดาว่า
“แล้วถ้าข้อมูลมันผิดพลาดตั้งแต่เริ่มต้นละ?
ไม่มีคริสตัลจิตวิญญาณในอัญมณีที่ขนส่งมาในครั้งนี้?”
“ไม่น่าเป็นไปได้
ยังคงมีความผันผวนของคริสตัลจิตวิญญาณหลงเหลืออยู่ในเหมืองอัญมณี
นอกจากพวกเราแล้ว กรมสอบสวนคดีพิเศษและวิหารเมฆขาว
ก็กำลังมองหาคริสตัลจิตวิญญาณเหมือนกัน ข่าวของพวกเขาน่าจะแม่นยำ”
อสรพิษเขียวเดินบิดเอวไปรอบ ๆ คิ้วของเธอขมวดเข้าหากันแน่น ตอนนี้เธอรู้สึกสับสนมาก
“กรมสอบสวนคดีพิเศษยังคงจับตาดูเราอย่างใกล้ชิด
แสดงว่าพวกเขายังไม่ได้คริสตัลจิตวิญญาณเช่นกัน
หรือว่าจะมีกองกำลังอื่นชิงคริสตัลจิตวิญญาณไปก่อนเรา”
ทั้งคู่ยังตกอยู่ในความมึนงง ผู้ฝึกหัดที่นอนอยู่ลุกขึ้นยืนตัวสั่นเทาและพูดว่า
“บางทีคริสตัลจิตวิญญาณอาจยังอยู่ในบ้านของกงลี่
ไม่แน่ว่าอัญมณีบนสร้อยคออาจเป็นหนึ่งในอัญมณีอื่นที่เธอซื้อไป?”
แม้ผู้ฝึกหัดจะถูกทุบตีอย่างรุนแรงและเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ
เขาก็ไม่กล้าต่อว่าเข็มโลหะ แต่กลับโยนความโกรธเกลียดไปที่กงลี่ น้าสะใภ้ของหนิงซีแทน
เขาคิดว่าทั้งหมดเป็นความผิดของกงลี่ที่ไม่ยอมมอบคริสตัลให้เขา
มีเพียงคนวิปริตที่มีจิตใจบิดเบี้ยวเท่านั้น
ที่จะถูกคัดเลือกโดยองค์กรของลัทธิแบบวิหารแห่งทวยเทพ
และเต็มใจกลายเป็นผู้ฝึกหัดขององค์กร
“ท่านทูตที่เคารพ ให้ข้าไปค้นบ้านของกงลี่เถิด ข้ามั่นใจว่าจะหามันพบ”
เมื่อฟังผู้ฝึกหัดพูด เข็มโลหะและอสรพิษเขียวต่างก็ส่ายหัวพร้อมกัน
เข็มโลหะเตือนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“เก็บตัวอยู่ที่นี่อีกสองสามวัน ห้ามออกไปไหน
แกคิดว่ากรมสอบสวนคดีพิเศษเป็นพวกที่เราจะเอาเปรียบได้หรือ?
ถ้าแกถูกจับได้และทำให้พวกเราเข้าไปพัวพันด้วย
ฉันจะทำให้แกเหมือนตกนรกทั้งเป็น!”
ผู้ฝึกหัดตัวสั่นงันงกไม่กล้าพูดอะไรอีก
เข็มโลหะถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ในเมื่อเป็นแบบนี้แล้ว เราคงได้แต่รอการมาถึงของฑูตสวรรค์เท่านั้น”
อสรพิษเขียวพยักหน้า
“ด้วยความสามารถของฑูตสวรรค์ เพียงแค่การโจมตีเดียว
ก็เพียงพอแล้วที่จะทำลายทุกสิ่ง
แต่คะแนนภารกิจของเราจะลดลงมาก จนทำให้การมาครั้งนี้สูญเปล่า”
ภายในโรงพยาบาลแห่งที่สอง
หลังจากหนิงซีเผชิญกับการจ้องมองของครอบครัว เขาก็ไม่ปฎิเสธตัวตนของเขา
“ใช่แล้วครับ ผมเป็นผู้ปลุกพลัง ไม่ต้องแปลกใจนะครับ
ผู้กองหวางบอกแล้วว่า
ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปประเทศจะประกาศเรื่องผู้ปลุกพลัง
เมื่อถึงเวลานั้นท้องถนนอาจเต็มไปด้วยผู้คนที่มีพลังวิเศษ”
“ไอ้เจ้าบ้า! ลูกพี่ลูกน้องคุณเจ๋งเกินไปแล้ว!
คุณมีความสามารถอะไร?
มันช่วยให้คุณบินไปบนท้องฟ้าได้เหมือนซูเปอร์แมนไหม”
หนิงซีส่ายหน้าให้กับความอยากรู้อยากเห็นชองลูกพี่ลูกน้องเขา หวังอูเว่ย
“ฉันเป็นเพียงผู้ปลุกพลังประเภทพละกำลังธรรมดาๆ
มีเพียงความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่บินไม่ได้”
หนิงซีไม่อยากตอบคำถามจากครอบครัวและญาติๆอีก
เขาจึงพยายามเปลี่ยนเรื่อง
“นี่ ผู้กองจูคนนี้สิ ผู้ปลุกพลังตัวจริง”
เฒ่าจูได้ยินหนิงซีเรียกเขาว่าผู้กองจูและเห็นทุกคนมองมาด้วยความเลื่อมใส
จูต้าหนิวก็รู้สึกสดชื่นมาก เขานั่งสั่นขาอยู่บนโซฟาอย่างพึงพอใจ
จูต้าหนิวเป็นคนจริงจัง เขาชอบแสดงความสามารถพิเศษต่อหน้าคนอื่น
การที่เขาต้องหลบซ่อนตัวตนในสถานะผู้ปลุกพลังในอดีต
ในขณะออกปฎิบัติหน้าที่ มันทำให้เขาอัดอั้นตันใจเป็นอย่างมาก
เขาจงใจทำหน้าขรึมและเสแสร้งแสดงท่าของผู้เชี่ยวชาญ
เขาเดินมาที่น้าสะใภ้ของหนิงซีและตะโกน
"รวบรวม!"
ทันใดนั้น ลูกบอลน้ำปรากฏขึ้นกลางอากาศ
รวมตัวอยู่เหนือน้าสะใภ้ของเขา
"ไป!"
ลูกบอลน้ำค่อยๆลอยลงมาผสานเข้ากับอกซ้ายของน้าสะใภ้
ส่องแสงสีฟ้าอ่อนออกมาจากหน้าอกข้างซ้าย
“คันจริงๆ!”
น้าสะใภ้เอื้อมมือไปเกาแผลอย่างอดไม่ได้
หนิงซีจับมือของน้าสะใภ้ไว้และพูดว่า
"น้าสะใภ้ครับ ผู้กองจูกำลังช่วยน้าสะใภ้รักษาบาดแผลอยู่ อดทนหน่อยนะครับ."
เมื่อเห็นการใช้พลังพิเศษด้วยตาตนเอง ญาติๆของหนิงซีต่างตะลึงงันและตกใจมาก
ลูกพี่ลูกน้องของเขา หวังอูเว่ย ยังเป็นวัยรุ่นในโรงเรียนปลายมัธยมปีแรก
จึงมีตื่นเต้นมากกว่าคนอื่น เขาเดินรอบจูต้าหนิงและตะโกนชื่นชมสารพัดอย่างเท่าที่นึกได้
หลังจากได้แสดงต่อหน้าทุกคน จูต้าหนิวก็มีความสุขมาก
แต่เขาพยายามแสร้งทำเป็นสงบสุดๆ
“มันเป็นผลการรักษาของความสามารถพิเศษประเภทวารี
ไม่ต้องตื่นเต้น บาดแผลได้หายระดับหนึ่งแล้ว
แม้ว่าเธอยังต้องพักฟื้น แต่สามารถออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว”
หนิงซีทึ่งกับความสามารถพิเศษที่เห็น
บาดแผลถูกแทงลึกเข้าไปถึงอวัยวะภายใน
กลับสามารถรักษาให้หายได้เพียงแค่ใช้พลังพิเศษอย่างเดียว
จูต้าหนิงไม่ได้รักษาน้าสะใภ้ของเขาเพียงแค่เพื่ออวดอย่างเดียว
เขาพูดต่อว่า
“ในโรงพยาบาล มีผู้คนเข้าออกตลอดเวลา เป็นที่ที่มีความปลอดภัยต่ำ
ไม่จะควรอยู่นานเกินไป
มันจะปลอดภัยกว่าถ้าไปรักษาตัวต่อที่บ้าน
มันจะช่วยให้ฉันปกป้องคุณได้ดีขึ้น”
เขาชี้ไปที่หนิงซีและพูดว่า
“ให้หลานชายมาอยู่ดูแลคุณด้วย
เขาเป็นผู้ปลุกพลังคนหนึ่งที่มีความสามารถพิเศษเหมือนกัน
มีเพิ่มอีกหนึ่งคนหมายถึงมีเพิ่มอีกอีกหนึ่งพลัง”
น้าชายของเขา หวังจือกั๋ว ตระหนักว่ากำลังอยู่ในสถานการณ์ที่อันตราย
เขาไม่ต้องการให้หนิงซีเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เขาถามว่า
“ผู้กองจู เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะต้องปกป้องประชาชน
แต่หนิงซีไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐ เขามีงานและมีชีวิตของเขาเอง
เขาคงอยู่กับเราตลอดเวลาไม่ได้”
จูต้าหนิวไม่นึกว่า น้ำหนักของหนิงซีในใจของหวังจือกั๋วจะมากขนาดนี้
เขานิ่งงันไปพักใหญ่ๆกับคำถาม
แต่ในทางกลับกัน หนิงซีรู้อยู่แล้วว่ากรมสอบสวนคดีพิเศษสงสัยว่า
เขามีส่วนเกี่ยวข้องกับของคริสตัลจิตวิญญาณที่หายไป
ถึงอย่างไร หนิงซีเป็นผู้ปลุกพลังเพียงหนึ่งเดียวในบรรดาญาติของน้าและน้าสะใภ้
ดังนั้นจึงมีเขาแค่คนเดียวที่จะได้ประโยชน์จากคริสตัลจิตวิญญาณ
ตัวหนิงซีเองก็อยากดูแลความปลอดภัยของน้าชายและน้าสะใภ้ด้วยเหมือนกัน
ยิ่งกว่านั้น เขายังอยากได้คริสตัลจิตวิญญาณระดับ A
ไปอัปเดตและอัปเกรดระบบเกม
ส่วนอันตรายที่มีอยู่ เขามั่นใจว่าเขาแข็งแกร่งกว่าจูต้าหนิวมาก
หนิงซีบอกว่า
"น้าครับ ผมไม่ได้ไปบ้านน้านานแล้ว ให้ผมไปอยู่ด้วยสักพักนะครับ”
หลังจากพูดจบ
เขามองไปที่พ่อแม่และตายายของเขาและพูดว่า
“ถ้าคุณตาคุณยายกับคุณพ่อคุณแม่ก็ไปอยู่ด้วยกันจะดีมากเลย
อยู่ด้วยกันหลายคนมันสนุกดีนะครับ”
ในขณะที่น้าชายของเขายังคงลังเล คำพูดต่อมาของหนิงซีก็แสดงออกถึงความแน่วแน่
“ถ้าเราอยู่ด้วยกัน เราจะช่วยดูแลกันได้
แต่ถ้าเราแยกกัน มันจะยิ่งอันตรายมากขึ้น
ใครจะไปรู้ว่าวิหารแห่งทวยเทพจะลงมือต่อคนอื่นรอบๆตัวเราหรือไม่”
“ใช่เลย ใช่เลย คุณพูดถูก!”
ในที่สุดจูต้าหนิวก็ได้สติ
“วิหารแห่งทวยเทพจะทำทุกวิถีทาง
ถ้าพวกคุณอยู่ด้วยกัน ฉันจะปกป้องได้ง่ายขึ้น”
น้าของเขาตกลงอย่างไม่เต็มใจและดำเนินการขอออกจากโรงพยาบาล
หนิงซีกำลังจะพูดกับแม่ของเขา เสียงโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น
ฮ่าวเหมิงโทรมา!
หนิงซีรีบรับโทรศัพท์ ฮ่าวเหมิงขอโทษขอโพยมาตามสาย
“ฉันขอโทษนะ พี่สือโถว หลังจากที่เราแยกกันครั้งที่แล้ว
ฉันก็ยุ่งอยู่กับเรื่องสำคัญ ทำให้ต้องปิดโทรศัพท์บ่อย
เลยทำให้ฉันไม่ได้รับสายของคุณ ฉันเสียใจจริงๆ."
“เหมิงเหมิง ไม่มีอะไรด่วนหรอก เธอไม่ต้องขอโทษก็ได้ เธอทำงานเสร็จหรือยัง”
“ใช่ ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น หลังจากจัดการกับเรื่องเล็กน้อยบางเรื่อง
ฉันก็จะว่างแล้ว คุณโทรหาฉันเรื่องอะไรเหรอ”
หนิงซีชำเลืองมองจูต้าหนิวที่นั่งอยู่บนโซฟา
เขาเดินออกจากวอร์ด จากนั้นหลบออกจากทางเดินพลางกระซิบ
“มีอยู่ครั้งตอนที่ฉันไปหาอะไรกินข้างนอก
ฉันบังเอิญเจอคนจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ
และแอบได้ยินว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
ฉันอยากถามว่ามีสถานการณ์อะไรพิเศษหรือเปล่า
แต่ถ้าคุณไม่สะดวกไม่เป็นไร”
“ไม่มีอะไรหรอก การเปลี่ยนแปลงจะประกาศในวันพรุ่งนี้”
“ประเทศของเราประสบความสำเร็จ
ในการพัฒนายาที่สามารถช่วยให้เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี
ปลุกความสามารถพิเศษได้ ยานี้มีชื่อว่า 'ยาปลุกพลัง'
หลังจากกินยา เด็กประมาณ 20% จะปลุกความสามารถพิเศษได้”
“ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป รัฐบาลจะประกาศถึงการมีอยู่ของผู้ปลุกพลัง
พวกเขาจะใช้โรงเรียนเป็นหน่วยย่อยในการจัดการให้เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีได้กินยาปลุกพลัง”
เซรี่ยเอ้ย นี่ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงแล้ว
มันเป็นการสร้างยุคสมัยใหม่!
หากเด็ก 20% ปลุกความสามารถได้
ลองจินตนาการดูว่าจะมีผู้ปลุกพลังกี่คนในราชอาณาจักรอวิ๋นเหมิงในอนาคต?
นี่มันเหนือจินตนาการไปแล้ว
แล้วรัฐบาลจะจัดการกับผู้ปลุกพลังจำนวนมากได้อย่างไร?
รัฐบาลจะจัดการความสมดุลระหว่างของคนธรรมดาและผู้ปลุกพลังได้อย่างไร?
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่มาก
รัฐบาลต้องใช้ความกล้าหาญและการตัดสินใจที่เด็ดเดี่ยวมาก
“ทำไมต้องเป็นวัยรุ่นอายุต่ำกว่า 18 ปี”
“ยิ่งอายุมาก ยาปลุกพลังยิ่งมีประสิทธิภาพน้อยลง
และความน่าจะเป็นที่จะปลุกความสามารถพิเศษก็จะยิ่งน้อยลงด้วย”
โครงการแห่งชาติคือให้ยาปลุกพลังแก่วัยรุ่นอายุต่ำกว่า 18 ปีฟรี
“สำหรับผู้ที่อายุมากกว่า
หากต้องการใช้ยาปลุกพลัง ก็สามารถหาซื้อได้ในตลาด
ในราคา 500,000 หยวน”
“ผู้ปลุกพลังต้องใช้คริสตัลจิตวิญญาณในการบ่มเพาะ
ต่อไปประเทศจะเปิดตลาดสำหรับคริสตัลเหล่านี้
ราคาของคริสตัลจิตวิญญาณระดับ E ที่เป็นขั้นพื้นฐานที่สุดคือ 500,000 หยวน”