14.น้าสะใภ้ของหนิงซีถูกทำร้าย
ในตลอดยี่สิบวันต่อมา
หนิงซีออกล่าสัตว์อสูรเวทย์ระดับกลางทุกชนิดในที่ราบสูงรกร้างตอนเหนือ
จนระดับนักรบสายเลือดเลื่อนเป็นระดับ 9 (1,000/640,000)
หนิงซียังใช้แต้มทักษะอีกสองแต้มเลื่อนระดับของทักษะดาบขั้นพื้นฐานขึ้นอีกสองระดับ
จนถึงระดับ 8 ทำให้เรียนรู้เจตนาดาบขั้นต้นเพิ่มขึ้นมาอีกอย่าง
แต้มศักยภาพสะสมได้ 2 แต้ม แต่การเลื่อนระดับสายเลือดต้องใช้ 3 แต้ม
จึงยังขาดอีกหนึ่งแต้ม
ค่าสถานะของหนิงซีปัจจุบันคือ :
อวตาร : หนิงซี
กายภาพ : 35 (50)
พลังวิญญาณ : 16 (30)
ภาพลักษณ์ : 8 (หนุ่มหล่อ)
พื้นฐานครอบครัว : 5 (ปกติ)
สายเลือด : สายเลือดมังกรคลั่งอสนีบาต (ระดับ 3 / ศักยภาพ 10 ดาว)
อาชีพ : นักล่าระดับ 10 (สูงสุด) / นักรบสายเลือดระดับ 9 (1,000/640,000)
ทักษะ: ยิงธนูระดับ 3, สร้างกับดักระดับ 1, การวิ่งในป่าระดับ 1,
ก้าวย่างเมฆา ระดับ 3, ปาจีเฉวียน ระดับ 4, ทักษะดาบพื้นฐานระดับ 8
ความสามารถพิเศษ: การเรียนรู้ (สีน้ำเงิน), โหดร้าย (สีม่วง), การฟื้นฟู (สีม่วง),
อาณาเขตสายฟ้า (สีม่วง), อำนาจแห่งมังกร (สีน้ำเงิน), ร่างมังกร (สีน้ำเงิน)
ความสำเร็จ : ไม่มี
ตอนนี้ความเร็วในการเลื่อนระดับเริ่มช้าลงเรื่อย ๆ
รวมทั้งความแข็งแกร่งของหนิงซีก็เข้าสู่ช่วงหยุดชะงักชั่วคราว
หนิงซีอยากไปช่วยลีนาที่โรสซิตี้
แต่เขาหนักใจตรงที่ไม่รู้ว่าระดับของความแข็งแกร่งในการต่อสู้ของเขาอยู่ในระดับใด
แล้วก็ไม่รู้ว่าเขาจะช่วยได้มากแค่ไหน แต่ยังดีที่ตอนนี้ลีนายังไม่มีอันตรายใดๆ
มันจะดีมาก ถ้าเขาหาคริสตัลจิตวิญญาณระดับ A หรือแกนเวทมนตร์ขั้นสูง
มาอัปเดตระบบเกมเพื่อจะได้รับเทคนิคมองทะลุ
การต่อสู้อันยาวนานทำให้หนิงซีเหนื่อยล้า
เขาเริ่มใช้โหมดแฮ็กระบบช่วยล่าสัตว์อสูรเวทย์บ่อยขึ้นเรื่อยๆ
วันที่ 19 กรกฎาคม ครบรอบหนึ่งเดือนที่หนิงซีดาวน์โหลดเกมพอดี
ตลอดทั้งเดือนที่ผ่านมา เขาออกไปนอกบ้านแค่ตอนกลางคืนเท่านั้น
เป็นเวลามากนานแล้วที่เขาไม่เห็นดวงอาทิตย์ในโลกจริง
วันนี้เป็นวันที่อากาศสดใส หนิงซีสวมเสื้อทีเชิร์ตลำลอง เตรียมจะออกไปเดินเล่นริมแม่น้ำ
เขาอาบไล้แสงแดด เพลิดเพลินไปกับสายลม เพื่อผ่อนคลายอารมณ์และดื่มด่ำกับชีวิตที่สวยงาม
แต่น่าเสียดายที่สิ่งต่างๆไม่เป็นไปตามที่หวัง
ทันทีที่หนิงซีไปถึงริมแม่น้ำ แม่ของเขาก็โทรตามพอดี
“ซีน้อย วันนี้ลูกไม่ได้ไปทำงานใช่ไหม
รีบมาที่โรงพยาบาลลำดับสองด่วน
น้าสะใภ้ของลูกถูกคนร้ายแทงได้รับบาดเจ็บ ตอนนี้นอนอยู่โรงพยาบาล”
หนิงซีตกใจจนพูดไม่ออก น้าสะใภ้ของเขาเป็นพุทธศาสนิกชนที่เคร่งครัด
เธอไม่ต่อสู้ช่วงชิงหรือรุกรานใครเลย เธอถูกแทงได้อย่างไร?
“ได้ครับแม่ ผมจะรีบไปเดี๋ยวนี้เลย น้าสะใภ้ไม่ได้บาดเจ็บสาหัสใช่ไหมครับ?
แม่พอจะรู้ไหมครับว่าเกิดอะไรขึ้น? น้าสะใภ้เจอเรื่องแบบนี้ได้ยังไง”
“อืมม์ น้าสะใภ้เขาไม่ได้รับบาดเจ็บมาก ตอนนี้ปลอดภัยแล้ว
แม่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น น้าชายของลูกยังไม่ได้บอกอะไร
เดี๋ยวลูกแวะเข้ามาก่อน. น้าสะใภ้อยู่ชั้น 22 อาคาร 3 ”
หนิงซีไม่ค่อยสนิทกับน้าชายมากนัก เนื่องจากน้าชายของเขาเป็นคนเข้มงวดมาก หนิงซีจึงสนิทกับน้าสะใภ้มากกว่า
เมื่อถึงโรงพยาบาล หนิงซีแวะซื้อผลไม้ใกล้โรงพยาบาล ก่อนจะตรงไปที่อาคาร 3
ขณะเดินเข้าลิฟต์ หนิงซีบังเอิญเจอคนคุ้นหน้า
ผู้กองหวางและเฒ่าจู จากกรมสอบสวนคดีพิเศษ
ผู้คนต่างเบียดเสียดกันอยู่ในลิฟต์เงีบยๆ
หนิงซีไม่คุ้นเคยกับสองคนนี้ จึงแสร้งทำเป็นไม่รู้จัก
ลิฟต์มาหยุดที่ชั้น22
หนิงซีแทรกตัวฝ่าฝูงชนออกจากลิฟต์พร้อมกับผู้กองหวางและเฒ่าจู
“มันบังเอิญเกินไปหรือเปล่า การที่น้าสะใภ้ถูกแทง มันดูเหมือนไม่น่าจะเกี่ยวกรมสอบสวนคดีพิเศษนี่”
หนิงซีพึมพำอยู่ในใจ เมื่อมาถึงทางเดิน
เขาก็เห็นพ่อกับแม่พร้อมกับคุณตา คุณยายพร้อมน้าเล็กยืนคอยอยู่แต่ไกลแล้ว
พวกเขายืนสนทนาอยู่ริมทางเดินด้วยสีหน้าเป็นกังวล
หนิงซีรีบเดินเข้าไปทักทายผู้อาวุโสทีละคน
ยายจับมือของเขาไว้แน่น
“หลานรัก ตอนนี้น้าสะใภ้เขาพักผ่อนอยู่ เข้าไปทักทายสักสองสามคำแล้วค่อยออกมานะ”
หนิงซีพยักหน้ารับทราบ หอบหิ้วผลไม้เข้าไปในวอร์ด
น้าชายมีกิจการที่ใหญ่โตและทำเงินได้ไม่น้อย
ห้องพักของน้าสะใภ้จึงเป็นห้องเดี่ยวหรูหราพร้อมโซฟาและโต๊ะกาแฟ มีกระทั่งโทรทัศน์ติดบนผนัง
น้าชายของเขา หวังจือกั๋วและลูกพี่ลูกน้องของเขา หวังอูเว่ย นั่งอยู่บนโซฟา พูดคุยกันเบาๆ
น้าสะใภ้นอนหลับตาหน้าตาซีดเซียวอยู่บนเตียงของโรงพยาบาล
มีสายน้ำเกลือเสียบคาอยู่ที่ข้อมือ ไม่รู้ว่าแค่พักสายตาหรือหลับอยู่จริงๆ
น้าชายของเขาลุกขึ้นทักทาย เมื่อเห็นหนิงซีเดินเข้ามา
“ซีน้อย มานั่งนี่ มา คราวหลังไม่ต้องลำบากซื้ออะไรมาฝากนะ”
“คุณน้าครับ น้าสะใภ้เป็นไงบ้าง? เกิดอะไรขึ้นครับ?”
หนิงซีวางผลไม้ในมือลง แทนที่จะนั่ง เขากลับรีบถามน้าชายเกี่ยวกับอาการของน้าสะใภ้
น้ากำลังจะอ้าปากตอบ แต่เสียงของหนิงซี
ทำให้น้าสะใภ้ลืมตาขึ้นและร้องเรียกเบาๆ ว่า
“ซีน้อย หลานมาแล้วหรือ ไม่ต้องห่วงนะ น้าสบายดี.
น้าชายของเธอกังวลมากเกินไป แล้ววันนี้หลานไม่ทำงานหรือ?”
หนิงซีเดินมาหยุดอยู่หน้าเตียง ขณะที่เขากำลังจะพูด ก็มีคนอีกสองคนเข้ามาในห้อง
พวกเขาคือผู้กองหวางและเฒ่าจู ซึ่งเพิ่งเจอกันในในลิฟต์เมื่อสักครู่
ทั้งคู่จำหนิงซีได้ แต่ไม่ได้ทักทายด้วย
ผู้กองหวางหยิบบัตรประจำตัวออกมายื่นให้น้าชายเขาดู
“สวัสดี พวกเรารับผิดชอบในการสอบสวนคดีที่ภรรยาของคุณถูกทำร้าย
ขอทราบรายละเอียดของคดีด้วย”
น้าชายดูเอกสารและยืนยันว่าทั้งสองไม่ได้แอบอ้าง เขากล่าวว่า
“ผมอยู่ข้างเธอ ตอนที่เธอถูกทำร้าย ผมเป็นพยานและบอกรายละเอียดทั้งหมดได้ครับ”
“ภรรยาของผมเพิ่งผ่าตัดเสร็จ เธอต้องการพักผ่อน เราออกไปคุยกันข้างนอกกันเถอะ”
พวกเขาเดินเข้าไปในห้องปรึกษาอาการที่ว่างอยู่
เมื่อคนอื่นเห็นว่ามีตำรวจมาสืบสวนคดีนี้
ผู้อาวุโสและลูกพี่ลูกน้องของเขา หวังอูเว่ยก็ตามเข้ามาด้วย
เหลือเพียงน้าเล็กอยู่ดูแลน้าสะใภ้ในวอร์ด
น้าชายยื่นบุหรี่ให้ผู้กองหวางและเฒ่าจูตามความเคยชิน
แต่พอเหลือบเห็นป้ายห้ามสูบบุหรี่บนผนัง เขาก็หดมือที่ถือบุหรี่กลับแล้วพูดว่า
“เมื่อเช้านี้ ผมกับภรรยากำลังเดินเล่นอยู่แถวบ้าน ก็มีชายชุดดำสวมหน้ากากวิ่งออกมาจากหลังต้นไม้ใหญ่”
“เขาเร็วเหมือนใช่คน จากนั้นเขาก็ยกมีดแทงหน้าอกภรรยาผม
แต่ก่อนที่ผมจะทันได้ตะโกนร้องขอความช่วยเหลือ เขาก็หายไปแล้ว
โชคดีที่หัวใจของภรรยาผมอยู่ในตำแหน่งที่แตกต่างจากคนทั่วไป
ไม่งั้นเธอคงจะตายไปแล้ว”
มือของน้าสั่นระริก เห็นได้ชัดว่าเขายังกลัวไม่หายเมื่อนึกถึงมัน
สีหน้าของผู้กองหวางยังคงเคร่งขรึม
แม้แผลเป็นบนใบหน้าของเขาจะดูน่ากลัว แต่ทำให้เขาดูสมกับเป็นนักสืบ
"คุณหวังลองคิดให้ละเอียดสิ ว่าที่หน้ากากของคนร้ายมีอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า”
น้าชายส่ายศีรษะ
“ตอนนั้นมันเกิดขึ้นเร็วมาก ผมมองไม่ทัน
ชั่วแวบที่เห็นมันคล้ายกับลวดลายดวงดาวแปลกๆ”
เมื่อได้ยินว่ามีลวดลายดาวบนหน้ากาก
ผู้กองหวางและเฒ่าจูก็สบตากันเหมือนกับได้รับการยืนยันข้อมูลบางอย่าง
เฒ่าจูจึงพูดออกมาว่า
“คุณหวัง ฉันคิดว่าคุณคงมีข้อสงสัยในใจใช่ไหมว่า
ทำไมผู้ร้ายจึงมีความเร็วขนาดนั้น มันเร็วเกินขีดจำกัดของมนุษย์ด้วบซ้ำ”
น้าของหนิงซีจ้องมองเฒ่าจูอย่างกระวนกระวายใจ เฒ่าซูเน้นเสียงทีละคำ
“เขาไม่ใช่คนธรรมดา เขาเป็นผู้ปลุกพลัง
มีความสามารถพิเศษเหนือธรรมชาติ!”
ทันทีที่พูดจบ ท่าทางของน้าชายก็เป็นอย่างที่เฒ่าจูคาดไว้
แต่ตาและยายของเขา พ่อแม่ของเขา น้าของเขา
รวมทั้งลูกพี่ลูกน้องของเขา หวังอูเว่ย ต่างมีสีหน้าไม่เชื่อ
ผู้กองหวางพูดต่อไปว่า
“ตามกฎแล้ว เราไม่ควรบอกเรื่องนี้กับคุณ แต่ครั้งนี้ที่เราบอกความจริงกับคุณ
ก็เพราะว่าทางประเทศจะประกาศเรื่องผู้ปลุกพลังออกสู่สาธารณะ ในวันพรุ่งนี้”
“ประการที่สอง คนที่โจมตีคุณกงครั้งนี้
เป็นผู้ปลุกพลังจากวิหารแห่งทวยเทพ
วิหารแห่งทวยเทพเป็นองค์กรของลัทธิจากต่างประเทศ
วิธีการขององค์กรนี้โหดร้ายและจะไม่หยุดจนกว่าจะบรรลุเป้าหมาย
มีโอกาสสูงที่พวกเขาออกตามหาคุณอีกครั้ง”
“หน้ากากที่คณเห็นมันเต็มไปด้วยดวงดาว
นั่นคือหน้ากากแห่งดวงดาว
มันเป็นอุปกรณ์ที่เป็นเอกลักษณ์ของวิหารแห่งทวยเทพ”
เมื่อได้ฟังเช่นนี้ น้าชายถึงกับหน้าซีดด้วยความกลัว
แต่เขาเป็นคนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก ทำให้เขาบังคับตัวเองให้สงบลงได้
เขาถามอย่างช้าๆว่า
“วิหารแห่งทวยเทพมีจุดประสงค์อะไรกันแน่?
ผมและภรรยาอยู่ในกรอบของกฎหมายมาตลอดและพยายามช่วยเหลือผู้อื่นอยู่เสมอ
เราจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับองค์กรชั่วร้ายแบบนี้ได้อย่างไร”
“อัญมณี!”
แผลเป็นบนหน้าผู้กองหวางสั่นสะท้าน
“ภรรยาของคุณซื้ออัญมณีเมื่อเดือนก่อน
อัญมณีนั้นเป็นสมบัติที่จำเป็นต่อผู้ปลุกพลัง
มันคือคริสตัลจิตวิญญาณระดับ A!”
“วิหารแห่งทวยเทพมุ่งเป้าไปที่ภรรยาของคุณ
เพราะต้องการเอาคริสตัลจิตวิญญาณไป
การฆ่าคนเป็นแค่ทำให้เรื่องมันง่ายขึ้นเท่านั้น”
ในที่สุดผู้กองหวางก็บอกเจตนาสุดท้ายออกมา
“มอบคริสตัลจิตวิญญาณระดับ A ให้กับเรา เราจะประกาศสู่สาธารณะ
ว่ากรมสืบสวนคดีพิเศษได้รับคริสตัลจิตวิญญาณแล้ว
ด้วยวิธีนี้วิหารแห่งทวยเทพจะเลิกสนใจคุณไปเอง”
เฒ่าจูกล่าวเพิ่มว่า
“เพื่อความปลอดภัยของคุณ หลังจากที่เราได้รับคริสตัลจิตวิญญาณ
เราจะส่งคนมาปกป้องคุณระยะหนึ่ง
นอกจากนี้เราจะชดเชยให้คุณสามเท่าของมูลค่าอัญมณีที่ภรรยาของคุณจ่ายไป”
ดูเหมือนว่าการมอบคริสตัลจิตวิญญาณให้กับกรมสืบสวนคดีพิเศษจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
อย่างไรก็ตาม น้าของเขามีสีหน้าปั้นยากในขณะที่พูดช้าๆ
“มันหายไปแล้ว!”
ผู้กองหวางรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติไป
“เกิดอะไรขึ้น”
“อัญมณีที่ภรรยาผมซื้อมา ที่เรียกว่าคริสตัลจิตวิญญาณระดับ A หายไปแล้ว”
“หลังจากที่เธอซื้ออัญมณีเม็ดนี้มา เธอชอบมันมาก
เธอนำมาทำเป็นสร้อยคอและสวมไว้ที่คอตลอดเวลา
หลังจากถูกทำร้ายเมื่อเช้า สร้อยคอก็หายไป มันน่าจะถูกชายชุดดำเอาไป”
หนิงซีรู้ดีว่าน้าของเขาไม่ใช่คนโล�
น้าของเขาจะไม่ยอมโกหกแน่นอน ถ้ามันเกี่ยวข้องกับชีวิตของคนในครอบครัว
ดังนั้นคริสตัลจิตวิญญาณน่าจะหายไปจริงๆ
แต่ผู้กองหวางและเฒ่าจูไม่คิดเช่นนั้น
"คุณหวังลองคิดดูให้ดี คริสตัลจิตวิญญาณระดับ A ไม่มีประโยชน์สำหรับคุณ
อย่าให้ความโลภบังตา มันจะทำให้ครอบครัวของคุณตกอยูในอันตราย”
เมื่อเห็นว่าเขาตกเป็นผู้ต้องสงสัย น้าของเขาจึงพูดอย่างใจเย็นว่า
“ฉันมีบริษัทสามแห่ง ทรัพย์สินของฉันมีเป็นพันล้าน
ฉันไม่สนใจคริสตัลจิตวิญญาณอะไรที่คุณพูดถึง สร้อยคอถูกขโมยไปแล้ว
ถ้าคุณไม่เชื่อ ลองดูที่คอภรรยาผมสิ มันมีบาดแผลที่เกิดจากการถูกกระชากสร้อยคอ”
เมื่อได้ยินคำพูดของน้าชายเขา ผู้กองหวางและเฒ่าจูก็เดินกลับไปตรวจดูคอของน้าสะใภ้ที่วอร์ด
มันมีรอยถูกรัดสีม่วงคล้ำอยู่รอบคอ
แสดงว่าคริสตัลจิตวิญญาณไม่ได้อยู่ที่นี่?
ผู้กองหวางยืนขึ้นและพูดว่า
“คุณหวัง ตามข้อมูลที่เราได้รับมา
คริสตัลจิตวิญญาณระดับ A ยังไม่ได้ตกอยู่ในมือของวิหารแห่งทวยเทพ
พวกเขาน่าจะกลับมาหาคุณอีกครั้ง”
เขาชี้ไปที่เฒ่าจูและพูดว่า
"นี่คือเพื่อนร่วมงานของฉัน จูต้าหนิว
เขาเป็นผู้ปลุกพลังระดับ 4 ที่ทรงพลัง
ต่อจากนี้ไปเขาจะคอยปกป้องพวกคุณทุกคน”
หนิงซีหันไปมองข้างๆอย่างเย็นชา
ดูเหมือนว่ากรมสืบสวนคดีพิเศษยังคงสงสัยเกี่ยวน้าของเขาอยู่
เหอะ อ้างว่าป้องกัน แต่จริงๆ เป็นการจับตาดู
ผู้กองหวางกระซิบให้คำแนะนำบางอย่างกับจูต้าหนิว จากนั้นเขาก็หันหลังเดินจากไป
น้าของเขารู้ว่าจูต้าหนิงถูกส่งมาจับตาดูครอบครัวของเขา
แต่เขาก็ไม่สนใจ ในช่วงเวลาเช่นนี้
การถูกควบคุมนับเป็นสิ่งที่ดี มันสามารถรับประกันความปลอดภัยของเขาได้
หลังจากที่ผู้กองหวางจากไปแล้ว น้าอีกคนของเขาก็อดที่จะพูดไม่ได้ว่า
“ เฒ่าหวัง คุณเชื่อในพลังเหนือธรรมชาติหรือ?
ฉันว่าสองคนนี้เป็นนักต้มตุ๋นอยากหลอกลวงเอาอัญมณีและเงินของเรามากกว่า”
แม่ของเขา หวังหยาน ก็เห็นด้วยว่า
“ใช่แล้ว น้องชาย น้องควรระวังมากกว่านี้ ทุกวันนี้มีการหลอกลวงมากขึ้นเรื่อย ๆ มันยากที่จะป้องกันได้”
ตาและยายของเขาก็มีสีหน้าไม่เชื่อเช่นกัน
น้าของเขาทำอะไรไม่ถูกและไม่รู้จะอธิบายอย่างไร
ถ้าเขาไม่เคยเห็นชายชุดดำกระโดดได้ไกลถึงเจ็ดถึงแปดเมตรด้วยตาตัวเอง
เขาก็คงไม่เชื่อในพลังเหนือธรรมชาติเช่นกัน
เมื่อเฒ่าจูรู้ว่าถูกสงสัยว่าจะเป็นนักต้มตุ๋น จูต้าหนิวก็ยิ้มและชี้ไปที่หนิงซี
“ในครอบครัวคุณก็มีผู้ปลุกพลังเหมือนกัน
คุณลองถามเขาดูสิ”
เมื่อมองตามนิ้วของจูต้าหนิวไป ทุกคนเห็นหนิงซี
หนิงซี: “…”