บทที่ 19: การต่อสู้นองเลือดและความอัปยศอดสู
กูลที่โดนกระสุนเจาะทะลุหัวกรีดร้องดังลั่นลงไปดิ้นพราด ๆ กับพื้นทันที จากนั้นมันก็ชักกระตุกไม่หยุดอยู่แบบนั้น
ถังเจิ้นที่เห็นสภาพของมันก็รู้สึกสะใจมาก ๆ เพราะกระสุนปืนพกยังสามารถเจาะทะลุร่างของมอนสเตอร์เลเวล 2 ได้นั่นเอง
เรื่องนี้ทำให้เขาสบายใจขึ้นเยอะ
แล้วในตอนนี้เขาก็มีความคิดมากมายแวบเข้ามาในหัว ว่าถ้าจะมีวิธีไหนมั้ยที่จะสามารถหาอาวุธปืนจำนวนมากเอามารุมยิงถล่มใส่ฝูงมอนสเตอร์เลเวล 2 เพื่อฟาร์มลูกปัดสมองของพวกมัน แล้วถ้ามีล่ะต้องใช้เงินเท่าไหร่?
คิดไปพลางลั่นไกไปอีกนัดอย่างไม่ลังเล
แต่ก็น่าเสียดายที่คราวนี้ยิงโดนหน้าอกมันทำให้มันไม่ตาย ซึ่งไอ้กูลตัวที่โดนยิงอกก็แสดงท่าทีเกรี้ยวกราดกดดันออกมาอย่างสุดขีดและเร่งความเร็วการเคลื่อนที่มากกว่าเดิมอีกเล็กน้อย
เมื่อเห็นว่ามอนสเตอร์มันรีบร้อนพุ่งเข้ามาล้ำหน้าตัวอื่น ๆ เฉียนหลงปล่อยสายธนูทำให้ลูกดอกเจาะเข้าหัวของมันจัง ๆ ตายสนิท
ความเร็วในจู่โจมของพวกกูลนั้นเร็วมาก หลังจากที่พวกมันตายไปสองตัวไอ้พวกที่เหลือทั้งหมดก็เข้าปะทะกับคนทั้งสามอย่างพอดิบพอดี!
“ไอ้ห่าเอ๊ย! อยากตายมากมึงก็เข้ามา!”
ถังเจิ้นสบถก่นด่าด้วยความโกรธเก็บปืนลงอย่างรวดเร็วแล้วตวัดดาบฟันใส่ไอ้ตัวที่ฉีกปากยื่นเข้ามาใกล้ที่สุดด้วยแววตาอันบ้าคลั่ง
เขาเงื้อดาบฟาดใส่มันอย่างเต็มแรงไปฉับหนึ่งทำให้ร่างของมันขาดครึ่งซ้ายขวา
เลือดเหม็นชวนอ้วกยิ่งกว่าสาดกระเซ็นมาโดนเนื้อหนังของเขาทำให้รู้สึกแสบร้อนระคายเคืองและอึดอัดมาก
เลือดมันจะมีพิษไม่มีพิษตอนนี้ไม่มีเวลามาคิดแล้ว เพราะสถานการณ์ตรงหน้าไม่ใช่สถานการณ์ที่จะเสียสมาธิได้เด็ดขาด ไอ้เรื่องพวกนั้นเอาไว้รอดไปได้ก่อนค่อยว่ากัน
หลังจากฆ่ามอนสเตอร์ไปตัวหนึ่งถังเจิ้นยังไม่ทันจะชักดาบกลับไปตั้งท่าก็โดนอุ้งเท้าของอีกตัวตะปบกเข้ากลางหลัง ปฏิกิริยาแรกของร่างกายคือสะดุ้งตกใจ ต่อมาทัศนวิสัยก็กลายเป็นมืดลงพร้อมกับร่างที่บินออกไปประกอบด้วยรสหวานผสมกลิ่นคาวของเลือดตนเองที่พุ่งออกจากปาก
“ตุ้บ!”
ร่างของถังเจิ้นกระแทกกับพื้นอย่างแรงโดยมีเลือดพุ่งออกจากปากคำหนึ่ง
“ย้ากกกกกกกกกก ต้าสยงจะฆ่าแกกกกกกกก...!”
เสียงคำรามที่ซื่อ ๆ ตรงไปตรงมาผสมกับความโกรธดังขึ้น แต่เป็นของต้าสยงที่เมื่อเห็นถังเจิ้นบาดเจ็บก็ระเบิดอารมณ์ขึ้นมาทันที
ดวงตาที่เบิกกว้างของเขาถลึงกว้าวเพราะความโกรธจัดมือไม้กวัดแกว่งฟาดโล่และกระบองยักษ์อย่างรุนแรงทุบไอ้พวกกูลจนเละเป็นเศษเนื้อ
เจ้าหมอนี่มันทรงพลังสมกับรูปลักษณ์อันน่าสยองจริง ๆ เวลาลงมือครั้งนี้ดูเหมือนเครื่องบดเนื้อที่เดินได้ เมื่อกระโจนเข้าใส่ฝูงพวกกูลเลเวล 2 ก็ยังคงดูไม่ต่างจากเสือกระโจนเข้าเล้าไก่ จัดการทุบตีขยี้ชนจนพวกมันกรีดร้องเสียงหลง บางตัวโดนฟาดกระเด็นไปไกล บางตัวถูกชนจนตัวแตกไปเลยก็มี
เสียงเนื้อบดปลิวว่อนตกพื้นรวมกับเสียงคำรามดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า!
ต้าสยงที่โดนพวกมันกัดนั้นกลับไม่เป็นอะไรเลย ไม่รู้ทำไมไอ้เนื้อขาว ๆ ท่าทางนุ่มนิ่มนี่มันถึงได้แข็งนัก
กูลที่เข้าถึงตัวเขาได้ก็ถูกกระบองหวดเข้าให้
กระนั้นวิธีการต่อสู้ของต้าสยงก็ยังคงมีข้อบกพร่อง เพราะหมอนี่อาละวาดไม่สนอะไรเลยอย่างกับคนบ้า ขนาดเฉียนหลงที่อยู่ใกล้ ๆ ยังเกือบโดนกระบองฟาดเอาหลังจากตัดหัวกูลได้ตัวหนึ่งจนต้องหอบแฮก ๆ ออกไปสู้กับพวกตัวที่อยู่นอกวงแทน
แม้ว่าถังเจิ้นนั้นยังมึน ๆ จากแรงกระแทก แต่ก็ยังพอจะเห็นการแสดงของต้าสยงอยู่และแอบปรบมือให้อีกฝ่ายในใจ ขณะเดียวกันเขาก็หยิบปืนออกมาลั่นไกใส่ไอ้กูลตัวที่อยู่เดี่ยว ๆ
เสียงกรีดร้อง เสียงต่อสู้ และเลือดเนื้อที่ปลิวว่อน ฉากแบบนี้ที่จะอยู่หรือตายตัดสินกันในพริบตาเดียวทำให้เลือดในกายของถังเจิ้นเกิดเดือดพล่านขึ้นมา
การต่อสู้เริ่มต้นอย่างกะทันหันและจบลงอย่างรวดเร็ว
ยามที่กูลตัวสุดท้ายตกตายตอนนี้ทั้งสามต่างโชกไปด้วยเลือดเหม็น ๆ ขนาดต้าสยงที่หนังหนาซะปานนั้นยังโดนเลือดของพวกมันกัดจนได้แผล
ตอนนี้คนทั้งสามม่อยกระรอกจริง ๆ ไม่เหลือแรงที่จะไปแงะลูกปัดสมองอย่างกระตือรือร้นเหมือนที่เคยทำมาก่อน
ไม่ไกลจากถังเจิ้นเฉียนหลงค่อย ๆ คุกเข่าลงกับพื้นโดยใช้ดาบยันตัวไว้พร้อมกับหอบอย่างหนัก ทั้วตัวโชกเลือดไปหมด ที่หน้าอกมีแผลน่ากลัวยาวกว่าหนึ่งฟุต
รอยแผลเหวอะมากเนื่องจากถูกกูลตัวหนึ่งลอบตะปบเอาทีเผลอ
เมื่อเห็นฉากนี้ถังเจิ้นก็หัวเราะไม่ออก เขาพยายามลุกขึ้นแต่ก็ลุกไม่ไหวเหมือนกัน
“ต้าสยงไปเก็บลูกปัดสมองของกูลพวกนี้แล้วกลับบ้านกัน” ถังเจิ้นพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนแรง
หลังจากได้ยินที่ถังเจิ้นบอกต้าสยงก็ถัดตูดไปไกล้ ๆ ศพของกูลตัวหนึ่งแล้วใช้กำปั้นทุบหัวมันด้วยความโมโห
จากนั้นก็หยิบเอาลูกปัดสมองเลเวล 2 ออกมาทีละเม็ด ๆ และเมื่อกำลังจะระเบิดหัวตัวที่สามเฉียนหลงก็เปลร่ยนสีหน้าแล้วมองกวาดออกไปอย่างกระสับกระส่ายและยันตัวขึ้นจากพื้นพร้อมน้าวสายธนูเล็งไปยังที่หนึ่งที่อยู่ไม่ไกล
“ใครวะ!!”
หัวใจของถังเจิ้นบีบรัดตัวอย่างรุนแรงเมื่อเห็นฉากนี้ ‘ห่าอะไรอีกวะ?’
เขาประทับปืนเล็งด้วยแรงทั้งหมดที่เหลือแล้วยิงใส่ออกไปพร้อมกับเข่าที่อ่อนยวบลง
‘ปั้ง!’
ถังเจิ้นยิงปืนไปมั่ว ๆ กระสุนก็พุ่งฝ่าความมืดไปกระทบกับพื้นหินอ่อนจนเกิดประกายไฟแลบออกมา
หลังจากเสียงปืนดังขึ้นก็มีเสียงอุทานแผ่วเบาในความมืด จากนั้นสถานการณ์ก็ตกอยู่ในความเงียบ
อย่างไรก็ตามถังเจิ้นและคนอื่น ๆ ได้เปลี่ยนสีหน้า เพราะการโยนหินถามทางเมื่อกี๊มีปฏิกิริยาตอบกลับมาอย่างชัดเจน คือมีคนแอบซุ่มดูพวกเขาอยู่ในความมืด
ตอนนี้ใจของถังเจิ้นสั่นสะท้าน ถ้าเป็นตอนปกติล่ะก็เขาจะไม่กลัวสถานการณ์แบบนี้เลย ทว่าตอนนี้ไม่ใช่เพราะทั้งสามคนต่างก็หมดแรงและบาดเจ็บสาหัส ถ้าอีกฝ่ายมีเจตนาชั่วร้ายล่ะก็ชีวิตของทั้งสามจะตกอยู่ในอันตรายร้ายแรง!
ด้วยความเครียดทำให้สายตาของถังเจิ้นเย็นชาขึ้นเรื่อย ๆ
ตัวเขาเองนั้นสามารถหนีได้ทุกเมื่อแน่นอน แต่เฉียนหลงกับต้าสยงล่ะ ใช้คนที่เขาควรทิ้งไว้ข้างหลังงั้นเหรอ?
แน่นอนว่าถังเจิ้นทำไม่ได้ดังนั้นจึงได้แต่กัดฟันรอดูสถานการณ์ไปก่อน
ตึก ๆ ๆ ๆ
มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นทีละก้าว แต่ละครั้งที่ดังขึ้นมันราวกับค้อนหนักที่ทุบใส่หน้าอกของถังเจิ้น พร้อมกับคนกลุ่มหนึ่งที่ค่อย ๆ ปรากฏตัวขึ้นมาจากความมืดทิศที่เขาจ้องมองอยู่
พวกมันถืออาวุธครบมือด้วยใบหน้าถมึงทึงมองมายังพวกเขาด้วยสีหน้าที่ไม่มีปราณี เมื่อเห็นตัวคนที่เป็นผู้นำถังเจิ้นก็หรีตาลงเล็กน้อย เพราะไอ้นี่คือไอ้หนวดเคราที่พึ่งเจอกันนั่นเอง
ไอ้หนวดเครามันเหลือบมองซากศพของมอนสเตอร์ที่กระจายเกลือนด้วยแววตาที่ฉายประกายความโลภ จากนั้นก็หันมามองพวกเขาทั้งสาม
หลังจากจ้องมองทั้งสามคนอย่างเย็นชาครู่หนึ่งมันก็พิจารณาปืนพกในมือของถังเจิ้นอย่างถี่ถ้วน จากนั้นจึงชี้ไปทางซากศพแล้วบอกว่า “ตัดใจกับลูกปัดสมองนี่ซะแล้วไสหัวไป!”
ถังเจิ้นผงะไปครู่หนึ่งจากนั้นก็พูดประชดประชัน “แม่งปากดีชิบหาย อยากได้ลูกปัดสมองมากแล้วไม่ไปหาเองวะ!”
เขาเห็นว่าไอ้หนวดนี่มันกลัวความแข็งแกร่งของพวกเขาทั้งสาม ดังนั้นเลยคิดจะใช้สมองสู้กันมากกว่าใช้กำลัง แต่ถังเจิ้นใช่คนที่จะถูกจูงจมูกง่าย ๆ ซะที่ไหน ถ้าเกิดเขายอมให้ล่ะก็ไม่แน่ไอ้หนวดมันอาจคิดว่าเขาป๊อดแล้วเข้ามาจู่โจมจริง ๆ ก็เป็นได้
“เฮอะ! ไม่รู้จะด่าพวกมึงยังไงเลยว่ะ! พวกมึงสามตัวบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้ยังจะสู้อีกเอ่อ? แทนที่จะคว้าโอกาสเอาชีวิตรอด”
ในน้ำเสียงของไอ้หนวดเคราแฝงด้วยเจตนาฆ่า และนักธนูสามคนในทีมนี้ก็น้าวสายธนูเล็งมา เห็นได้ชัดว่านี่คือภัยพิบัติโดยแท้
ถังเจิ้นกัดฟันกรอด ๆ อย่างไม่เต็มใจ หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งเขาก็กวักมือเป็นสัญญาณให้เฉียนหลงกับต้าสยงถอยกลับมาพร้อม ๆ กับที่ตัวเองยกปากกระบอกปืนเล็งใส่ฝ่ายตรงข้ามไปด้วย
ไอ้หนวดเครายังเป็นคนที่มีความรู้ มันรู้ว่าสิ่งที่อยู่ในมือของถังเจิ้นเป็นอาวุธปืน ดังนั้นมันเลยไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม
นี่เป็นเหตุผลที่ว่าแม้พวกมันอยากจะเก็บพวกถังเจิ้นแล้วเอาลูกปัดสมองเลเวล 2 กลับบ้านโดยไม่ทิ้งปัญหาไว้เบื้องหลังก็ตาม แต่ก็ไม่ได้ทำเพราะถ้าทำไม่รู้ต้องเสียหายเพราะลูกปืนไปมากเท่าไหร่
ทั้งสามเอนตัวเข้าหากันและถอยกลับอย่างช้า ๆ ซึ่งสามารถถอยร่นไปจนถึงทางเข้าอาคารได้ในเวลาอันสั้น
เมื่อเขาเดินไปที่จัตุรัสในที่สุดถังเจิ้นก็ทนอาการบาดเจ็บไม่ไหวและกระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง
“อาการบาดเจ็บภายนอกไม่ร้ายแรง แต่ดูเหมือนนายจะได้รับบาดเจ็บภายในนะ ตอนนี้รู้สึกเป็นไงมั่ง?” เฉียนหลงตรวจสอบอาการบาดเจ็บของถังเจิ้นและถามคำถาม
“ไม่เป็นไร ไม่ตายง่าย ๆ หรอก” ถังเจิ้นถ่มน้ำลายลงพื้นแล้วหยิบขวดน้ำออกมาจิบจากนั้นก็สำลักและไอออกมาสองสามที
เขาโกรธจัดจนขว้างขวดน้ำลงพื้นอย่างแรงและสบถอย่างโมโหว่า “ไอ้เชี่ยหนวดนั่น กูนี่อยากเอากระสุนยัดปากแม่งจริง ๆ”
เมื่อเห็นสีหน้าโกรธของถังเจิ้นเฉียนหลงหรี่ตาแล้วบอกเบา ๆ ว่า “เรื่องนี้... ลืมมันไปเถอะ”
แต่ถังเจิ้นแสดงรอยยิ้มเหี้ยมโหดออกมาเมื่อได้ยินคำนั้น เขาหันหน้ากลับไปมองซากอาคารด้านหลังแล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ในเมื่อพวกมึงวอนกันนักคราวหลังก็อย่าหาว่ากูไร้ยางอายล่ะ... ถึงลูกปัดสมองเลเวลสองมันจะมีค่า แต่พวกมึงก็ต้องมีชีวิตรอดกลับไปใช้ด้วยไอ้พวกเหี้ย!”
ต่อให้จะสบถก่นด่าอะไรออกมามากเพียงใดความโกรธในใจมันก็ยากที่จะสงบลงได้อยู่ดี ดังนั้นระหว่างทางกลับสีหน้าของถังเจิ้นจึงถมึงทึงไปตลอดทาง
เหตุการณ์ในวันนี้จะกลายเป็นความทรงจำบัดซบไปอีกยาวนาน และเขาก็ได้ตระหนักแล้วว่าไม่ว่าจะอยู่ที่โลกไหนก็ตามก็ยังมีสัจธรรมบางอย่างที่เหมือนกันอยู่
ผู้อ่อนแอย่อมตกเป็นเหยื่อของผู้แข็งแกร่ง ถ้าไม่แข็งแกร่งพอก็มีแต่จะถูกรังแกจนตาย ทำได้เพียงกล้ำกลืนความแค้นลงท้องไปเท่านั้น
ถังเจิ้นแอบสาบานอยู่ในใจว่าเรื่องบัดซบแบบนี้จะเกิดขึ้นแค่ครั้งนี้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น หากมีอีกล่ะก็ฝ่ายตรงข้ามต้องจ่ายค่าเสียหายราคาแพง!
เนื่องจากทั้งสามคนได้รับบาดเจ็บการเดินทางกลับจึงใช้เวลานานและลำบากมาก โชคดีที่ไม่พบมอนสเตอร์ระหว่างทาง ไม่อย่างนั้นทั้งสามอาจมีเสียชีวิต
หลังจากกลับมาที่ถ้ำมู่หรงจื่อเหยียนก็ตกใจกับสภาพโชกเลือดของทั้งสามคนและรีบเข้าไปช่วยประคองและไต่ถามด้วยความเป็นห่วง จากนั้นเธอก็รีบไปคุ้ย ๆ อะไรอยู่ตรงมุมห้อง เจอเป็นก้อนสีดำ ๆ ซึ่งเธอเอามาละลายกับน้ำแล้วไปทาลงบนบาดแผลบนร่างกายของถังเจิ้น
ถังเจิ้นตกตะลึงรีบผลักเธอออกไปอย่างรวดเร็วแล้วรีบถามว่า “เดี๋ยวก่อนจื่อเหยียน ไอ้นี่มันอะไรของเธอเนี่ย?”
มู่หรงจื่อเหยียนมอง ‘โคลน’ สีดำในมือของตนและอธิบายให้ถังเจิ้นฟัง “นี่เป็นครีมที่ทำจากเถาไม้เลื้อยแห้งละลายน้ำ มีผลมหัศจรรย์ช่วยในการรักษาบาดแผล!”
ถังเจิ้นได้ยินคำตอบก็มองที่ ‘ครีม’ อย่างระแวดระวัง และเห็นว่าครีมดังกล่าวมีความโปรงใสและมีกลิ่นหอมแปลก ๆ ด้วย
เขาลองแตะครีมดังกล่าวมาป้ายแผลตนเองดูก่อนเล็กน้อย และต้องประหลาดใจกับอาการเย็น ๆ ซ่าน ๆ ตรงบาดแผล และเมื่อมองดูดี ๆ จะเห็นว่าแผลค่อย ๆ หายอย่างช้า ๆ แต่ก็ทันตาเห็น
‘เด๋ว... ไม้ม้าง... ตาฝาด... เชี่ย... ครีมนี่โคตรเจ๋ง!’
ถังเจิ้นจ้องมองที่บาดแผลอย่างตั้งใจและตะลึงไปเลย