ตอนที่แล้วตอนที่ 1042 ยักษ์ดาบทอง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 1044 จอมปีศาจไคเทียน

ตอนที่ 1043 ดาบเดียวตายหมื่น


ห้าหัวหน้าใหญ่ถอยออกมาจากประตูลับที่สอง

หลังจากพบกับหน่วยทหารยอดฝีมือห้าผู้นำทำการพิจารณาและวางแผนอย่างรอบคอบหลายครั้งตั้งใจจะผ่านด่านยักษ์ดาบทองไปและรับสมบัติลับโบราณที่ดีที่สุด  สมบัติลับโบราณได้รับการพิทักษ์โดยเหล่าทวยเทพ  ไม่ต้องกล่าวอะไรมากอย่างน้อยก็ต้องเป็นของวิเศษชั้นเทพ ถ้าได้รับมาพลังจะเพิ่มขึ้นอย่างมากมายมหาศาลแน่นอน คำถามก็คือจะเอาสมบัติลับที่ยักษ์ดาบทองดูแลมาได้อย่างไร?

ยักษ์ดาบทองมีพลังเทพสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระโดยไม่คำนึงถึงกฎสวรรค์ในโลกที่ฟ้าดินกลับด้าน

พลังแบบนี้ไม่มีในหัวหน้าใหญ่ทั้งห้า

แม้ว่าพวกเขาจะผนึกกำลังกันก็ยังเป็นไปไม่ได้

นอกจากนี้สมบัติลับโบราณอยู่ที่ไหน?  ต้องใช้วิธีใดจึงจะรับเอามาได้?

ทุกเรื่องล้วนแต่น่าปวดหัว  ไม่เพียงแต่เริ่นเทียนเกอเท่านั้น แต่หัวหน้าใหญ่อีกสี่คนที่เหลือก็ยังลังเลที่จะออกไป  มียักษ์ดาบทองเป็นผู้พิทักษ์สมบัติ  ก็ต้องมีสมบัติโบราณอย่างมิต้องสงสัย   เห็นสมบัติลับอยู่ข้างหน้าพวกเขาจะจากไปอย่างง่ายๆ ได้อย่างไร?  และพลังของค่ายมารในช่วงหลายพันปีมานี้ข่มพลังฝ่ายพันธมิตรเทพ ถ้ามีสมบัติลับโบราณที่จะพลิกสถานการณ์กลับมาได้ ไม่ควรพลาด... น่าเสียดายที่บัณฑิตตาเงินซึ่งมีปัญญาที่สุดในกลุ่ม ก็ยังขมวดคิ้วเงียบไม่สามารถหาวิธีดีๆ เจอ

“เราต้องได้คนช่วยเพิ่มเติม”  มือกระบี่รูปงามเชียนจงเสนอความเป็นไปได้ที่จะประสบความสำเร็จได้นั่นคือระดมคนเข้ามา ตราบใดที่มีคนเพียงพอ เขาเชื่อว่าต่อให้เป็นเทพก็ถูกทำลายได้ หรือถูกลากถ่วงเวลาได้ชั่วขณะ

“ปัญหาตอนนี้ก็คือถ้าเราดึงคนจากค่ายพันธมิตรเทพเข้ามาจนภาคพื้นว่างแนวหลังของเราจะว่างเปล่า” เริ่นเทียนกอส่ายหน้าเบาๆ

“ถ้าฝ่ายค่ายมารเชื่อว่าสามารถบุกพิชิตฐานเราได้  ผลที่ตามมาคงมิอาจคาดคิด”  บัณฑิตตาเงินไม่เห็นด้วยกับแผนนี้

“เป็นไปไม่ได้ แผนนี้ใช้ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นเราก็แค่หลอกล่อคนกลุ่มหนึ่งในค่ายมาร แล้วปล่อยให้เขาเข้าไปเป็นปีศาจตายแทนเราได้หรือไม่?” บุรุษผมแดงฮ็อกหงุดหงิดเสนอความเห็นที่น่าทึ่งจริงๆ ความจริงแล้วเขาตั้งใจพูดประชด  อย่างไรก็ตามหลังจากที่พูดไปแล้วเขาเองกลับพบว่าเป็นความเห็นที่ดี นี่คือกลยุทธ์หนึ่ง

“ข้าไม่คิดว่าโง่ แต่ผลก็ออกมาดีเหมือนกัน”  บุรุษหน้ากากชิงหมอเห็นด้วย

“เป็นไปได้ที่คิดหาวิธีนี้ ทั้งได้สมบัติลับและทำลายศัตรูไปพร้อมกันใช้กระสุนนัดเดียวยิงนกได้สองตัว!”  เชียนจ้งมือกระบี่รูปงามดีใจ

“มันยาก, พวกค่ายมารไม่โง่และถ้ามีข้อผิดพลาดในระหว่างเพียงเล็กน้อย ศัตรูจะทราบข่าวสมบัติลับได้ จากนั้นเรื่องจะซับซ้อนมากยิ่งขึ้น...” เริ่นเทียนเกอในฐานะหัวหน้าใหญ่มีข้อกังวลมากมายแม้ว่าจะเป็นแผนการที่ดีที่สุด แต่เขาต้องคิดซ้ำแล้วซ้ำอีกเพื่อไม่ให้เกิดเหตุเปลี่ยนแปลงก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงกับฝ่ายของตนเอง

เมื่อหัวหน้าใหญ่ทั้งห้าพูดคุยปรึกษากันยังไม่ได้ข้อสรุปวิธีที่ดีที่สุด  ทันใดนั้นทหารมือดีที่สุดเข้ามารายงานทันที

เมื่อได้ทราบข่าวหัวหน้าใหญ่ทั้งห้ารู้สึกเหมือนถูกฟ้าฟาดใส่

เริ่นเทียนเกอไม่อยากเชื่อหูตนเอง  “แปดหัวหน้าใหญ่ค่ายมารกำลังเข่นฆ่าเข้ามางั้นหรือ?  พระยายม, จ้าวกระดูกและจอมถลกหนังปกติจะริษยากันเอง แม้จะอยู่ค่ายเดียวกันแต่ลอบเป็นศัตรูกัน  พวกเขาสามารถรวมตัวกันโจมตีได้อย่างไร?   หน่วยทหารที่รั้งอยู่ข้างนอกมีเท่าใด?  อะไรนะมี ร้อยนาย?”

บัณฑิตตาเงินเห็นว่าเริ่นเทียนเกอกำลังฟุ้งซ่านกับข่าวถูกค่ายมารล้อมกรอบ  เขารีบออกคำสั่ง  “กองทหารทั้งหมดหน่วยฝีมือดีให้อยู่ข้างหน้า หน่วยเสริมอยู่ข้างหลัง เราจะใช้ชัยภูมิที่ได้เปรียบมากกว่ายันศัตรูไว้”

หลังจากผู้ใต้บังคับบัญชาเขารับคำสั่งออกเดินทางบัณฑิตตาเงินปลอบใจเริ่นเทียนเกอและผู้นำอีกสามคน “ต้องมีบางคนปล่อยข่าวลับให้รั่วออกไป มิฉะนั้นผู้นำของค่ายฝ่ายมารคงไม่มีทางร่วมมือกันสู้ได้  แต่ศัตรูที่รุกเข้ามาอย่างดุเดือดไม่ใช่ผู้ชนะคนสุดท้าย  หากเราจัดกลุ่มและนั่งอยู่บนภูดูเสือกัดกันไม่ว่าจะเป็นพระยายม จ้าวกระดูกหรือจอมถลกหนังหรือหัวหน้าฝ่ายมารอีกห้าคนก็ตาม เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะโจมตีทำลายเรา เรื่องจำเป็นเร่งด่วนก็คือเราต้องปล่อยข่าวขุมทรัพย์โบราณเพื่อสร้างความสับสนบางทีเราอาจรอจนกว่าศัตรูฆ่าฟันกันเองก็ได้”

เริ่นเทียนเกอเมื่อได้ยินเช่นนี้รู้สึกหวั่นไหวใจความเชื่อมั่นของเขากลับคืนมาหมด

“ในการเผชิญหน้ากับยักษ์ดาบทองที่ทรงพลัง  พวกเขาไม่สามารถต่อสู้เพียงลำพัง พวกเขาจะต้องหมดสิ้นเปลืองพลังกันเองและทำให้คนอื่นได้ประโยชน์  พวกเขาก็ต้องการยืมพลังของเรา การรบครั้งนี้เราสามารถเจรจากับพวกเขาเพื่อพักรบชั่วคราว  หากเป็นไปไม่ได้เราจะล่าถอยสู่โลกพลิกกลับ ถ้าพวกเขากล้าไล่ล่า พวกเราจะต่อสู้กับพวกเขาต่อหน้ายักษ์ดาบทอง  นักรบพันธมิตรเทพของเราก็แค่ถูกเทพเจ้าทำลายไม่ใช่ฝ่ายค่ายมาร!” เริ่นเทียนเกอยิ่งกล่าวยิ่งมั่นใจ

“ก่อนที่เราจะถอยกลับไปที่ประตูลับที่สามและดำเนินการตามขั้นตอนนี้ใช้ความแข็งแกร่งของศัตรูเพื่อรับมือยักษ์ดาบทอง สำหรับใครจะได้รับสมบัติลับโบราณก็คงต้องขึ้นอยู่กับโชคชะตา” บุรุษหน้ากากชิงหมอรู้สึกว่าแค่ล่อลวงศัตรูในตอนนี้อาจมีการฉวยโอกาสได้

“แม้ว่าจะไม่ใช่แผนสมบูรณ์  แต่ก็มีความสำคัญมากข้าเองก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องทำเช่นนั้น” บัณฑิตตาเงินถอนหายใจเล็กน้อย

ที่หน้าประตูลับที่สาม

ห้าหัวหน้าใหญ่นำทหารฝีมือดีกลุ่มใหญ่มายืนป้องกันที่หน้าประตู

หน่วยทหารที่รั้งอยู่แต่เดิมถูกทำลายเกือบหมดสิ้น พวกเขาสามารถหนีไปสมทบกับกองทัพใหญ่มีคนบาดเจ็บสาหัสไม่ถึงห้าสิบคน นี่เป็นผลมาจากการต่อต้านอย่างดุเดือดรุนแรงของบุรุษตาเดียว สุดท้ายเขาพลาดท่าถูกฆ่าตาย....ทอเรนเป่ย, เจ้าสี่แขนและเจ้าสัวยังรอดอยู่แน่นอนเช่นเดียวกับร่างเงาแทนที่เหมือนมีชีวิตจริงของเย่ว์หยางซึ่งไม่มีใครจำแนกออกว่าเป็นร่างจริงหรือร่างปลอม ด้วยพลังพิเศษของหน้ากากเจมินี่ผสานกับสนามพลังสร้างโลกกับอสูรพิทักษ์เงาปีศาจใช้สร้างเป็นร่างจำลองไม่มีสติปัญญาขั้นสูงแบบมนุษย์  แต่การตอบปัญหาง่ายๆ ยังทำได้

ร่างเงาจำแลงสามารถสู้ได้เมื่อจำเป็น

น่าเสียดายที่มันคงอยู่ได้ในช่วงเวลาสั้นๆ  เพียงชั่วโมงเดียว มิฉะนั้นเย่ว์หยางคงสร้างเงาจำแลงจำนวนมากเพื่อสร้างความสับสนให้กับศัตรู

เมื่อพระยายมซิวอิ่งกับพวกมาถึงพันธมิตรฝ่ายเทพมีกระจายอยู่ทั่วทุกที่ ถ้าไม่ใช่เพราะเริ่นเทียนเกอและหัวหน้าใหญ่ทั้งห้า ผู้ท้าทายผ่านด่านมากกว่าสองพันคนอาจล่มสลายและหลบหนีไปแล้ว  ไม่มีทางที่พระยายมอย่างพวกเขาจะไม่ได้ยินชื่อเสียงน่าเกรงขามชื่อเสียงของเขาได้มาเพราะชีวิตของผู้ท้าทายผ่านด่านฝ่ายพันธมิตรเทพนับไม่ถ้วน

ไม่ว่าจะเป็นซิวอิ่งจินหายและเซี่ยที ล้วนคร่าชีวิตผู้คนมาเป็นพัน

เมื่อกองกำลังฝ่ายค่ายมารมาถึงนักสู้ฝีมือดีค่ายมารมีหลายหมื่นคน ราวกับเมฆดำทะมึนกดดันจนนักสู้ฝ่ายพันธมิตรเทพหายใจไม่ออก

พลังของทั้งสองฝ่ายห่างไกลกันมาก

ไม่ว่าจะเป็นผู้นำหรือนักสู้ฝีมือดี ยันพลเดินเท้ารากหญ้า ฝ่ายตรงข้ามล้วนได้เปรียบเหลือเฟือ

“วิเศษมาก พระยายมซิวอิ่ง  เจ้ากล้ามากที่ยกทัพไกลหมื่นลี้มาถึงนี่ได้  ข้าเริ่นเทียนเกอขอชื่นชมจากใจ!” เริ่นเทียนเกอหัวเราะลั่นก่อนลงมายืนที่สนามรบ  เขาเป็นหัวหน้าฝ่ายพันธมิตรเทพและเป็นกระดูกสันหลังหลักของสนามรบ  หากเขาตาย พันธมิตรเทพจะถูกทำลาย  ไม่ว่าเป็นอย่างไรก็ตามเขาไม่สามารถล้มได้

“ไม่เป็นไร ไม่ว่าเจ้าจะชื่นชมหรือไม่เราไม่ได้มาที่นี่เพื่อฟังเจ้าพูดจา” พระยายมโบกมืออย่างเฉยเมย  “สำหรับเรื่องสมบัติลับโบราณข้ารู้เรื่องมานานแล้ว  ทำไมข้าถึงไม่แคยไปค้นหาตามล่าสมบัติ  เหตุผลง่ายมาก ข้าเชื่อว่าเจ้าเคยเห็นมันมาแล้ว และเข้าใจว่าทำไม  อย่านึกว่าข้าโง่ ข้าไม่ต้องการถูกยืมมือสู้กับเทพที่ไม่มีทางพ่ายแพ้  เรื่องอย่างนี้หลอกเด็กสามขวบยังไม่ได้! ในทางตรงกันข้ามถ้าเจ้าเต็มใจสู้กับข้า ข้าจะพิจารณาว่าจะยอมปล่อยเจ้าไปหรือไม่ บอกตามตรงเลยเริ่นเทียนเกอ โดยส่วนตัวแล้ว ข้าไม่มีความแค้นใดต่อเจ้าและกลุ่มพันธมิตรเทพเป็นพิเศษ  ทุกคนล้วนมาจากแดนสวรรค์ทั้งนั้น  แต่ละคนพอมาอยู่ต่างค่ายที่นี่ก็ต้องต่อสู้กัน  ตอนนี้ข้าไม่ต้องการสงครามระหว่างค่าย  เราไม่จำเป็นต้องจริงจังมากเกินไป  ข้าไม่ใช่คนกระหายเลือดอย่างจีอู๋ลี่  ดังนั้นเจ้ามีเพียงสองทางเลือก  หนึ่งคือลงมือโจมตีเพื่อล่อเทพคุ้มกันหรือสองสู้ตายกับเรา ไม่ตายไม่เลิกรา”

“เจ้าพูดอย่างนี้ นี่ให้ทางเลือกเราจริงๆหรือ?”  ฮ็อกบุรุษผมแดงโกรธ

“ที่นี่ไม่มีที่ให้เจ้าพูด!  เจ้าเจียมตัวเองไว้ดีกว่า  ข้าไม่ได้ถามเจ้า แต่ถามเริ่นเทียนเกอผู้แข็งแกร่งกว่าเจ้าและเป็นผู้นำของค่ายพันธมิตรเทพ!” พระยายมซิวอิ่งพูดทำให้ฮ็อกพูดไม่ออก

“ข้าไม่เห็นด้วยคำพูดของฮ็อกก็คือคำตอบของข้า” เริ่นเทียนเกอในฐานะหัวหน้าใหญ่รู้ความสำคัญของการป้องกันตัวมากเกินไป

“อย่างนั้นก็รบกัน!”  พระยายมซิวอิ่งยักไหล่ไม่สนใจ

“รอเดี๋ยว” จ้าวกระดูกจินหายเดินขึ้นมาข้างหน้าและหัวเราะลั่น  “การต่อสู้ฆ่าฟันกัน เป็นเรื่องภายนอกเราแก้ไขกันได้ สมบัติลับโบราณยังอยู่อีกไกล มองก็ยังไม่เห็นเป็นเรื่องไร้สาระที่มาด่วนรีบฆ่ากันเองเสียก่อน อย่ากระนั้นเลย เริ่นเทียนเกอ,บัณฑิตตาเงิน ข้าขอเสนอให้เราร่วมกำลังกัน เพื่อแก้ปัญหาเทพพิทักษ์สมบัติเสียก่อน  แม้ว่าเทพพิทักษ์สมบัติจะมีความแข็งแกร่ง  แต่ความแข็งแกร่งของเขาถูกผนึกไว้เป็นส่วนใหญ่และข้าไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปกี่ปีแล้ว พลังของเขาน่าจะเหลือไม่ถึง 10% ของพลังดั้งเดิม ตราบใดที่ผู้นำทั้งแปดของพวกเราและห้าผู้นำฝ่ายพวกเจ้าร่วมมือกันล้อมพวกมันไว้ เป็นไปได้ว่าเราอาจเอาชนะเทพพิทักษ์สมบัติได้ อย่างน้อยที่สุดก็ต่างฝ่ายต่างบาดเจ็บด้วยกัน เมื่อปัญหาเทพพิทักษ์สมบัติได้รับการคลี่คลาย  เราจะแยกย้ายกันค้นหาสมบัติลับและเสี่ยงดูว่าใครโชคดี... สมบัติลับยังไม่ทันปรากฏก็ทำสงครามกันเสียก่อนแล้วนั่นจะทำให้เด็กรุ่นหลังดูถูกเราได้”

“ข้าเห็นด้วย” จอมถลกหนังบุรุษผู้บ้าเลือดกระหายสงครามพยักหน้าเห็นด้วยกับข้อเสนอของจินหาย

“ก็ได้, ข้ามีความอดทนจำกัด หากเริ่นเทียนเกอยังคงปฏิเสธ  ข้าจะไม่ยอมทนอีกต่อไป” พระยายมถูกบังคับให้เปลี่ยนแปลงเงื่อนไขเพราะจ้าวกระดูกและจอมถลกหนังร่วมมือกันเขาจึงยอมเปลี่ยนใจอย่างยากลำบาก

เริ่นเทียนเกอปรึกษากับบัณฑิตตาเงินด้วยภาษาลับชั่วขณะ  และผลัดเปลี่ยนกันมองหน้าบุรุษหน้ากากชิงหมอบุรุษผมแดงฮ็อก และมือกระบี่รูปงามเชียนจง้

ในที่สุดเขาต้องฝืนใจรับข้อเสนอของฝ่ายตรงข้าม

อาจเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์หุบเขาปีศาจกลุ่มพันธมิตรเทพและฝ่ายค่ายมารร่วมมือกันค้นหาสมบัติลับ แม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะถลึงตาจ้องมองใส่กันราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ  แต่อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่กล้าฝ่าฝืนคำสั่งของผู้นำ  นอกจากนี้ไม่มีใครที่ไม่ต้องการได้สมบัติโบราณ การรบฆ่าฟันกันก่อนดูหมือนเป็นเรื่องหุนหันเกินไป

ผู้ท้าทายฝ่ายพันธมิตรเทพมีมากกว่าสองพันคนเข้าอยู่ในโลกกลับด้าน และด้านหลังเป็นทหารฝ่ายค่ายมารมากกว่าหมื่นคนทะยอยกันเข้ามา

ทั้งสองฝ่ายต่างกำลังรอพร้อมรบเต็มรูปแบบ

เพราะสิ่งที่เขากำลังเผชิญหน้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ธรรมดา  แต่เป็นเทพในตำนาน

พวกเขาเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับเทพมามากแต่พวกเขาไม่เคยเห็น...  วันนี้พวกเขาจะร่วมมือกับศัตรูเพื่อต่อสู้กับเทพในตำนานดังกล่าว!  ความตื่นเต้น ทึ่ง กังวล กลัวมึนชา สงบ บ้าคลั่งผสมปนเปกันในช่วงเวลานี้ ส่งผลกระทบต่อความตั้งใจของผู้ท้าทายต่อสู้อย่างต่อเนื่อง  ภายใต้คำสั่งของผู้นำที่ยิ่งใหญ่ผู้ท้าทายผ่านด่านทั้งสองฝ่ายรวมหมื่นสองพันคนกัดฟันแน่นระงับอารมณ์อกุศลในใจและรักษาสติของตนเอง   ก่อนที่เทพนั้นจะปรากฏขึ้นอสูรทุกตัวถูกอัญเชิญออกมาและพลังทั้งหมดถูกระเบิดออกมาพร้อมกันหวังว่าจะเอาชนะพลังเทพได้

ฆ่า  ฆ่า!

เสียงโห่ร้องฆ่าฟันดังขึ้น

ทั้งฝ่ายพันธมิตรเทพและฝ่ายค่ายมารส่งเสียงโห่ร้องกระตุ้นขวัญกำลังใจในหุบเขา

การท้าทายเทพไม่ง่ายอย่างนั้นและถือเป็นเกียรติสูงสุด ในแดนสวรรค์จะมีนักสู้ผู้แข็งแกร่งสักกี่คนมีโชคพอได้สู้กับเหล่าทวยเทพ?

“ข้าต้องใช้ขวานข้าฟันให้ได้  แม้ว่าจะเพียงครู่เดียว ข้าก็พอใจแล้ว”  ทอเรนเป่ยหลับตาพึมพำอย่างกระวนกระวาย

“ตามข้ามา ดูด้วยว่าข้าทำอะไรเจ้าก็ต้องทำตามนั้น ได้ยินหรือเปล่า?” เจ้าสี่แขนปาดเหงื่อที่หน้าผาก ความกลัวในใจเขาทำให้รู้สึกเหมือนมีศิลากดทับหัวใจของเขา และเขาทำหน้าที่ดูแลเด็กใหม่อย่างเย่ว์หยาง  เพราะเขาจำคำสั่งของเบนหัวหน้าตาเดียวสั่งไว้ ไม่ว่ายังไงต้องส่งเจ้าเด็กใหม่ให้กับบัณฑิตตาเงิน

“วิ้ว (เสียงผิวปาก)  ข้ายังไม่อยากตาย  ข้ามีเงินมากมาย  ข้าเป็นเจ้าสัว ข้าตายที่นี่ไม่ได้ เทพสมบัติ! ได้โปรดช่วยผู้ศรัทธาท่านให้รอดด้วยเถิด ข้าจะขอรับใช้ท่านอย่างจริงใจยิ่งขึ้นไปอีก”  เจ้าสัวอ้วนเตี้ยอธิฐานต่อเทพเจ้าแต่กลับลืมไปว่าเขากำลังรอโจมตีเทพเจ้าอื่น

“.....” ร่างเงาจำแลงของเย่ว์หยางยังคงตั้งท่าโจมตี  แต่ไม่มีใครสนใจว่าเขาทำอะไร เพราะพลังของร่างเงาจำแลงอย่างมากเท่ากับปราณฟ้าระดับหนึ่งและไม่มีอสูรศึกที่แข็งแกร่งคอยช่วยเหลือ พลังของเขาไม่คู่ควรกล่าวถึง

ในท้องฟ้าไกลออกไปของโลกพลิกคว่ำกลับด้านปรากฏแสงสีทองกระพริบ

ยักษ์ดาบทองนิ่งเงียบสงบอยู่ต่อหน้าคนหมื่นคน ร่างของเขาเปล่งรัศมีเจิดจ้างดงามไปทั้งโลกจนมนุษย์ยากจะมองดูตรงๆ

เริ่นเทียนเกอคำรามลั่นในท้องฟ้าและโบกมือส่งสัญญาณบุก  “ทุกคน..บุก!”

อีกด้านหนึ่งพระยายมซิวอิ่ง จ้าวกระดูกจินหายและจอมถลกหนังเซี่ยทีไม่กล้าประมาทเขาไม่ยั้งพลังและสั่งกองทหารชั้นยอดเข้าโจมตียักษ์ดาบทอง  ด้านซ้ายห้าผู้นำพันธมิตรเทพ  ด้านขวาเป็นแปดผู้นำค่ายฝ่ายมาร ทั้งสองฝ่ายร่วมมือกันอย่างตรงไปตรงมาระดมยิงพลังใส่เป้าหมายคือยักษ์ดาบทอง

พลังถล่มฟ้าทลายดินคลุมไปทั้งตัวยักษ์ดาบทอง  นอกเหนือจากพลังของหัวหน้าทั้งสิบสามแล้วยังมีพลังนับหมื่นนับพันที่รวมกันอยู่ด้านหลังต่างระดมยิงใส่เหมือนอุกกาบาตกำลังรบของฝ่ายค่ายมารสามพันคนใช้กลยุทธ์รวมพลังสร้างบอลพลังพิเศษสามลูกข้างหน้า

“ดูหมิ่นเทพเจ้า ต้องถูกลงโทษ!”

ยักษ์ดาบทองตวาด

เขาหายไปอย่างเงียบงัน

การปิดล้อมช่องว่างที่สร้างขึ้นโดยพระยายมและเริ่นเทียนเกอยังไม่สมบูรณ์  โซ่วิญญาณของบัณฑิตตาเงินและกระดูกของจ้าวกระดูกจินหายบ่อโลหิตของจอมถลกหนักสูญเสียประสิทธิภาพ โจมตีไม่ถูกเลย

ยักษ์ดาบทองพุ่งออกมาที่สนามรบด้านหลังของกำลังพลค่ายมารและพันธมิตรเทพ

ดาบทองประกาศิตที่ตัดสินสรรพชีวิตเงื้อขึ้นภายใต้การจ้องมองอย่างสิ้นหวังของเริ่นเทียนเกอและและซิวอิ่ง  เขาถูกพลังเทพไม่มีใดต้านโจมตี

มิติแตกทำลาย

ระหว่างฟ้ากับดินเกิดรอยดาบกว้างสิบกิโลเมตรค้างอยู่ในอากาศเป็นเวลานาน  แม้แต่มิติก็ยังฟื้นตัวได้ยาก  และในเวลานี้ทุกคนหยุดชะงัก ไม่ว่าจะเป็นผู้นำใหญ่ของทั้งสองฝ่ายหรือผู้ท้าทายธรรมดาที่ยักษ์ดาบทองโจมตีไม่หมดทุกคนยืนนิ่งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ไม่ทราบว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใดลมพัดมาแผ่วเบา

ผู้ท้าทายผ่านด่านและอสูรเกือบหมื่นสลายกลายเป็นผุยผงหายไปในอากาศ

มีเพียงไม่กี่พันคนและอสูรที่เหลืออยู่ด้านนอกไกลสุดหลายร้อยเมตรและพวกเขาปั่นป่วนเจ็บปวดเศร้าใจอยู่ในระหว่างโลกกลับด้าน

ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ

รวมทั้งหัวหน้าใหญ่พวกเขาทั้งหมดได้รับบาดเจ็บในระดับที่ต่างๆ กัน

ดาบเดียวสังหารหมื่นคนนี่คือพลังของเทพเจ้า นี่คือผลของการต่อต้านเทพเจ้า!

เมื่อเห็นผลลัพธ์เช่นนี้แม้แต่บุรุษผู้แข็งแกร่งอย่างเริ่นเทียนเกอและพระยายมซิวอิ่งอดแสดงสายตาที่สิ้นหวังมิได้  การสู้รบแบบนี้ไม่ใช่การท้าทายเลยสักนิด  แต่เป็นการหาที่ตาย  เหล่าทวยเทพไม่ใช่พวกที่มนุษย์จะต่อต้านได้  แต่น่าเสียดาย นี่สายไปเสียแล้ว!

“หนีไปจากที่นี่!” เริ่นเทียนเกอและพระยายมซิวอิ่งมองหน้ากันเองต่างมองเห็นแววหวาดกลัวลึกในสายตาของกัน ขณะเดียวกันพวกเขาได้ออกคำสั่งสุดท้ายนั่นคือล่าถอย เพื่อจะได้ไม่ถูกกำจัด

“สายเกินไป” ยักษ์ดาบทองทำท่าชูดาบสร้างรัศมีโล่ทองขนาดหมื่นเมตร

ภายในรัศมีโล่ทอง

สนามพลังของเทพกระจายออก

ทุกคนเหมือนถูกภูเขาทับใส่แม้แต่อากาศผ่านไปไม่ได้ อย่าว่าแต่หายใจ

จบกัน! ท้าทายเทพในครั้งนี้ไม่เพียงแต่ไม่สำเร็จ แต่ทำให้เกิดการล้มตายขนานใหญ่ การปรากฏตัวของเทพมีผลประการเดียวคือ ทำลายกองทัพทั้งหมด

เริ่นเทียนเกอหลับตารอความตาย  ทันใดนั้นเขาพบว่าเจ้าเด็กใหม่ที่อ่อนแอมากกว่าพาทอเรน เจ้าสี่แขนและเจ้าสัวที่ได้รับบาดเจ็บไว้ข้างละแขนส่วนเท้าก็เตะร่างอ้วนเตี้ยของเจ้าสัว  เด็กใหม่นี่ไม่ได้รับอิทธิพลจากสนามพลังโล่ทอง  เขาสามารถผ่านไปได้อย่างง่ายดาย

นี่มันเกิดอะไรขึ้น?

ไม่เพียงแต่เริ่นเทียนเกอเท่านั้น  แต่แม้แต่พระยายมซิวอิ่งจ้าวกระดูกจินหายและจอมถลกหนังเซี่ยทีของฝ่ายค่ายมารก็ประหลาดใจกันมาก   มีทางรอดสายหนึ่ง  ดูเหมือนจะยังมีทางรอดสายหนึ่ง...

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด