ตอนที่ 1042 ยักษ์ดาบทอง
ไม่ว่าจะเป็นพระยายมซูอิ่งจ้าวกระดูกจินหาย หรือจอมถลกหนังเซี่ยที ล้วนไม่เห็นกลุ่มพันธมิตรเทพที่รั้งอยู่ในสายตา
ความจริงนอกจากเย่ว์หยางที่อำพรางตัวอยู่ผู้ท้าทายผ่านด่านคนอื่นๆ ล้วนแต่เป็นมดแมลงทั้งนั้น
ฝ่ายหนึ่งมีนักสู้ปราณราชันย์ระดับแปดเป็นยอดฝีมือสูงสุดไล่ลงมาจนถึงปราณฟ้าระดับห้า ในช่วงเวลานั้นเป็นเรื่องยากที่จะเทียบกับพวกนักสู้ปราณฟ้าระดับหกซึ่งเทียบได้กับนักสู้ปราณราชันย์ระดับหนึ่ง มีนักรบน้อยมากที่มีพลังปราณฟ้าระดับหก กล่าวโดยทั่วไปแล้วในแดนสวรรค์มีนักรบน้อยมากที่มีพลังปราณฟ้าระดับหกโดยทั่วไปจึงยังไม่อาจเอาไปเทียบกับปราณราชันย์ได้โดยทั่วไปถ้านักสู้ไม่สามารถเข้าใจถึงขอบเขตปราณราชันย์ได้ แม้ฝึกฝนไปตลอดชีวิตก็ไม่มีความก้าวหน้าจะยังคงอยู่ที่พลังปราณฟ้าระดับห้าอย่างน่าอึดอัด ไม่ว่านักรบปราณฟ้าจะมีพลังสูงเพียงใดแข็งแกร่งเพียงใดก็ตาม ถ้าไม่มีความเข้าใจขอบเขตปราณราชันย์ ในสายตาของนักสู้นั้นไม่ต่างอะไรกับมดแมลงทั้งหมด
ผู้ฝึกฝนพึงตระหนักถึงขอบเขตปราณราชันย์ไม่สามารถระงับปณิธานได้ หอทงเทียนเรียกว่านักรบปราณราชันย์และมีคุณสมบัติได้ฝึกฝนวิถีแห่งยอดฝีมือแน่นอน
แดนสวรรค์จะเรียกว่ากึ่งเทพหรือเทียมเทพ
ส่วนแดนสวรรค์เรียกปณิธานปราณราชันย์ว่า‘สำนึกเทพ’
ในแดนสวรรค์ล่างนักรบชั้นล่างต่ำกว่าปราณฟ้าระดับห้าลงมา เมื่อมีสำนึกเทพได้ จะมีความแตกต่างทันที แดนสวรรค์บนจะส่งคำเชิญมาหา จากนั้นผู้โชคดีนั้นจะเดินเข้าสู่โลกใหม่ที่งดงามซึ่งทุกคนในแดนสวรรค์รู้ว่าคนส่วนใหญ่ไม่มีคุณสมบัติได้ไป
นักรบบางคนยังไม่เข้าใจถึงสำนึกเทพแต่ก็เข้าถึงพลังปราณฟ้าระดับหกได้ แต่มีน้อยคนมาก โดยทั่วไปจะเป็นอสูรศึกที่ถึงระดับหกหรือสูงกว่าได้
นักรบที่เข้าถึงพลังปราณฟ้าระดับหกส่วนใหญ่เป็นเพราะมีร่างกายที่พิเศษหรือมีพลังทักษะแฝงเร้นที่พิเศษ
หรือด้วยความช่วยเหลือจากอสูรศึกที่มีพลังประหลาด... อย่างไรก็ตามนักสู้ปราณฟ้าระดับหกหรือระดับเจ็ดสำนึกเทพพวกเขาไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกัน ทั้งที่มองเผินๆ จะมีพลังระดับเดียวกัน ถ้านักสู้ปราณฟ้าระดับหกสู้กับนักรบหอทงเทียนที่มีพลังปราณราชันย์ระดับหนึ่งที่ผ่านการฝึกในประตูเป็นตายคาดว่าคงพลาดท่าย่อยยับ
นักสู้ปราณฟ้าที่มีสำนึกเทพในระดับเดียวกันถือว่าระดับพลังเท่ากับนักสู้ปราณราชันย์ของหอทงเทียน แต่เพราะความเข้าใจแตกต่างกัน ประสิทธิภาพจึงไม่เท่ากัน
ในยุคโบราณ
นักรบปราณราชันย์เป็นมาตรฐานการะประเมินจัดระดับพลังของหอทงเทียน
เฉพาะในช่วงหมื่นปีที่ผ่านมามีการสู้รบดุเดือดนับไม่ถ้วนระหว่างแดนสวรรค์และหอทงเทียนเพื่อกำจัดอิทธิพลของหอทงเทียนจึงมีการเรียกชื่อปราณราชันย์ใหม่ว่า ‘กึ่งเทพ’ การเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลกระทบไปทั่วทุกมุมโลกแดนสวรรค์ล่างมายาวนานหลายพันปี อย่างไรก็ตามแดนสวรรค์บน ตระกูลมีชื่อเสียงและตระกูลลับที่ซ่อนตัว ยังคงใช้มาตรฐานนักสู้ปราณราชันย์ในการประเมิน “ฆ่า” อย่างน้อยแผ่นดินมิติสอบฝีมือก็คงอยู่มานานเป็นหมื่นปี พวกเขาไม่ใส่ใจเรื่องภายนอกแค่ต้องการรวบอำนาจในหุบเขาปีศาจ พระยายมซิวอิ่งโบกมือเบาๆ
ด้านหลังของเขามีอัศวินดำนักรบฝีมือดีนับไม่ถ้วนขับขี่มังกรกระดูกพุ่งเข้าหาฝ่ายเย่ว์หยางและพวกที่ยังรั้งอยู่
เงาแห่งความตายขนาดใหญ่เริ่มใกล้เข้ามา
นอกจากนี้ยังเป็นผู้ท้าทายผ่านด่านที่มีพลังปราณฟ้าระดับห้า
อีกฝ่ายเมื่อพบคนผู้นี้จะต้องฆ่าทันที
เบนบุรุษตาเดียวคำรามก้องฟ้าแล้ววิ่งออกไปพร้อมกับหัวหน้าค่ายที่มีพลังฝีมือระดับเดียวกันหลายคนเพื่อเผชิญหน้ากับศัตรูที่น่าเกรงขาม อย่างไรก็ตามอัศวินดำเจ้าเล่ห์เหล่านี้ไม่ได้สู้กับบุรุษตาเดียว พวกเขาแยกตัวขึ้นท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว มังกรกระดูกมากกว่าห้าร้อยตัวแบ่งแยกกันเป็นกลุ่มเล็กร้อยกลุ่มและพวกเขาพุ่งโฉบลงมาจากในท้องฟ้าเป็นกลุ่มๆ ละห้าคน บุรุษตาเดียวต้องการขัดขวาง แต่เป็นไปไม่ได้
“ไป ไป ไป”
ทันใดนั้นบุรุษตาเดียวหันกลับมาที่สนามรบและคว้าคอเสื้อเย่ว์หยางตะโกนใส่หน้าของเขา “แม้ว่าเจ้าจะงี่เง่าจำแนกทางไม่ถูก แต่ศักยภาพของเจ้าดี ไม่เพียงแต่ข้าเท่านั้นแต่หลายคนมองเจ้าออก สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือบัณฑิตตาเงินมองเจ้าแตกต่างไปจากคนอื่น ดังนั้นเจ้าจะตายที่นี่ไม่ได้ ข้าเชื่อว่าเจ้าคงได้เห็นแล้วว่าเราตกหลุมพรางของศัตรู พวกมันต้องการหลอนประสาทเรา แต่เจ้าต้องจากไป เจ้ามีศักยภาพต่างจากพวกเราคนแก่ที่ไม่มีทางก้าวหน้าอีกแล้ว ฟังให้ดี เจ้าไม่เพียงแต่ต้องไปจากที่นี่อย่างปลอดภัยเท่านั้น แต่ต้องหนีออกไปจากรังมารจงรอดชีวิตกลับไปที่ค่ายข้างบน ฝีมือแกร่งกล้าแล้วค่อยล้างแค้นให้เราในอนาคต..ความสามารถของเราจำกัดอยู่เท่านี้ เราทำได้เพียงต้านรับชั่วคราวให้เจ้าได้หนีไป เจ้าต้องสู้ด้วยกำลังของตนเอง เจ้าต้องอยู่อย่างเข้มแข็งและมีชีวิตเผื่อพวกเราด้วย”
เขาอดบอกกับเย่ว์หยางไม่ได้ก่อนผลักไสเขาเข้าประตูเทเลพอร์ตลับ
เขารู้ดีว่าเข้าไปแล้วก็ยังถูกไล่ล่า
แต่ยังดีกว่ารั้งอยู่ที่นี่และถูกศัตรูฆ่าตายอย่างว่างเปล่า
“สี่แขน, อาเป่ย, เจ้าสัว! พยายามพาเจ้าเด็กนี่หนีไปจะดีที่สุดก็คือพาเขาไปส่งในมือของบัณฑิตตาเงินเขาเป็นเด็กมาใหม่ที่บัณฑิตตาเงินให้การยกย่องเขามากที่สุด แม้แต่ผู้นำก็ยังถามถึงชื่อเขาอย่าปล่อยให้เขาพบกับอุบัติเหตุใดๆ ทั้งสิ้น รีบไปได้แล้ว ถ้าพวกเจ้ายังพิรี้พิไรอยู่อีกก็อย่ามาเรียกข้าว่าหัวหน้าค่าย” บุรุษตาเดียวปฏิเสธและผลักทอเรนเป่ยและสี่แขนเข้าไปในประตูเทเลพอร์ตทีละคน และผู้ใต้บังคับบัญชาข้างๆเขาก่อขบวนเป็นกำลังเลือดเนื้อคอยต้านรับการโจมตีของศัตรู
“ดูเหมือนว่ามีปลาน้อยหลุดรอดหนีไปได้หรือ?” จอมถลกหนังเซี่ยทีหาวพูดอย่างเกียจคร้าน
“ไม่เป็นไร ต่อให้พวกมันหนีไปจนสุดทาง ก็ไม่มีใครช่วยมันได้ อย่าว่าแต่ปลาน้อยเลย แม้แต่เริ่นเทียนเกอก็จะตายที่นี่ในวันนี้” จ้าวกระดูกจินหายไม่ให้ความสำคัญกับเด็กใหม่อย่างเย่ว์หยาง เขามีศักยภาพที่ไม่เลว แต่เป็นไปไม่ได้ที่จะมีชีวิตรอดจนเติบโตได้ ในวันนั้นศักยภาพยังจะมีประโยชน์อีกหรือ?
“อย่าประมาทเกินไป เริ่นเทียนเกอกำจัดไม่ใช่ง่ายๆ ตอนนี้แค่เจ้าเด็กนั่นก็ให้ความรู้สึกที่อันตราย ถ้าปล่อยให้มันเติบโตบางทีอาจกลายเป็นเริ่นเทียนเกอคนที่สองก็ได้ ข้าคิดว่าอย่างนั้น หวังว่าข้าคงตาฝาดไปเอง ดวงตาของพระยายมสว่างมากขึ้นดูเหมือนเขาจะสังเกตความแตกต่างระหว่างเย่ว์หยางออก
“ถ้าเป็นอย่างนั้น ข้าจะตั้งตารอ วันที่ไม่มีคู่แข่งช่างน่าเบื่อ...อย่างเช่นเมื่อจีอู๋ลี่อยู่ในช่วงก่อนนั้น ข้ามัวแต่วุ่นและไม่สบาย ยังไม่ทันไรเจ้านั่นก็จากไปแล้ว” จอมถลกหนังเซี่ยทีหัวเราะ
“ดูสิ บางครั้งหยอกเด็กใหม่เล่นก็ไม่เลว” จ้าวกระดูกจินหายเห็นด้วยเช่นกัน
“....” พระยายมซิวอิ่งอยู่ห่างไกล เขามีแนวโน้มว่าจะทำการขุดรากถอนโคน แต่ถ้าต้องให้พระยายมยอดนักสู้ปราณราชันย์ระดับแปดอย่างเขาต้องลงมือไล่ล่านักสู้ปราณฟ้าเด็กใหม่ด้วยตัวเองเขาก็คงเสียหน้า
ถ้ามีโอกาสในอนาคต เขาจะลงมือฆ่าในทันที
เด็กใหม่ผู้นี้ยังไม่พัฒนาฝีมือ
ความจริงเป็นเรื่องง่ายที่เขาจะมอบภารกิจให้ผู้ใต้บังคับบัญชาทำงานให้สำเร็จง่ายดาย ฆ่าด้วยตนเองไม่คุ้มค่า
อีกด้านหนึ่ง
กองกำลังพันธมิตรเทพผ่านเข้าประตูเทเลพอร์ตโบราณผ่านเข้าทางวงกตเพื่อไปยังประตูเทเลพอร์ตลับที่สอง และห้าผู้นำใหญ่ผ่านเข้าไปยังประตูเทเลพอร์ตที่สามที่นั่นเป็นโลกแปลกประหลาดต่างจากหุบเขาปีศาจอย่างสิ้นเชิง
ในโลกที่แปลกประหลาดนี้ทุกอย่างพลิกกลับ
ท้องฟ้าอยู่ใต้เท้า และพื้นหายไป
ศิลาก้อนโตเบายิ่งกว่าปุยเมฆและทรายนั้นหลวมแต่เนื้อแน่นกว่าเหล็กกล้า
พืชที่นี่คลานไปทั่วทุกแห่งพวกมันอ้าปากที่เต็มไปด้วยเลือดกลืนกินทุกอย่างมากมาย แต่สัตว์ที่นี่ยังดูสงบมากมายเมื่อเทียบกับรูปปั้น ถ้าพวกเขาไม่เห็นสิ่งมีชีวิตว่ามันหัวใจมันเต้น พวกเขาอาจคิดว่าสัตว์เหล่านี้คือรูปปั้นที่ดูเหมือนมีชีวิต อากาศที่นี่ไม่สบายน่าอึดอัด ลมพัดเอื่อยผ่านท้องฟ้าและพื้นโลกกวาดผ่านไปทั่วทุกที่ แต่ใครก็ตามที่สัมผัสจะมีความรู้สึกว่าเหมือนกระทบกับผนังกำแพงขัดขวาง น้ำที่นี่ไหลแปลกประหลาดมันไหลจากล่างขึ้นบนเพราะท้องฟ้าพลิกกลับ อีกทั้งน้ำและน้ำฝนก็เป็นเช่นกัน เหมือนกับว่าลมหายใจที่นี่สูดทรายเข้าไปทำให้การหายใจระคายเคืองลำบาก
แม้แต่ผู้นำทั้งห้าผู้มีพลังแข็งแกร่ง
พอเข้ามาที่นี่
พวกเขาขมวดคิ้ว
แม้ว่าจะมีสนามพลังอมตะแต่ปณิธานของสุดยอดนักสู้ไม่ได้หายไป หัวหน้าใหญ่ทั้งห้ารู้สึกได้ชัดว่าพลังของพวกเขาอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัดในโลกนี้ เริ่นเทียนเกอและบัณฑิตตาเงินมีพลังแข็งแกร่งที่สุดแต่ฮ็อกคนผมแดงอยู่ในสภาพน่ากลัว เขามีพลังลดลงอย่างน้อยครึ่งหนึ่งเมื่ออยู่ที่นี่
“ขุมทรัพย์ลับโบราณที่นี่มีจริงๆ หรือ?” เริ่นเทียนเกอไม่เคยสงสัยคำพูดของบัณฑิตตาเงิน แต่เมื่อมาถึงที่นี่เขาอดสั่นไม่ได้
“โลกที่นี่แปลกประหลาดมาก ถ้าไม่ได้สร้างโดยมหาเทพโบราณแล้ว ข้าเกรงว่าจะไม่มีใครทำได้ สมบัติลับต้องมีอย่างแน่นอน แต่ปัญหาก็คือจะค้นเจอได้อย่างไร” มือกระบี่รูปงามมีสีหน้าตื่นเต้นเล็กน้อย ดูเหมือนเขามีความมั่นใจเต็มเปี่ยมว่ามีสมบัติลับ
“เฮอะ!, ข้าเสียใจอยู่บ้าง” ชิงหมอแค่นเสียง เขาบอกว่าเขาไม่ชอบที่นี่
“ข้าจะไม่ออกไป” ฮ็อกนั้นมีพลังด้อยที่สุดได้รับผลกระทบมากที่สุด แต่สมบัติลับอาจอยู่ต่อหน้า เขาตัดสินใจเสี่ยงสู้
“บางทีอาจมีสมบัติลับ” คำพูดของบัณฑิตตาเงินพูดไม่ทันจบ โลกสั่นสะเทือนมีพลังงานแปลกประหลาดปะทุออกมา ทั้งฟ้าและดินกำลังสั่นสะเทือน ในสายตาของผู้นำทั้งห้ามีดาบยักษ์ทองคำสูงร้อยเมตรลอยออกมาโดยไม่สนใจกฎสวรรค์และโลกพลิกกลับโดยตรง
เมื่อเห็นยักษ์ดาบทองนี้ปรากฏห้าผู้นำใหญ่สีหน้าเปลี่ยน
ผู้ที่สามารถเพิกเฉยต่อกฎสวรรค์และโลกได้ ผู้พิทักษ์นี้กลับผ่านไปได้โดยปกติ นี่คือพลังระดับใดกัน
สูงร้อยเมตรแต่ไม่ใช่ยักษ์ไตตันไม่ใช่สัตว์อสูร ยักษ์ดาบทองนี้เป็นสิ่งมีชีวิตแบบไหนกัน? เป็นไปไม่ได้ที่ร่างมนุษย์จะเติบโตในรูปแบบนี้ แต่ลักษณะของดาบยักษ์ทองมีปัญญาในตัวเองจากสายตานั่นมีความเป็นมนุษย์น้อย
“ระวัง” ฮ็อกบุรุษผมแดงพบว่ายักษ์ดาบทองชี้ดาบมาที่มือกระบี่รูปงามเชียนจง
“ข้าถูกฝ่ายตรงข้ามตรึงไว้ไม่สามารถชักกระบี่ได้”เชียนจงมือกระบี่รูปงามตอนนี้หลั่งเหงื่อเยียบเย็น เขามีความมั่นใจในการใช้กระบี่มากเช่นกัน แต่เมื่ออยู่ต่อหน้ายักษ์ดาบทองนี้เขาไม่สามารถชักกระบี่ออกได้ อย่างที่เห็น พลังของยักษ์ดาบทองน่ากลัวมาก เริ่นเทียนเกอบินเข้าและใช้เท้าเตะเชียนจงที่ถูกฝ่ายตรงข้ามตรงไว้ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้กระเด็นไปร้อยเมตรช่วยชีวิตเขาไว้ได้ทันเวลา
“พระเจ้า.... นี่อาจเป็นเทพผู้พิทักษ์ในตำนาน” บัณฑิตตาเงินถอนหายใจเบาๆ “แม้ว่าพลังส่วนใหญ่ของเขาจะถูกผนึก แต่ไม่ใช่สิ่งที่เราจะทำอะไรได้ ข้ารู้ว่ามีมีสมบัติลับโบราณอยู่ในนี้ แต่ไม่เคยคิดว่าจะมีเทพพิทักษ์อยู่ที่นี่ด้วย”
“จะสู้ต่อหรือถอยกลับ?” เริ่นเทียนเกอมองดูบัณฑิตตาเงินหวังว่าฝ่ายตรงข้ามจะมีการตัดสินใจที่ถูกต้องในภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี้
“ถอยกลับไปตั้งหลักชั่วคราวก่อน” บัณฑิตตาเงินพูดไม่ทันจบผู้นำใหญ่ทั้งห้าก็เทเลพอร์ตออกมาพร้อมกัน
ยักษ์ดาบทองที่ถูกมองว่าเป็นเทพยิ้มมุมปาก
ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะอยู่ในกำมือของเขา
ไม่ว่าอีกฝ่ายจะหนีไปอย่างไรก็ไม่มีทางหนีพ้นเงื้อมมือของเขา
เมื่อยักษ์ดาบทองหายไประหว่างช่องว่าฟ้ากับดิน เย่ว์หยางโผล่ออกมาจากความว่างทันที และเขาพยายามค้นหาอย่างหนักขณะที่ร่างซึ่งถูกทอเรนเป่ย เจ้าสี่แขน และเจ้าสัวพาหนีไป เย่ว์หยางทิ้งไว้แต่ร่างเงา ตั้งแต่เย่ว์หยางเทเลพอร์ตเข้าประตูลับที่หนึ่งร่างของเขาเทเลพอร์ตไล่ตามหัวหน้าใหญ่ทั้งห้าไปทันที
แต่ในโลกที่กลับหัวนั้นไม่มีอะไรผิดปกติ แต่การปรากฏตัวของยักษ์ดาบทองทำให้เย่ว์หยางสงสัย
ยักษ์ดาบทองนี้ไม่ใช่จอมปีศาจไคเทียนแน่นอน
เย่ว์หยางสามารถมั่นใจเรื่องนี้ได้
แต่ถ้ายักษ์ดาบทองไม่ใช่จอมปีศาจไคเทียน อย่างนั้นเขาเป็นใคร? ทำไมปรากฏในวิหารปีศาจฟ้าที่ลอยอยู่อย่างนี้ในวันนี้