ตอนที่แล้วตอนที่ 1036 เข้าด่านที่หก หุบเขาปีศาจ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 1038 เป้าหมาย วิหารปีศาจฟ้า

ตอนที่ 1037 หักคะแนน? นี่ไร้ยางอายเกินไป!


เมื่อเลือกฝ่ายเทพแล้วเย่ว์หยางและอิคคาเดินไปทางซ้าย

ในเวลานี้ทุกคนที่เขาพบเจอในค่ายมารในอนาคตจะเป็นศัตรูทั้งหมด ต่อให้พวกเขาเคยเป็นสหายสนิทหรือญาติพี่น้องกันก็ตาม  แน่นอนว่าเย่ว์หยางไม่มีความลำบากใจเช่นนั้น  เพราะเขาไม่มีสหายในมิติดินแดนสอบฝีมือ  ขณะที่คนรักของเขา  เขาให้พวกนางมาอยู่ในโลกคัมภีร์ทั้งหมดศัตรูใดๆ ที่เขาพบต่อให้เขาฆ่าก็ไม่มีอะไรต้องกังวลใจ .....นอกจากนี้ทางเข้าของหุบเขาปีศาจยังเป็นสนามรบใหญ่ของทั้งสองค่าย

สนามรบนี้กว้างขวางใหญ่โตกว่าทวีปมังกรทะยาน

มีการแบ่งเขตกึ่งกลาง

บนแนวแบ่งเขตมีป้อมปราการสิบแห่ง  ฝ่ายเทพและฝ่ายมารมีฝ่ายละห้าป้อมปราการ

ป้อมปราการสามารถป้องกันไม่ให้ผู้อยู่ฝ่ายตรงข้ามทั้งสองฝ่ายต่อสู้ข้ามเขตแดนมาได้  ผู้แข่งขันผ่านด่านแท้จริงไม่สามารถหยุดได้  ถ้ามีพลังแข็งแกร่งเพียงพอผู้แข่งขันสามารถบุกฝ่ายค่ายตรงข้ามและเริ่มเข่นฆ่าได้เหมือนกับจีอู๋ลี่กลายเป็นเพชฌฆาตคลั่งฆ่าคนทำให้ผู้อาศัยดั้งเดิมมีความรู้สึกเปลี่ยนไป

“เจ้าแน่ใจนะว่าต้องการเข้าร่วมฝ่ายเทพของเรา?” ที่ท้ายทางเข้าด้านซ้ายมีชายชราใจดียืนอยู่ใต้รูปปั้นเทวทูตยักษ์ถามพร้อมกับยิ้ม

“หากเปลี่ยนให้สาวสวยคนอื่นมายืนอยู่ตรงนี้เพื่อแนะนำผู้มาถึงใหม่ ข้าเชื่อว่าจำนวนคนเข้าร่วมฝ่ายเทพจะต้องเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว”  ชายชราใจดีได้ฟังแล้วอดหัวเราะไม่ได้

“มีเหตุผลข้าน่าจะนึกเรื่องนี้ออกมานานแล้ว” ชายชราหัวเราะลั่น  “ข้าบอกได้เลยว่าคนมากมายชอบจะเข้าร่วมกับฝ่ายมารปรากฏว่าเพศ รูปร่าง หน้าตาของคนนำทางก็มีความสำคัญ ฮ่าฮ่า  สหายน้อย ขอบคุณที่เจ้าแสดงความคิดเห็น  แต่เวลานี้เจ้าเปลี่ยนอะไรไม่ได้แล้ว  เจ้าต้องเลือกข้า ตาแก่คนนำทางฝ่ายเทพจริงไหม?”

“ข้ามีทางเลือกที่สองหรือ?”  เย่ว์หยางถอนหายใจยาว ค่ายมารก็เลือกไม่ได้ไม่อย่างนั้นเขาจะวิ่งเข้ามาทำอะไรที่นี่...

“แม้ว่าข้าไม่สามารถตัดสินใจให้เจ้าได้  แต่ต่อหน้าเจ้าผู้เข้าร่วมท้าทายบางคนก็ทำเช่นนั้น ตัวอย่างเช่นเขาไม่มีทางเลือกกลุ่มได้เองดั่งใจ เขาก็ต้องส่งคนผู้หนึ่งไปร่วมกับฝ่ายตรงข้ามเพื่อไม่ให้คนมากเกินไป  เมื่อจำนวนคนทั้งสองฝ่ายมีความสมดุลกันอย่างนั้นจึงจะมีสิทธิ์เลือกได้อย่างอิสระ” ชายชราบอกเล่าถึงวิธีเลือกฝ่าย

“ท่านต้องการคนกี่คน?”  เย่ว์หยางถามด้วยความสงสัย

“นักรบผู้เข้าร่วมผ่านด่านต้องการเข้าร่วมกับค่ายเทพที่แข็งแกร่งมากในเวลานั้นจึงต้องส่งคน 108 คนไปที่ค่ายมารเพื่อให้จำนวนคนมีความสมดุลกัน”  ชายชราเล่าให้ฟังเย่ว์หยางถึงกับหลั่งเหงื่อเยียบเย็น

นี่คือเรื่องของการย่ำผ่านศพที่อยู่ในเงื้อมมือเจ้านั่นเอง

แม้ว่ากฎโบราณจะถูกกำหนดขึ้นมาและไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้  แต่คนฉลาดย่อมข้ามกำแพงกฎนี้ได้แค่เพียงมองหาช่องโหว่ของกฎ

เพื่อให้ผ่านด่านได้อย่างราบรื่นคนเกือบร้อยคนจะปล่อยอสูรศึกของพวกเขาไว้เพื่อให้สะสมคะแนนซึ่งเป็นวิธีผ่านด่านที่เร็วที่สุด

บางทีชายชราคงเห็นแววประหลาดใจในสีหน้าของเย่ว์หยางเขาหัวเราะเบาๆ “ความจริงหุบเขาปีศาจนี้ไม่มีชาวพื้นเมืองอยู่เลยพวกเขาเป็นผู้ท้าทายเข้าสอบยุคเก่าที่บังเอิญรอดชีวิตอยู่ได้  และเพราะพวกเขาไม่สามารถออกไปจากหุบเขาปีศาจได้จึงต้องใช้ชีวิตอยู่ที่นี่แต่งงาน มีลูกสืบเผ่าพันธุ์  และด้วยการสืบทอดเผ่าพันธุ์ต่อเนื่องมาอย่างนี้ลูกหลานของพวกเขาจึงกลายเป็นคนพื้นเมืองของหุบเขาปีศาจไปโดยปริยาย”

เย่ว์หยางลอบปาดเหงื่อ โชคดีที่เขาไม่ได้ปล่อยองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนออกมาฝ่าด่านด้วยกัน  มิฉะนั้นก็พวกเขาแต่ละคนคงไม่มีคะแนนเพียงพอผ่านด่านหุบเขาปีศาจได้นั่นจะเป็นเรื่องที่น่าปวดเศียรเวียนเกล้า ด่านหุบเขาปีศาจนี้ทันทีที่เข้ามาจะถูกกฎสวรรค์จดจำโดยอัตโนมัติและจะได้รับสถานะของผู้ท้าทายผ่านด่านไม่ว่าจะเป็นสุดยอดนักสู้แกร่งหรือเป็นนักสู้ผู้อ่อนแอก็ตามไม่มีการกำหนดว่าจะเป็นเจ้านายหรือคนรับใช้ ก่อนหน้านี้ไม่ว่าจะเป็นนางพญาเฟ่ยเหวินหลีหรือจักรพรรดิอวี้หรือนักสู้หอทงเทียนคนอื่นๆ ทุกคนจะบุกฝ่าด่านหุบเขาปีศาจด้วยกำลังของพวกเขาเอง  พวกเขา ไม่มีใครทะลวงผ่านช่องโหว่ได้ และพวกเขาไม่รู้ว่ามีช่องโหว่เช่นนั้น

“ท่านน่าจะพูดให้เร็วมากกว่านี้  ถ้าข้ารู้อย่างนั้น ข้าจะพาคนมาสักพันคน”  เย่ว์หยางปากพูดเช่นนั้นแต่ในใจคิดว่าคงไม่ทำอย่างนั้น เขามีความตั้งใจท้าทายผ่านด่านอย่างแน่วแน่

“ต้องการฟังตาแก่อย่างข้าพูดคุยรายละเอียดในหุบเขาปีศาจไหมหรือว่าจะไม่สนใจปล่อยผ่าน?” ชายชรากล่าวว่าเขาคือผู้แนะนำที่มีคุณสมบัติมากพอ

“ท่านคิดเงินค่าฟังคำอธิบายด้วยไหม?”  เย่ว์หยางตื่นตัวคลำกระเป๋าเงินตนเอง

“เหลวไหล” คำถามของเจ้าเด็กนี่ทำให้ชายชราไม่พอใจ ใครเล่าจะทำงานให้เปล่าๆ?

“ไม่สนใจของแบบนั้น!” งั้นเงินของเย่ว์หยางก็ใช้ไม่ได้ แม้ว่าเขาจะไม่ใช่คนขี้เหนียว ขนหน้าแข้งแข็งเหมือนเหล็ก  แต่ก็ต้องการคำยืนยันให้แน่ใจ

“อัญมณีระดับหก หรือสูงกว่านั้น 100 เม็ด”  ชายชรายิ้มหน้าบานเป็นกระด้งเขายื่นมือออกมาหน้าตาเฉยนิ้วเหี่ยวแห้งของเขามองดูเหมือนกับผีตายอดตายอยากขออาหาร

“ท่านจะเอาไปทำไม?”  เย่ว์หยางปฏิเสธ

“ผิดแล้ว, รับไว้ก่อนดีกว่า  ไม่มีอัญมณี ข้าเก็บตราฝ่ายเทพไว้นี่  ถ้าเจ้าไม่มีมันไว้  ต่อให้เจ้าฆ่าอสูรไปหมื่นตัวเจ้าจะไม่ได้รับคะแนนใดๆ ท้ายที่สุดเจ้าก็ต้องกลับมาหาข้าเพื่อแลกเข็มตราเทวทูต  หากเจ้าต้องการแลกเปลี่ยนในภายหลังข้าไม่ว่าไม่รีบร้อนอยู่แล้ว แต่เจ้าต้องเอาอัญมณี 200 เม็ดมาแลก”  ชายชราหัวเราะน่ากลัว

“ข้าอยากใช้มีดฆ่าเจ้าจริงๆ เลย...”  ถ้าเย่ว์หยางไม่พบว่าชายชราหน้าเลือดผู้นี้มีพลังปราณราชันย์อย่างน้อยระดับเก้า  เขาคงโกรธไปนานแล้ว

“เฮ่ย.. ถ้าเราผู้เฒ่าอารมณ์ไม่ดี  ข้าจะขึ้นราคา”  ชายชราบอกว่าเขาไม่เห็นแก่หน้า  มิฉะนั้นใบหน้าชราของเขาคงทนอยู่ไม่ได้

“งั้นให้สิ่งนี้กับเจ้า” เย่ว์หยางล้วงอัญมณีฝนดาวตกระดับหกออกมามากกว่าห้าสิบเม็ด และส่งให้ผู้เฒ่า

“นี่นับว่าไม่เลวแต่ยังไม่มีค่าเท่ากับอัญมณีระดับหก ร้อยเม็ด” สายตาของชายชรามองดูชั่วร้าย

“เจ้าไม่ต้องการหรือ?”  เย่ว์หยางชักดาบจันทร์เสี้ยวของเขาออกมาและคว้าคอเสื้อของชายชราถ้าชายชรากล้าพูดว่าไม่มากพอ เขาจะฆ่าชายชราโลภมากผู้นี้! คุณชายสามตระกูลเย่ว์ไม่เคยถูกคนอื่นขู่กรรโชกทรัพย์    วันนี้เขาถูกฉีกกระเป๋าทำให้อารมณ์ของเขาไม่ดี ถ้าเขาอารมณ์เสียแล้ว อีกฝ่ายยังจะพูดต่ออีกหรือ?

“อย่าวู่วาม ความวู่วามทำให้เกิดจิตมาร พ่อหนุ่ม อย่าวู่วามเจ้าอารมณ์จนเกินไปนัก บางครั้งเมื่อถอยหลังกลับมาดู  เจ้าอาจแสวงหาผลประโยชน์จากภัยพิบัติได้” ชายชรารู้ว่าเย่ว์หยางไม่ใช่คนที่จะฉุดรั้งได้ง่ายแค่ยอมควักมุกฝนดาวตกระดับเจ็ดออกมาก็นับว่าเป็นขีดจำกัดของเขาแล้ว

เขาเก็บมุกฝนดาวตกไว้และไม่สนใจสายตาดุดันของเย่ว์หยาง

เขามองแล้วมองอีก

จากนั้นเขาถอนหายใจสองครั้ง  “ยอมแพ้เสียเถอะ ของสิ่งนี้ราคาเทียบกับอัญมณีระดับหกร้อยชิ้นจริงๆ  ช่างเถอะ ถือว่าข้าตาเฒ่าโลภไปเองก็ได้!”

เย่ว์หยางพาดดาบจันทร์เสี้ยวที่ก้านคอชายชรา  “เหลวไหล, เราคุณชายจะฆ่าแล้วเอาสมบัติสิ่งของๆ เจ้าคืน”

ตอนนี้เขายิ่งหงุดหงิดรำคาญมากขึ้น

แม้แต่ตาเฒ่าก็ยังวางก้ามเป็นเจ้านาย

ชายชราไม่ทราบว่าผ่านคลื่นผ่านลมมามากมายเพียงไหนสีหน้าของเขายังคงสงบ  เขายิ้มและป้ายตราฝ่ายเทพเปลี่ยนเป็นเทวทูตหญิงมีปีกถือดาบและโล่  แต่ที่หน้าผากของเทวทูตสตรีมีเพชรเจ็ดสีขนาดเมล็ดข้าวเปล่งประกายแสง   ดาบและโล่ของป้ายตราเทวทูตเป็นทอง

“มีของสิ่งนี้เจ้าสามารถดำเนินการฆ่าเหล่าอสูรกำจัดเหล่าอสูรได้ คะแนนสะสมของเจ้าสามารถพบได้ในรูปปั้นเทวดาในเมืองต่างๆ ที่เป็นฝ่ายเทพ  คนแก่อย่างข้ารับผิดชอบแต่ภารกิจหลักบางทีภายในนั้นอาจมีภารกิจเสริมต่างๆ ถ้าเจ้าชอบงานท้าทาย เจ้าไปต่อได้เลย ไม่ต้องกังวลเรื่องประหยัดเวลา เมื่อคะแนนของเจ้าถึงกำหนดเกณฑ์เจ้าสามารถเข้าสู่ประตูเทเลพอร์ตภายใต้รูปปั้นเทวดาตนแรกได้”  ทัศนคติที่ชายชรามีต่อเย่ว์หยางยังนับว่าดีแม้ว่าเขาจะถูกข่มขู่แต่เขายังยิ้มอยู่ได้

“บอกข้ามาตรงๆ ดีกว่า จะผ่านไปด่านที่เจ็ดหุบเขามนุษย์ได้อย่างไร?” เย่ว์หยางถ้าเขาไม่ต้องการไปฆ่าจอมปีศาจไคเทียนในที่ลับวิหารปีศาจฟ้าในด่านที่หก  เขาไม่ต้องการมีส่วนร่วมในการฆ่าฟันสัตว์ประหลาดและปีศาจ  เวลาเป็นเงินเป็นทอง ทำไมต้องยอมเสียเวลาด้วย?

“ถ้าไม่ผ่านการทดสอบในด่านที่หก  เจ้าจะเข้าด่านที่เจ็ดไม่ได้  ต่อให้เจ้าเข้าไปได้เจ้าก็ไม่ใช่ผู้ท้าทายขอผ่านด่าน” ชายชราพูดว่าบางอย่างต้องทำอย่างรวดเร็ว แต่ต้องทำเป็นขั้นเป็นตอน

“หวังว่าภารกิจของหุบเขาปีศาจจะไม่น่าเบื่อเกินไป”  เย่ว์หยางถอนหายใจ  ต่อให้น่าเบื่อ เขาก็ต้องเข้าด่านหุบเขาปีศาจ

เพราะไอ้เกมเทพเจ้าบ้าบอนี่ไม่มีหน่วยงานรับร้องเรียนไม่มีทางที่เขาจะเรียกร้องพร่ำบ่นอะไรได้เลย

นึกเสียว่าเดินทางท่องเที่ยว

เย่ว์หยางปลอบใจตัวเอง

ก่อนจะเข้าประตูเทเลพอร์ต ผู้เฒ่าจู่ๆก็พูดขึ้น  “เด็กน้อย,ที่นี่สนุกกว่าที่เจ้าคิด และจะไม่ทำให้เจ้าผิดหวังแน่!”

“...เจ้าจะขู่คนอื่นให้พวกเขากลัวหรือเปล่า?”  เย่ว์หยางแทบไม่ได้ทำให้เขากลัวเลย  เพราะเขาหัวหงอกอยู่แล้ว

เขาถือป้ายตราฝ่ายเทพเข้าประตูเทเลพอร์ตที่สุดทางเดินและในไม่ช้าเขาหายตัวไปปรากฏอยู่ที่ใจกลางค่าย ค่ายนี้ดูง่ายกว่าค่ายทหารรับจ้างในทวีปมังกรทะยานเสียอีก ปราการที่ล้อมรอบสร้างขึ้นจากไม้ตอกล้อมเป็นวงกลม  เย่ว์หยางกล้าพูดได้เลยว่าฝีมือช่างอย่างนี้ถ้าเป็นช่างฝีมือห่วยที่สุดจากทวีปมังกรทะยานมาเอง  เขาเชื่อว่ายังทำได้ดูดีกว่านี้

สิ่งเดียวที่เขารู้สึกก็คือใจกลางค่ายที่สร้างขึ้นง่ายๆอย่างนี้ ด้านหลังของเขามีรูปปั้นเทวรูปที่เปล่งรัศมีเจิดจ้า

รูปปั้นเทวทูตนั้นสูงประมาณสิบเมตร  ใต้ฐานเทวรูปมีเสาแก้วผลึกสูงมากกว่าสามเมตร

มีการสลักชื่อ หมายเลขทำเครื่องหมายไว้บนเสาแก้วผลึก

ในรายชื่อเหล่านั้นชื่อจีอู๋ลี่ปรากฏเป็นสีแดงสดใสอยู่ในอันดับที่หนึ่ง โดยมีตัวเลขต่อท้าย 10,001

ลำดับที่สองคือชื่อของนางพญาเฟ่ยเหวินหลีมีตัวเลขต่อท้ายคือ 9876

ชื่อคนที่สามถึงแปดเย่ว์หยางไม่รู้จัก

คนที่เก้าชื่อจ้านฟง จักรพรรดิอวี้หมายเลขต่อท้ายของเขาคือ 3512 ขณะที่ชื่อที่สิบเป็นชื่อของเจ้าตำหนักแสงแห่งตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์จงหัว  เย่ว์หยางรู้จักชื่อนี้ แต่คงไม่กล่าวทักทายเขาอย่างเป็นทางการแน่  เขาไม่คิดว่าจะเป็นคนผู้นี้  ต่อมาเขาพยายามค้นหาอยู่นานพบว่าในตำแหน่งที่97 มีชื่อคุก แคริบเบียน มีเลขต่อท้ายคือ 1946

“สิ่งที่เจ้าเห็นก็คือบันทึกและคะแนนสะสม”  บุรุษร่างใหญ่ในชุดเกราะหนังขาดรุ่งริ่งก้าวเข้ามาข้างหน้าและพูดคุยกับเย่ว์หยางในทันที  “เจ้าเป็นผู้เข้าทดสอบผ่านด่านคนใหม่ ตามหลักการสามารถเข้ามาถึงด่านนี้ได้  พลังของเจ้าผู้นี้ย่อมไม่เลว  แต่เจ้าดูเหมือนแค่เพิ่งถึงระดับปราณฟ้า...ช่างเถอะ... บางทีการมาถึงที่นี่ของเจ้าอาจไม่อยู่ในความควบคุมของเจ้า แต่อย่างไรก็ตามในเมื่อมาถึงโลกที่โหดร้ายนี้ได้แล้ว  แม้ว่าจะไม่มีความหวังจากไปได้  แต่การรักษาชีวิตไว้ได้ก็เป็นเรื่องสำคัญมาก  เจ้าจะต้องเป็นผู้กุมโชคชะตาของตนเอง!  สวัสดี ข้าชื่อมาร์คและข้าเป็นผู้บังคับกองพันที่ 1385 ไม่ว่าเจ้าจะเต็มใจเข้าร่วมกับเราหรือไม่ก็ตาม ค่ายของเราจัดเตรียมสถานที่ตั้งค่ายที่ปลอดภัยให้เจ้าในช่วงเวลาที่อันตราย  ว่าแต่อสูรศึกของเจ้าเล่า?”

“นางเบื่อนิดหน่อย ก็เลยกลับไปพักผ่อน”  เย่ว์หยางชี้ไปที่หมายเลขและจำนวนต่อท้ายและถาม“บันทึกของจีอู๋ลี่นำหน้านางพญาผู้พิชิตได้อย่างไร?”

“เจ้าปีศาจนั่นสะสมคะแนนได้แล้วยังไม่ยอมจากไปกลับใช้เวลาต่ออีกสองสามเดือนกว่าจะทำลายสถิติของนางพญาผู้พิชิตและออกไปได้และคนของเขาก็ร่วมมือกันเก็บคะแนนให้แบบไร้ยางอาย ข้าไม่รู้ว่าพวกเขามาเป็นกลุ่มเดียวกันหรือไม่...  ปีศาจร้ายจีอู๋ลี่มีพลังระดับกึ่งเทพ  แต่รั้งอยู่ในหุบเขาปีศาจเพื่อฆ่าคนอ่อนแออย่างเรา  เจ้าสุนัขนั่นสมควรถูกลงโทษ!” เมื่อบุรุษร่างใหญ่ชื่อมาร์คพูดถึงจีอู๋ลี่ดวงตาของเขากลายเป็นสีแดงและไม่พอใจ คาดว่าญาติและสหายของเขาหลายคนคงตายในเงื้อมมือของจีอู๋ลี่

“นอกจากนี้ยังมีเจ้าหน้าตัวเมียจงหัวหน้าเหมือนมนุษย์แต่ใจสัตว์ร้าย ปรากฏว่าเขาอยู่ฝ่ายของจีอู๋ลี่  ฝ่ายเทพของเรา เขาทำลายฝ่ายเทพเราอย่างสนุกมือ”มีบุรุษตัวเตี้ยกว่าอีกคนลักษณะแข็งแกร่งตะโกนร้องด้วยความโมโห

“เราทุกคนถูกหลอก!”

“เป็นความอัปยศที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบหลายพันปี!”

“เป็นการโจมตีทำร้ายที่หนักหน่วงที่สุดคงยากจะฟื้นตัวในอีกหลายพันปี หลังจากการเข่นฆ่าสังหารของจีอู๋ลี่ครั้งนี้ฝ่ายเทพคงยากจะฟื้นตัวในรอบพันปีนี้อีก!”

“ถ้าไม่ใช่เพราะข้าไม่มีความแข็งแกร่งมากพอ...” คนที่อยู่รอบๆได้ยินการพูดคุยถึงจีอู๋ลี่ต่างรายล้อมประณามความน่ารังเกียจของผู้ผ่านด่านจากตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์

“ฟังแล้วไม่น่าพอใจเลย”  สำหรับการผ่านด่านทดสอบของหุบเขาปีศาจตอนแรกเย่ว์หยางไม่มีแรงจูงใจ แต่ตอนนี้จีอู๋ลี่ไร้ยางอายเกินไป เขาเกิดแรงบันดาลใจทันที เขารู้สึกว่าต้องทำลายสถิติสูงสุดของจีอู๋ลี่ มิฉะนั้นคงยากที่จะทำให้เขาระงับความโกรธที่จีอู๋ลี่เจตนาเก็บคะแนนเพื่อทำลายสถิติของนางพญาเฟ่ยเหวินหลี!

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด