ตอนที่ 1036 เข้าด่านที่หก หุบเขาปีศาจ
จักรพรรดิหัวซิ่วรี่และจักรพรรดินีราตรีไม่สามารถไปมิติดินแดนทดสอบฝีมือกับเย่ว์หยางได้ อยู่ต่อหน้าทั้งสองคนนี้เย่ว์หยางยังคงเจ้าคารมคมคาย
สองคนนี้ไม่เหมือนกับจุ้ยมาวอี้หรือโล่วฮัวเขาไม่อาจใช้คำพูดกดดันได้
จะมากจะน้อยเขาต้องพูดไปตามขั้นตอน
เกี่ยวกับความรู้สึกถึงพลังในขอบเขตใหม่ของเขาพวกเขาพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ได้อย่างไม่มีปัญหา
จักรพรรดินีราตรีชื่นชมเย่ว์หยางที่ฉวยโอกาสหลอมรวมแกนพลังงานวงเวทรูนยักษ์นั่นเป็นจุดสำคัญทำให้ศักยภาพของเย่ว์หยางเพิ่มขึ้นอีกครั้ง จักรพรรดิหัวซิ่วรี่สนใจสาวยักษ์น้ำและช่วงเวลาที่เย่ว์หยางเสี่ยงเข้าไปที่ทางเข้าโบราณ น่าเสียดายที่ทั้งสามพูดคุยรายละเอียดกันนานแต่ไม่สามารถตัดสินได้ว่าสาวยักษ์น้ำผู้งดงามและใจดีนั้นเป็นเทพโบราณตนใด แต่น่าจะตัดสินได้ว่าสร้อยจันทร์เสี้ยวที่นางมอบให้หลิวเย่เป็นสมบัติเดิมของเจ้าตำหนักน้ำคนก่อน “ด้วยความแข็งแกร่งระดับปัจจุบันของเจ้า การผ่านด่านที่หกหุบเขาปีศาจไม่ใช่เรื่องยากแน่นอนแต่ด่านที่เจ็ด หุบเขาแห่งชีวิต หุบเขามนุษย์คงไม่ใช่เรื่องง่ายนั่นเป็นอุปสรรคที่ไม่สามารถฝืนทำให้สำเร็จได้” จักรพรรดิเมื่อเห็นเย่ว์หยางจะไป เขาส่งเสียงพึมพำเบาๆ
“ฝ่าบาทเคยไปมิติทดสอบฝีมือหรือไม่?” เย่ว์หยางประหลาดใจ
“ไม่, ข้าเพิ่งจะได้ยินคนพูด” จักรพรรดิปฏิเสธ แต่เย่ว์หยางมั่นใจเต็มร้อยว่าจักรพรรดิเคยไปอย่างแน่นอนนอกจากนี้จะต้องผ่านไปถึงด่านที่เจ็ดหุบเขามนุษย์เป็นอย่างน้อย
“ข้าเองก็อยากไปดู แต่ช่วงนี้ไม่มีเวลา” จักรพรรดินีราตรีพูดด้วยน้ำเสียงต่างจากจักรพรรดิหัวซิ่วรี่ นางไม่เคยไปมิติดินแดนทดสอบฝีมือแน่
ถ้าฝ่าบาทเคยไปมิติดินแดนทดสอบฝีมือ นั่นก็ต้องก่อนหอทงเทียนถูกผนึกเส้นทางเชื่อมแดนสวรรค์ไม่ใช่หรือ
นั่นอย่างน้อยก็หกพันปีที่แล้ว
ถ้าถือตามตรรกะนี้ ปีนี้ฝ่าบาทจะอายุเท่าไหร่?
ฝ่าบาทจะแก่กว่าจักรพรรดิอวี้ในอดีตหรือไม่นักสู้ผู้แข็งแกร่งที่สุดในช่วงต่อจากนางพญาเฟ่ยเหวินหลี แต่ก่อนจักรพรรดิอวี้ยังมีหรือไม่
เย่ว์หยางไม่กล้าคิดอีกต่อไป เพราะถ้าคำตอบถูกเปิดเผยเขากลัวว่า ความสัมพันธ์กับฝ่าบาทในอนาคตจะน่าอึดอัด จะไม่เป็นแบบสบายๆอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ได้อีกต่อไป อาจจะสับสนเล็กน้อย แต่ว่าแกล้งทำเป็นไม่รู้อะไรเลยคงจะดีกว่า
เขาอุ้มเด็กหญิงที่หลับปุ๋ยไม่รู้เรื่องราวอะไรกลับไปพบแม่สี่และที่ประตูวัง จุ้ยมาวอี้ เด็กหญิงแพนด้าเข้ามาหาเงียบๆ
พวกนางรู้ว่าเย่ว์หยางตามหาสนทนากับฝ่าบาทนางจึงไม่กล้าเข้าไปอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า แต่เป็นการยืนยันว่านางใส่ใจ
หลังจากกลับมาพบกันในวันต่อมา องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยน โล่วฮัวอี้หนานและเย่ว์ปิงที่ฝึกอยู่โลกพฤกษาบันไดสวรรค์ ทราบข่าวก็รีบกลับมาสมทบทันที พวกนางได้รับแจ้งข่าวว่าพวกเย่ว์หยางไปที่ทางเข้าโบราณพร้อมกับหลิวเย่ หลิวเย่ได้รับสร้อยจันทร์เสี้ยวของวิเศษชั้นเทพ เย่ว์หวี่พี่สาวที่นุ่มนวลก็มาเช่นกันต่อมาเซี่ยอี ไห่หลาน ไป่ลู่ลี่เยี่ยนและสาวใช้ลูกครึ่งเอลฟ์ออกเดินทางจากทะเลฝนดาวตกมายังวังเทียนหลัว
ปกติถ้าเย่ว์หยางไปหาประสบการณ์จะไม่พาสุ่ยอู๋เหินไปด้วย
ครั้งนี้ยกเว้นจริงๆ
เขาไปพบกับอู๋เหินที่สถาบันฉางชุนเถิงโดยเฉพาะเจาะจง
บางทีด่านที่หกหุบเขาปีศาจ อู๋เหินไม่จำเป็นต้องช่วย แต่จากคำแนะนำของฝ่าบาทและนางพญาเฟ่ยเหวินหลีน้ำเสียงของพวกเขาบอกนางจะช่วยในด่านที่เจ็ดได้ดีกว่า
เขากล่าวอำลาแม่สี่ลาจักรพรรดิหัวซิ่วลี่และจักรพรรดินีราตรี อำลาจุนอู๋โหย่ว อาจารย์จิ้งจอกผู้เฒ่าเย่ว์ไห่ ฯลฯ ผู้อาวุโสอื่นๆ เป็นครั้งแรกที่เย่ว์หยางพาทุกคนไปยังมิติดินแดนทดสอบฝีมือด้วยกัน ในเมืองลู่หลิว เย่ว์หยางและองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนไปรอพบราชันย์ปีศาจใต้และนางเซียนหงส์ฟ้าอยู่นาน
พวกนางมีประโยชน์อย่างมาก
ถ้าเสวี่ยอู๋เสียได้สติ อย่างนั้นเย่ว์หยางคงไม่มีอะไรต้องเสียดาย...น่าเสียดายที่สาวหิมะยังคงอยู่ในภาวะจำศีลไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะหลอมรวมกับประกายเทพได้เสร็จสมบูรณ์
“ด่านที่หกหุบเขาปีศาจ เราไม่จำเป็นต้องกังวลมากเกินไป แต่ในหุบเขาด่านที่หกนี้มีวิหารปีศาจฟ้าซ่อนอยู่ ข้างในมีจอมปีศาจไคเทียนเป็นยอดฝีมือยุคโบราณที่พิชิตแดนสวรรค์ซ่อนตัวอยู่เรายังไม่สามารถทำความเข้าใจได้ เสี่ยวเหวินหลี อาหงส์ อาหมัน เจี้ยงอิง เว่ยหลาย (น้องตั๊กแตน) ตั่วตั่วพวกเจ้าต้องเป็นกำลังหลักแสดงฝีมือ เราจะโค่นจอมปีศาจไคเทียนด้วยกัน!” เย่ว์หยางไม่ต้องการพาองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนไปปะทะกับจอมปีศาจไคเทียนโดยตรง ความแข็งแกร่งเป็นปัจจัยอย่างหนึ่ง พวกนางเป็นผู้สำคัญที่สุด ถ้าตายในการต่อสู้เป็นไปไม่ได้ที่จะคืนชีพ จอมปีศาจไคเทียนแข็งแกร่งระดับไหน เย่ว์หยางยังไม่เข้าใจ เขาไม่ต้องการให้เกิดความเสียหายแก่ฝ่ายของเขา
“อิคคาเล่า?” เจี้ยงอิงช่างสังเกตและพบว่าเย่ว์หยางไม่ได้พูดถึงชื่ออิคคา
“นาง, ข้าต้องการให้นางเอาชนะอุปสรรคในหุบเขาปีศาจ” แผนของเย่ว์หยางก็คือให้อิคคาและสองพี่น้องอาเหยาอาหยูอยู่ในหุบเขาปีศาจพยายามเอาชนะอุปสรรคโดยมีภูตฟ้าปั่นป่วนคอยช่วยเป็นกำลังเสริมถ้าเป็นไปได้เย่ว์หยางก็คิดจะเอาอาเหยาและอาหยูเข้าวิหารปีศาจฟ้าและใช้พลังอาวุธเทพร่างมนุษย์ต่อกรกับจอมปีศาจไคเทียน
เทียบกับหุบเขาปีศาจแล้วสู้กับจอมปีศาจไคเทียนยากลำบากอย่างมิต้องสงสัย
ขณะที่พวกองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนเย่ว์หยางตัดสินใจไว้ให้พวกนางลงมือที่ด่านที่เจ็ดหุบเขามนุษย์เพราะในเวลาที่กำหนดไว้นั้น เป็นไปได้ว่าเย่ว์หยางอาจได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้กับจอมปีศาจไคเทียน
เมื่อไปถึงด่านที่เจ็ดจะมีเงื่อนไขยอมให้กลุ่มขององค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนช่วยเขาได้มากขึ้น
ไม่ว่ายังไงก็ตาม จำเป็นต้องใช้พลังมากขึ้น
เพราะจีอู๋ลี่ยังอยู่ในสภาพที่ดีกว่า
เจ้าผู้นี้เป็นศัตรูที่แข็งแกร่งทรงพลังที่สุด!
หลังจากใช้เวลาพักในเมืองลู่หลิว เย่ว์หยางพาอสูรน้อยทงเทียนแมงป่องดาวฟ้า อสูรเทาเถี้ยเด็กสาวยักษ์เสี่ยวเสี่ยวเอินไปด้วยกัน เพราะมีฮุยไท่หลางรั้งอยู่ เมื่อสถานการณ์ในภูมิภาคสวรรค์ไม่สงบเย่ว์หยางให้เย่คง เจ้าอ้วนไห่ และเสวี่ยทันหลางรั้งอยู่ ทั้งยังมีฮุยไท่หลางอยู่ด้วยต่อให้พบเจอศัตรูแข็งแกร่งทรงพลังไม่คาดคิดก็น่าจะรักษาชีวิตรอดได้
น่าเสียดายที่จักรพรรดินีราตรีและจื้อจุนไม่สามารถเข้ามาในมิติแดนทดสอบฝีมือด้วยกัน มิฉะนั้นเย่ว์หยางคงมีความเชื่อมั่นเต็มร้อยว่าสามารถฆ่าจอมปีศาจไคเทียนหรือจีอู๋ลี่ก็ได้
ช่างเถอะ ปัญหาบางอย่างต้องก้าวข้ามให้ได้ นั่นจะทำให้เขาเติบโตอย่างแท้จริง
ก่อนออกเดินทาง เย่ว์หยางไม่ลืมเขียนจดหมายถึงหมิงเยี่ยกวงทำนองเหมือนกับว่าเขียนจดหมายรักในยุคนี้ เย่ว์หยางเขียนโดยใช้อักขระรูนโบราณ มีแต่อัจฉริยะทางภาษารูนเท่านั้นจึงจะอ่านได้ มิฉะนั้นเป็นไปไม่ได้ที่นางจะได้เห็นจดหมายรักของเขา..เหมือนกับตอนที่เขาออกมาจากด่านหุบเขาอสูร ด่านที่ห้าหลังจากผ่านไปหลายเดือน
ถ้าไม่รู้ว่าในอดีตหลายพันปีที่แล้วผู้ที่ทำสถิติผ่านด่านได้เร็วที่สุดก็คือนางพญาเฟ่ยเหวินหลีใช้เวลาอย่างน้อยหกเดือนกว่าจะผ่านไปถึงด่านที่เจ็ดได้ มิฉะนั้นเย่ว์หยางคงไม่ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดขนาดนั้นจะให้กัปตันคุกหยุดจีอู๋ลี่หรือ? เรื่องแบบนี้คงไม่ตลก จักรพรรดิแดนดินผู้นี้มีชื่อเสียงอยู่ในแดนสวรรค์ใต้เขาแทบผูกขาดการขนส่งทั้งหมดในแดนสวรรค์ใต้ แต่เมื่อเทียบกับจีอู๋ลี่อัจฉริยะอันดับหนึ่งของตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์และเป็นผู้สืบทอดของเจ้าตำหนักสูงสุดที่ดีที่สุด นับว่ายังด้อยกว่ามากมายนัก
เย่ว์หยางสงสัยว่าหนึ่งในหกของวิเศษในอดีต อย่างน้อยเกราะวิเศษคงตกอยู่ในมือของจีอู๋ลี่และเทียนอี้อาจารย์ของเขา
จีอู๋ลี่เข้ามิติดินแดนทดสอบฝีมือเพื่อเอาชนะอุปสรรคแสวงหาคัมภีร์เทพ
เขาจะนำของวิเศษชิ้นที่สี่เกราะวิเศษติดตัวมาด้วยหรือไม่?ยากจะพูดจริงๆ!
หากจีอู๋ลี่ได้รับการยอมรับจากของวิเศษนี่แล้ว ต่อให้เย่ว์หยางมีตราผนึกเทพจักรพรรดิอวี้และคทาเทพจักรพรรดิอวี้รวมทั้งดาบเทพจักรพรรดิอวี้ขององค์หญิงเชี่ยนเชี่ยน เขาอาจไม่สามารถสวมเกราะได้จีอู๋ลี่มีพลังระดับกึ่งเทพแล้ว “เลิกคิดเรื่องจีอู๋ลี่ไว้ชั่วคราวก่อน สาวหิมะยังไม่ตื่นอีกทั้งคทาเทพจักรพรรดิอวี้ยังขาดหัวด้ามมังกรและมุกระดับเทพ” เย่ว์หยางปล่อยวางความคิดที่น่าสนใจไว้ก่อน
“ข้ายังหลอมรวมกับดาบเทพจักรพรรดิอวี้ได้ไม่สมบูรณ์เลย!” องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนรู้สึกหนักใจเพราะหลิวเย่ได้สร้อยจันทร์เสี้ยวของวิเศษระดับเทพมาได้โดยไม่ต้องใช้ความพยายามใดๆหลังจากนางรู้นางหัวเสียมาก ทำไมนางไม่พบเทพเจ้าโบราณอย่างนี้บ้าง? นางเองก็อดคิดไม่ได้เช่นกันว่าถ้าไม่ใช่เพราะจักรพรรดิอวี้ให้สิทธิ์ใช้ดาบเทพกับเฉพาะลูกหลานดาบเทพนี้คงตกอยู่ในมือของเย่ว์หยาง
“แม่เสือสาวเจ้าไม่ต้องกังวลไป ข้ามีเวลาพอจะช่วยเจ้า ให้ข้าดู...” เย่ว์หยางกลัวที่สุดว่าองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนจะไม่ยอมให้เขาช่วยนาง ตอนนี้นางเห็นหลิวเย่ได้สร้อยจันทร์เสี้ยวเหมือนกับว่าจะช่วยเปลี่ยนทิฏฐิดื้อรั้นของนาง ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่เป็นเรื่องที่ดี
“ฮึ! เจ้ายุ่งเรื่องสำคัญของเจ้าก่อนเถอะ!” องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนแค่นเสียงเบาๆ จากนั้นถือดาบกลับไปฝึกฝนหลอมรวมต่อ
นางชอบทะเลาะกับเขา
ที่สำคัญคือนางไม่เพียงแต่ไม่ล่าช้าเท่านั้น แต่ยังจะสนับสนุนเขาได้เต็มที่
กล่าวคือ แม่เสือสาวปากหนักจะให้ถูกใจนางคงไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ไม่จำเป็นต้องกังวลมากไป
เขากลับมาที่มิติดินแดนทดสอบฝีมือ ด่านที่หก หุบเขาปีศาจ
หลังจากเข้าหุบเขาปีศาจ เย่ว์หยางเพียงแต่ให้อิคคานำทางคนเดียว
ที่นี่แตกต่างจากด่านที่ผ่านมาก่อนหน้านั้นหลายอย่าง อย่างเช่นด่านที่ห้าหุบเขาอสูรไม่ต้องมาเข้าที่ประตูหวนกำเนิด อย่างด่านที่สี่หุบเขาราคะทุกที่จะเต็มไปด้วยสิ่งที่หลอนประสาทส่วนโลกหุบเขาปีศาจ ไม่มีสิ่งที่เย่ว์หยางเคยจินตนาการไว้ก่อน ท้องฟ้าสีแดงเลือด พื้นมีแมกมาร้อนและกระดูกเต็มอยู่ทั่วทุกที่ สิ่งเหล่านี้ไม่ได้คงอยู่จริงๆ
ทางเดินเขาหุบเขาปีศาจเหมือนทางเดินเข้าเมืองใหญ่มีขนาดใหญ่โตมาก
มีความยาวเจ็ดแปดกิโลเมตรเป็นแนวโค้งสูงร้อยเมตร
ในตอนท้ายเป็นวังสีเขียวที่งดงาม
เย่ว์หยางก้าวเข้ามาก็พบโถงด้านหน้ามีโต๊ะทรายขนาดใหญ่วางไว้เหนือดินในพื้นที่หุบเขาปีศาจ
เย่ว์หยางหยุดสังเกตโต๊ะทรายอย่างระมัดระวังพบว่ากองกำลังทหารอยู่ในความดูแลของค่ายสองค่าย ค่ายแรกคือพันธมิตรแห่งเทพมีดาบเทพศักดิ์สิทธิ์เป็นเครื่องหมาย อีกค่ายหนึ่งพันธมิตรมารมีเคียวปีศาจโลหิตเป็นเรื่องหมาย คนที่เอาชนะอุปสรรคขัดขวางใดๆได้จะต้องเข้าร่วมกับค่ายใหญ่สองค่าย ค่ายใดค่ายหนึ่ง หากค่ายที่เข้าร่วมชนะในการรบแต่ครั้ง และคะแนนตรงตามข้อกำหนดในการผ่านด่าน จะถือว่าพวกเขาผ่านด่านได้สำเร็จ
ถ้ามองเพียงแต่ผิวเผินการเอาชนะอุปสรรคด่านที่หกหุบเขาปีศาจนั้นง่ายกว่าการผ่านด่านที่สี่หุบเขาราคะและด่านที่ห้าหุบเขาอสูร
ความจริงกลับไม่มีผู้ท้าทายแข่งขันใดสามารถผ่านด่านหุบเขาปีศาจได้
ในด่านที่หกหุบเขาปีศาจนี้จะคล้ายกับด้านหน้าของด่านหุบเขาอสูร ต้องเอาชนะอุปสรรคด้วยตนเองไม่สามารถเริ่มสู้รบโดยตรงได้ แต่ไม่ต้องเลี้ยงอสูรศึกเหมือนอย่างหุบเขาอสูรตราบใดที่กำหนดให้อสูรศึกเข้าร่วมกับหนึ่งในสองค่ายและตามล่าค่ายศัตรูเพื่อเก็บคะแนนและท่านอาจผ่านด่านได้สำเร็จ
สิ่งที่แตกต่างจากหุบเขาอสูรก็คืออสูรที่ฝึกในหุบเขาอสูรมีโอกาสเกิดใหม่สามครั้ง ถึงตายครั้งหนึ่งก็ยังไม่ถึงกับสิ้นหวัง
ในหุบเขาปีศาจ หากอสูรศึกตัวแทนออกรบตาย จะถูกหักคะแนน 100คะแนนเป็นอย่างน้อย อสูรศึกที่ไม่ใช่อสูรพิทักษ์จะไม่สามารถคืนชีพได้ตลอดไป และต้องใช้อสูรอีกตนหนึ่งส่งมาเป็นตัวแทนต่อสู้ เย่ว์หยางมองดูเงื่อนไขการให้คะแนนหลั่งเหงื่อเยียบเย็น เพราะเขาพบว่าการโจมตีเข่นฆ่าอสูรปราณฟ้าระดับห้าได้คะแนนสะสมหนึ่งคะแนน
หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือตราบเท่าที่ตายในการรบหนึ่งครั้ง อย่างนั้นก็ต้องฆ่าศัตรูร้อยตนเพื่อลบล้างคะแนนติดลบ
ยิ่งกว่านั้น ในหุบเขาอสูร เจ้านายของอสูรอาจถูกโจมตีได้
สิ่งที่แปลกประหลาดที่สุดก็คือการฆ่าเจ้านายของอสูรไม่สามารถทำคะแนนสะสมได้ ต้องฆ่าอสูรศึกก่อน จากนั้นค่อยฆ่าเจ้านายของอสูรเพื่อกำจัดศัตรูให้หมดไป
“เป็นยังไงบ้าง? น่าสนใจมากใช่ไหม?” เย่ว์หยางยิ้มเขามองดูสีหน้าที่จริงจังของอิคคา
“อืม!” อิคคาพยักหน้าจริงจัง นางจะไม่มีทางประมาทศัตรู
“จะร่วมกับกลุ่มไหน? คนรักความเป็นธรรมและใจดีอย่างข้าย่อมเข้าร่วมกับค่ายมารเพื่อรับงานภายในอยู่แล้ว” เย่ว์หยางเข้าลงทะเบียนในจุดลงทะเบียน
“ต้องขออภัย เพราะหลายพันปีที่ผ่านมาคนเข้าร่วมค่ายมารมีมากเกินไป ผู้เข้าแข่งขันหลายร้อยคนก่อนหน้าเจ้าต้องเลือกฝ่ายเทพ...” คำตอบของอีกฝ่ายทำให้เย่ว์หยางพูดไม่ออก ทำอย่างนั้นได้ด้วยหรือ?ก็แค่บอกมาว่าให้เลือกฝ่ายเทพก็จบไม่ใช่หรือ?
“อย่างนั้นเลือกฝ่ายเป็นกลางได้ไหม?” เย่ว์หยางพบว่ามีกองกำลังหลายแห่งที่อยู่ในพื้นที่เป็นกลาง
“ถ้าเจ้ายินดีจะอยู่ในโลกนี้ตลอดไป” คนท้องถิ่นระบุว่าเขาสามารถเลือกเป็นกลางได้
“.....” เย่ว์หยางหลั่งเหงื่อเยียบเย็น อยู่ที่นี่ตลอดไป? นั่นก็เท่ากับตายไปแล้ว!
“จะเลือกเป็นกลางไหม?” ฝ่ายตรงข้ามถามอย่างไม่แน่ใจ
“ไม่, เจ้าไม่เห็นหรือว่าอสูรศึกของข้าคือนางฟ้าสงครามก็ต้องเลือกพันธมิตรฝ่ายเทพนี้เป็นธรรมดา ข้าเป็นคนดี มีคุณธรรม เป็นวีรบุรุษที่คอยพิทักษ์บุปผางาม! ว่าแต่ขอถามหน่อยจีอู๋ลี่สหายของข้าเลือกค่ายไหน” เย่ว์หยางถาม
“จีอู๋ลี่เป็นสหายเจ้าหรือ? เจ้าคนชั่วร้ายบ้าคลั่งนั่นเลือกฝ่ายมาร เขาฆ่าคนเหมือนผักเหมือนปลาทำให้หุบเขาปีศาจกลายเป็นแม่น้ำโลหิต เขาออกไปจากหุบเขาเมื่อครึ่งเดือนที่แล้ว!” คนผู้นี้เมื่อได้ยินว่าเป็นสหายของจีอู๋ลี่ เขามองดูหน้าเย่ว์หยางราวกับเห็นฆาตกรหรือเพชฌฆาต
“บัดซบ...” เย่ว์หยางพูดไม่ออกอีกครั้งจีอู๋ลี่เลือกค่ายมารนี่เขายังสมควรเรียกพวกตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์ว่าเป็นฝ่ายพิทักษ์คุณธรรมอีกหรือ?