13. สายเลือดมังกรคลั่งอสนีบาต
พลังการป้องกันของมังกรปฐพีนั้นแข็งแกร่งเกินไป
ถึงแม้ว่าหนิงซีจะมีค่ากายภาพสูงถึง 29 จุด
ประกอบกับพรสวรรค์โหดร้ายระดับสีม่วงที่เพิ่มความแข็งแกร่งขึ้นมาอีกสี่เท่า
รวมกับทักษะดาบที่เพิ่มความเสียหายอีกสองเท่า ยังทำให้เขาทำได้แค่ตัดผ่านเกล็ดของมันเท่านั้น
หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น พวกเขาคงทำได้แค่ต้องเปลี่ยนเส้นทางเมื่อต้องเจอกับมังกรปฐพี
และไม่มีใครที่จะทำลายการป้องกันของมันได้
[คุณได้ฆ่ามังกรปฐพี ค่าประสบการณ์ +400 ได้รับสายเลือดมังกรปฐพี]
สุโค่ย! โชคดีเป็นบ้า! เขาได้รับสายเลือดมังกรปฐพี!
หนิงซีรู้สึกเหมือนตกอยู่ในความฝัน น่าเสียดายที่เขาไม่มีแต้มศักยภาพเหลือ
ไม่สามารถสังเคราะห์สายเลือดได้ทันที
เขาเลยต้องออกล่าสัตว์อสูรเวทย์ต่อไปเพื่อเพิ่มระดับ
จนถึง 23.00 น. ก็ได้ยินเสียงเตือนของระบบดังขึ้น
[นักรบสายเลือดยกระดับเป็นระดับ 6 (0/80,000)
กายภาพ +1, แต้มทักษะ +1, แต้มศักยภาพ +1]
เมื่อค่ากายภาพแตะถึง 30 มันก็เปรียบเสมือนเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญ
เขารู้สึกว่าความแข็งแกร่งโดยรวมเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล
เมื่อเทียบกับที่เคยเกิดขึ้นเมื่อก่อน มันเพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่า
ถ้าให้เขาล่ามังกรปฐพีอีกครั้งในตอนนี้ มันง่ายมาก
เมื่อนักรบสายเลือดถึงระดับ 6
ค่าประสบการณ์ที่ได้รับจากสัตว์อสูรเวทย์ระดับกลางจะลดลงเหลือ 300
ทำให้การเพิ่มระดับยากขึ้นเป็นสองเท่า
หนิงซีหยิบดาบสีดำบนพื้นขึ้นมา มันไม่สามารถใช้ได้อีกต่อไป
หากไม่มีดาบ เขาต้องฆ่าสัตว์อสูรเวทย์ด้วยกำปั้นเท่านั้น
มันจะยิ่งทำให้เขาเลื่อนระดับช้าลงไปอีก
“กลับไปเมืองโตวฮวางแล้ว หาของเพิ่มเติมดีกว่า”
หนิงซีออกจากระบบแล้วกลับไปที่เมือง รับประทานอาหารและพักผ่อน
สองชั่วโมงต่อมาเขาเข้าเกมอีกครั้ง
อวตารของเขากลับมาถึงเมืองโตวฮวางแล้ว
ตอนนี้เป็นเวลาตีหนึ่งแล้ว เขายืนอยู่บนเนินเขานอกเมืองโตวฮวาง
มองลงไปยังเมือง มันดูสว่างไสวและมีชีวิตชีวามาก
เมืองโตวฮวางไม่มีกำแพงเมือง
มีเมืองทั้งเมืองโอบล้อมศูนย์กลางที่จัตุรัสหอการค้าโตวฮวางเป็นรูปทรงกลมเป็นชั้นๆ
มีวงกลมซ้อนกันสามวงและถนนทั้งหมด 118 สาย
ถนนสายหนึ่งมีคนอาศัยอยู่ประมาณ 3,000 ถึง 5,000 คน
ทั้งเมืองมีประชากรประมาณ 500,000 คน
เมืองโตวฮวางจัดได้ว่าเป็นเมืองใหญ่เมืองหนึ่งบนทวีปโมเอน
รอบเมืองโตวฮวางมีชนเผ่าต่างๆ และหมู่บ้านของมนุษย์กระจายอยู่โดยรอบ
เมื่อรวมกับประชากรที่กระจัดกระจายเหล่านี้แล้ว เมืองโตวฮวางมีประชากรมากกว่าล้านคน
ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของจำนวนประชากรหรือที่ตั้งทางภูมิศาสตร์
เมืองโตวฮวางถือว่าเป็นสถานที่ที่มีศักยภาพมาก
จักรวรรดิแบรด จักรวรรดิโอเล และจักรวรรดิเอลเว่น ต่างก็ต้องการครอบครองดินแดนแห่งนี้
ทั้งสามจักรวรรดิต่างก็คุมเชิงซึ่งกันและกันอยู่ตลอดเวลา
ทำให้ดินแดนแห่งนี้กลายเป็นดินแดนแห่งความโกลาหลที่ไร้เจ้าของ
มีกลุ่มอำนาจสี่กลุ่มใหญ่ในโตวฮวาง
ประกอบไปด้วย หอการค้าสายเลือดแบรด, หอการค้ากริฟฟิน,
หอการค้าบทเพลงสนธยาแห่งป่าและพันธมิตรเมอร์คิวรี่
อำนาจเบื้องหลังของสามกลุ่มแรกคือจักรวรรดิทั้งสาม
ส่วนพันธมิตรเมอร์คิวรี่ เป็นองค์กรที่ก่อตั้งโดยนักผจญภัยในท้องถิ่นเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง
แต่ละกลุ่มอำนาจครอบครอง 10 ถนน
ส่วนถนนที่เหลือถูกครอบครองโดยหอการค้าและองค์กรอื่นๆ ทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็ก
ทุกกลุ่มที่ยึดครองถนนต้องเข้าร่วมหอการค้าโตวฮวาง
ถ้าหากมีการต่อสู้ระหว่างกลุ่มต่างๆ และส่งผลกระทบต่อการค้า
หอการค้าโตวฮวางจะยื่นมือเข้ามาเป็นคนกลาง
ทั้งสามกลุ่ม ร่วมกับหอการค้าโตวฮวางที่เป็นคนกลาง
แทบจะไม่สามารถรักษาสมดุลอันแสนปราะบางของเมืองโตวฮวางไว้ได้
หนิงซีขายแกนเวทมนตร์ที่ไม่มีประโยชน์ต่อเขาและซากสัตว์อสูรเวทย์ที่แบกมาให้กับร้านขายสายเลือด
ในราคา 1,400 เหรียญทอง สิ่งที่มีราคามากที่สุดคือแกนเวทมนตร์ของสัตว์อสูรเวทย์ระดับกลาง
แต่ละชิ้นมีมูลค่าถึง 100 เหรียญทอง
เมื่อเขามาถึงร้านตีเหล็กของคนแคระกิ๊กส์ เขาพบว่ามันปิดไปแล้ว
ปัง ปัง ปัง!
หนิงซีเคาะประตูเรียก
"ใครกันวะ? ร้านปิดแล้ว พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่!"
ปัง ปัง ปัง
“แม่X ไอ้บ้านี้มาจากไหนวะ? กล้าดียังไงมากวนเวลานอนของฉัน?
โอ้ พระเจ้าเรดดิ้งทรงโปรด วันนี้ฉันต้องเอาค้อนทุบหัวไอ้บ้านี้ให้ได้!”
ประตูเปิดออกดังเอี๊ยด
กิ๊กส์ยืนอยู่ที่ประตูด้วยใบหน้าโกรธจัด เขาถือค้อนเหล็กขนาดใหญ่ในมือ
ค้อนเหล็กปกคลุมไปด้วยแสงสีม่วงดำ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของอาวุธอุกกาบาต
ค้อนนี้หนักกว่าหนึ่งพันปอนด์ แต่กิ๊กส์ก็ถือมันไว้ได้อย่างง่ายดาย
กิ๊กส์ต้องมีทักษะบางอย่างจึงจะกล้าเปิดร้านในถิ่นป่าเถื่อนแบบนี้
หนิงซีเมินกิ๊กส์และเดินเข้าไปในร้านตีเหล็ก
เขาโยนดาบสีดำลงบนพื้นและพูดว่า
“มาสเตอร์กิ๊กส์ นี่เป็นอาวุธอุกกาบาตที่คุณโม้ไว้หรือเปล่า?
แค่ไม่กี่วันมันก็หงิกงอแบบนี้แล้ว มันทำให้ฉันต้องกลับเข้าเมืองก่อนเวลา”
กิ๊กส์ที่กำลังโมโหรีบระงับความโกรธทันทีที่เห็นดาบสีดำที่เสียหาย
เขาหยิบมันขึ้นมา สังเกตมันสักพักแล้วส่ายหัว
“คุณภาพของมันไม่มีปัญหา ฉันขายดาบให้คุณในราคา 15 เหรียญทอง
และเป็นราคาที่ยุติธรรมแล้ว ดาบเสียหายเพราะคุณใช้มันไม่ถูกต้อง”
หนิงซีไม่ได้สนใจดาบนั้นอีกต่อไป เขาเดินหาไปทั่วร้านแต่ไม่พบของดี
เขารู้ว่ากิ๊กส์ต้องมีของดีซ่อนไว้
เพียะ! เหรียญทองถุงหนึ่งถูกโยนลงบนโต๊ะ
“นี่คือ 200 เหรียญทอง ฉันต้องการดาบอุกกาบาตที่แท้จริง
แบบเดียวกับค้อนของคุณ”
กิ๊กส์รีบคว้าถุงเงิน หยิบเหรียญทองออกมานับ เมื่อนับเสร็จแล้ว ดวงตาที่เบิกกว้างก็หรี่ลงโดยไม่รู้ตัว
เคราของเขาหนาจนบังใบหน้าไปครึ่งหนึ่ง จึงไม่คาดเดาอารมณ์จากมุมปากของเขาได้
ได้แต่เดาจากดวงตาเท่านั้น ในตอนนี้เขายิ้มอย่างมีความสุข
"ว่าไง? ไม่ใช่ว่าคุณอยากเอาค้อนทุบหัวฉันเหรอ? ฉันตั้งตาคอยอยู่เนี่ย”
กิ๊กส์หัวเราะลั่นเมื่อได้ยินหนิงซีหยอกล้อ เขาหบิบเบียร์ดำจากในตู้มาจิบ เพื่อปกปิดความอับอาย
"ตามฉันมา!"
กิ๊กส์เปิดม่านเดินเข้าไปในห้องด้านใน มีหนิงซีเดินตามหลังมา
อาวุธที่นี่เปล่งประกายแตกต่างกัน เห็นได้ชัดว่าเป็นสินค้าคุณภาพสูง
ดีกว่าภายนอกมาก แต่ก็ยังไม่ตรงตามที่หนิงซีต้องการ
กิ๊กส์ยังคงไม่หยุด เขายกแผ่นไม้บนพื้นห้องด้านใน
เผยให้เห็นช่องที่พื้น จากนั้นเขาก็ไถลลงไป
หนิงซีไม่ได้ตามเขาไปในทันที อย่างแรก เขาต้องรอบคอบ
เขาไม่ทราบว่ามีอันตรายอะไรข้างล่างหรือไม่
อย่างที่สอง ช่องนี้ออกแบบมาสำหรับคนแคระ มันแคบมาก
หนิงซีไม่สามารถเข้าไปได้
หลังจากผ่านไปห้านาที
กิ๊กส์ก็ออกมาจากช่องพร้อมดาบใหญ่พิเศษยาวสองเมตร กว้างหนึ่งฟุต
ด้ามดาบยาวถึงครึ่งเมตร ตัวดาบยาวหนึ่งเมตรครึ่ง
นอกจากดาบจะกว้างแล้ว ตัวดาบยังหนาอีกด้วยและสันดาบหนาถึงสิบเซนติเมตร
ใบดาบไม่ได้บางเหมือนปีกจั๊กจั่นที่คมมาก แต่ใบดาบหนาถึงหนึ่งเซนติเมตร
ดาบเปล่งแสงสีม่วงดำ มันเป็นอาวุธอุกกาบาต
นอกจากความยาวและความหนาที่เกินจริงแล้ว
ดาบยังดูธรรมดาและไร้การตกแต่ง ด้ามจับและตัวดาบเป็นหนึ่งเดียวกัน
และไม่มีลวดลายแม้แต่นิดเดียว
กิ๊กส์ไม่ได้โอ้อวดเพื่อโขกราคาเหมือนอย่างเคย
เขามองไปที่หนิงซีเงียบๆ กับว่ากำลังพิจารณาเขาอย่างละเอียด
หนิงซีหยิบดาบยาวขึ้นมาและได้ยินการแจ้งเตือนของระบบ
[ดาบหนักอุกกาบาต น้ำหนัก 99 กิโลกรัม เป็นดาบที่สวยงามและยอดเยี่ยม
สามารถพัฒนาได้ สมบัติล้ำค่า ราคาอ้างอิง: 1,000 เหรียญทอง]
หนิงซีพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
“ฉันชอบดาบเล่มนี้ บอกราคามา ฉันจะซื้อมัน”
เมื่อเห็นว่าหนิงซีรู้คุณค่าของดาบ
กิ๊กส์ก็กล่าวว่า
"ดาบที่ดีสามารถขายให้กับผู้ที่โชคชะตาต้องกันเท่านั้น!
ดาบนี้เป็นผลงานชิ้นเอกของปู่ฉัน เอนเจน มันอยู่ในระดับใกล้เคียงอาวุธสายเลือดมากที่สุด”
มีประกายแห่งความเสียใจวาบผ่านสายตาของกิ๊กส์
“ดาบนี้หลอมโดยใช้เทคนิคพิเศษ มันใช้เหล็กอุกกาบาตตีผสมกับโลหะอื่นมากกว่าหนึ่งโหลเข้าด้วยกัน
ดาบทั้งเล่มขึ้นรูปเป็นชิ้นเดียวกัน ทำให้ปลดปล่อยคุณลักษณะของดาบออกมาได้สูงสุด”
หนิงซีพูดต่อว่า
“หนักและแข็ง? ดาบหนักเช่นนี้ไม่เหมาะกับความคม”
เป็นที่รู้กันว่าเมื่อใช้ดาบสังหารศัตรู ตัวดาบเองก็ได้รับการสึกหรอเช่นกัน
หากดาบบางเกินไป ก็จะใช้ได้ไม่กี่ครั้ง
กิ๊กส์พยักหน้าช้าๆ
“เมื่อฟันดาบเล่มนี้ ลมที่เกิดจากการฟันก็สามารถสังหารศัตรูได้
แม้ว่ามันจะไม่คม แต่ก็ยังตัดร่างศัตรูได้”
"เท่าไร?"
“2000 เหรียญทอง! ลดไม่ได้แม้แต่เหรียญเดียว”
กิ๊กส์เต็มไปด้วยความมั่นใจประหนึ่งว่าดาบเล่มนี้เป็นสินค้ายอดนิยม
“ดาบเล่มนี้เก็บอยู่ในห้องลับของคุณมานานเท่าไรแล้ว? 10 ปี? 20 ปี?”
“คุณแนะนำดาบนี้ให้กี่คนแล้ว? 100? 200?”
“ผลงานของคุณปู่คุณยังไม่พบผู้มีโชคชะตาต้องกันใช่ไหม?”
แต่ละครั้งที่หนิงซีตั้งคำถาม ใบหน้าของกิ๊กส์ก็น่าเกลียดขึ้นเรื่อยๆ
รูปร่างและน้ำหนักที่เป็นเอกลักษณ์ของดาบนี้
เหมาะสำหรับคนแบบหนิงซีที่มีพละกำลังมากเท่านั้น คนธรรมดาไม่สามารถใช้ได้
ในที่สุด กิ๊กส์ก็พูดด้วยใบหน้ามืดมนว่า
“ฉันไม่หลอกคุณแล้ว ดาบเล่มนี้ขายไม่ออกจริงๆ
มันกินพื้นที่ในคลังสินค้ามาก เอางี้ 500 เหรียญทอง เอาไปหรือไม่เอา”
หนิงซี เขาหยิบเหรียญทองอีกถุงโยนให้คนแครเจ้าของร้านโดยไม่พูดอะไร
จากนั้นเขาก็หยิบดาบหนักอุกกาบาตเดินออกจากร้านตีเหล็ก
หลังจากยอมแพ้กิ๊กส์ก็ดูไม่ดีนัก เขาหยิบถุงขึ้นมาและรู้สึกว่าน้ำหนักไม่ถูกต้อง
เขารีบเปิดมันและนับ มีทั้งหมด 800 เหรียญทอง รวม 200 เหรียญทองก่อนหน้านี้
หนิงซีจ่ายให้ทั้งหมด 1,000 เหรียญทอง
กิ๊กส์ยิ้มและปิดประตูอย่างมีความสุข เขาไปที่เตียงเพื่อนับเหรียญทอง
หนิงซียอมจ่ายถึง 1,000 เหรียญทอง เพราะเขาตระหนักถึงคุณค่าของดาบนี้
และไม่ต้องการให้มันถูกฝังอยู่ในมุมใดมุมหนึ่งของห้องเก็บของ
อีกประการหนึ่ง เขาต้องการผูกมิตรกับคนแคระคนนี้ด้วย
เขาคาดว่าเขาจะต้องอยู่ในเมืองโตวฮวางไปสักระยะหนึ่ง
ต่อไปคงมีโอกาสที่จะใช้บริการของช่างตีเหล็กอีกหลายครั้ง
แม้ว่าจะใช้เงิน 1,000 เหรียญทอง หนิงซีก็ยังทำเงินได้อีกมาก
ระบบบอกว่าดาบนี้สามารถพัฒนาได้ และเป็นสมบัติล้ำค่า
หนิงซีแวะซื้อยาและอาหาร จากนั้นก็ออกจากเมืองโตวฮวาง
และออกล่าสัตว์อสูรเวทย์ในป่าต่อไปเพื่อเพิ่มระดับ
หลังจากล่าสัตว์อสูรเวทย์เป็นเวลาสามวันเต็ม หนิงซีสะสมค่าประสบการณ์ได้ 80,000 แต้ม
[นักรบสายเลือดถึงระดับ 7 (0/160,000),
กายภาพ +1, แต้มทักษะ +1, แต้มศักยภาพ +1]
เขาสะสมแต้มศักยภาพ 2 แต้มได้แล้ว ถึงเวลาสังเคราะห์สายเลือดแล้ว!
[ใช้แต้มศักยภาพ 2 แต้ม สายเลือดแห่งหมีอำมหิตสายฟ้าหลอมรวมกับสายเลือดมังกรปฐพี
ได้รับ สายเลือดมังกรคลั่งอสนีบาต ศักยภาพระดับ 10 ดาว
พรสวรรค์ในการฟื้นฟูเลื่อนระดับเป็นสีม่วง
ได้รับพรสวรรค์ใหม่: อำนาจแห่งมังกร (สีน้ำเงิน) ร่างมังกร (สีน้ำเงิน)]
[การฟื้นฟู (สีม่วง): ฟื้นฟูอาการบาดเจ็บอย่างรวดเร็ว การงอกแขนขาใหม่]
[อำนาจแห่งมังกร (สีน้ำเงิน): ทำให้เกิดการกดขี่ในระดับหนึ่งต่อสายเลือดที่ไม่ใช่มังกร]
[ร่างมังกร (สีฟ้า): ค่ากายภาพเพิ่มขึ้น 50%]
สายเลือดมังกรคลั่งอสนีบาต!
ศักยภาพสายเลือดระดับ 10 ดาว ขีดสุดของศักยภาพ!
สิ่งสำคัญคือพรสวรรค์ร่างมังกร เพิ่มค่ากายภาพขึ้น 50%
ค่ากายภาพของหนิงซีมีอยู่ 31 จุดแล้ว หลังเพิ่มขึ้น
มันก็เพิ่มขึ้นเป็น 33 จุด (การเพิ่มค่ากายภาพไม่ใช่การเพิ่มแบบเส้นตรง
ยิ่งค่ากายภาพอยู่ในระดับที่สูงขึ้นเท่าไร ทุก ๆ การเพิ่ม 1 จุดจะมีผลกระทบที่มากเป็นทวีคูณ)
หนิงซีรู้สึกว่าค่ากายภาพของเขาน่าจะแข็งแกร่งกว่ามังกรยักษ์เสียอีก
ภายใต้ความสุขอย่างล้นเหลือ เมื่อมองไปที่ค่าประสบการณ์ที่เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าอีกครั้ง
หนิงซีก็ยิ้มไม่ออก ตอนนี้การฆ่าสัตว์อสูรเวทย์ระดับกลางจะได้รับค่าประสบการณ์เพียง 200 แต้มเท่านั้น...
ความเร็วในการเพิ่มระดับนั้นช้าลงเรื่อยๆ
หลังจากเดินไปรอบ ๆ เมืองโตวฮวางสองสามครั้งก็ยังคงไม่มีภารกิจ
หนิงซีเดาว่าเมื่อออกจากหมู่บ้านเริ่มต้น ภารกิจจะหายไป
เมื่อไม่มีภารกิจและไม่มีร่องรอยของสัตว์อสูรเวทย์ระดับสูง
หนิงซีทำได้เพียงแค่เพิ่มระดับโดยการฆ่าสัตว์อสูรเวทย์ระดับกลางอย่างช่วยไม่ได้