บทที่ 916 (37) ด้วยความยินดี(ตอนฟรี)
บทที่ 916 (37) ด้วยความยินดี
“ลุงเจิ้ง ผมเสี่ยวเฟิงนะครับ” จี้เฟิงพูดกับโทรศัพท์ด้วยรอยยิ้ม “... คืออย่างนี้ครับ ผมเพิ่งพบกับผู้จัดการใหญ่ของหรงเผิงกรุ๊ป เธอเป็นฝ่ายนัดเพื่อขอคุยเรื่องหรงเป่ากัง...”
จี้เฟิงเล่าเนื้อหาหลักของการพูดคุยระหว่างทั้งสองฝ่ายให้เจิ้งหยวนซานฟังอย่างคร่าวๆ แน่นอนว่าเขาละเว้นบางสิ่งบางอย่างที่ไม่จำเป็นไว้อย่างเช่น เรื่องที่เขาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับนิสัยของหรงเป่ากังและยอมรับค่าชดเชยจากหรงเผิงกรุ๊ปเป็นต้น เขาไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ แต่พูดถึงเหตุผลในการนัดพบของหรงซูเยี่ยนและคำขอของเธอเท่านั้น
“เสี่ยวเฟิง เธอหมายถึงอะไร?” เจิ้งหยวนซานถามจี้เฟิงทางโทรศัพท์ด้วยรอยยิ้ม
จี้เฟิงหัวเราะทันทีและกล่าวว่า “ไม่มีอะไรมากเลยครับ ตามข้อตกลงของผมกับหรงซูเยี่ยน ผมจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกต่อไป และโรงงานเซียวฟามาซูติคอลของเราจะไม่ยื่นฟ้องหรงเป่ากัง ส่วนที่เหลือจะเป็นธุระของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่จะจัดการตามขั้นตอนต่อไป ส่วนหรงเป่ากังจะโดนบทลงโทษแบบไหน เป็นเรื่องที่ผมไม่สามารถควบคุมได้อยู่แล้ว แม้ว่าจะต้องการก็ตาม..”
ในความเป็นจริง จี้เฟิงรู้ดีว่าเจิ้งหยวนซานอยากได้ยินคำตอบแบบไหนในคำถามนี้ หากการโทรมาของเขาเพื่อขอร้องให้เอาเรื่องหรงเป่ากังจนถึงที่สุด คงเป็นเรื่องยากสำหรับเจิ้งหยวนซานที่จะรับมือ
อย่างไรก็ตาม เจิ้งหยวนซานเป็นรองผู้อำนวยการสำนักเทศบาลนครเจียงโจวมีความสัมพันธ์อันดีกับจี้เจิ้นกั๋วเลขาธิการคณะกรรมการพรรคเทศบาลเจียงโจว บุคคลระดับนั้น ไม่ใช่ใครจะไปสั่งให้เขาทำอะไรก็ได้ตามใจ
แม้ว่าจี้เฟิงจะเป็นทายาทตัวน้อยของตระกูลจี้ แต่คงจะแย่หน่อยถ้าเขาโทรสั่งงานเจิ้งหยวนซานโดยตรง ผู้นำระดับรองผู้อำนวยการสำนักงานเมืองเองก็มีมาดที่ต้องรักษาหน้าของตัวเองไว้เช่นกัน ไม่ต้องพูดถึงว่าตัวจี้เฟิงไม่ได้อยู่ในสายระบบงานราชการด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับการที่เจิ้งหยวนซานต้องเชื่อฟังคำสั่งของจี้เฟิง พฤติกรรมแบบนั้นมันค่อนข้างจะล้ำเส้นกันเกินไป!
ดังนั้นจี้เฟิงจึงอธิบายทันทีว่าเขาหมายถึงอะไร
แน่นอนว่าหลังจากที่ได้ยินเรื่องนี้ เจิ้งหยวนซานก็หัวเราะทันทีและพูดว่า “เสี่ยวเฟิง เธอเป็นเด็กที่ฉลาดเลือกจริงๆ! แต่ไม่เป็นไร ยังไงเราก็ต้องดำเนินตามขั้นตอนทางกฎหมายต่อไปอยู่ดี”
ตามการคาดเดาของเจิ้งหยวนซาน เขาคิดว่าจี้เฟิงน่าจะได้ผลประโยชน์บางอย่างที่สำคัญจากหรงซูเยี่ยน ดังนั้นเขาจึงหยุดไล่บี้หรงเผิงกรุ๊ป และเลือกที่จะมอบเรื่องนี้ให้ทางตำรวจจัดการโดยสมบูรณ์โดยที่ตัวเขาจะไม่ข้องเกี่ยวอีก
มันต้องมีอะไรบางอย่างถึงได้เลือกวิธีการนี้ และมันก็ไม่สามารถซ่อนจากสายตาของเจิ้งหยวนซานได้
อันที่จริง สถานการณ์นี้เป็นสิ่งที่เจิ้งหยวนซานต้องการเห็นมากที่สุด สำหรับเขา เขาต้องการมีอิสระในการตัดสินใจอย่างเต็มที่ว่าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร แต่ถ้าจี้เฟิงเข้ามามีส่วนร่วม เขาต้องพิจารณาความคิดเห็นของจี้เฟิงด้วย
ไม่ว่าบทลงโทษที่จะเกิดกับหรงเป่ากังจะเป็นยังไง จะติดคุกหรือตาย ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อเจิ้งหยวนซาน แต่ถึงอย่างนั้น ในฐานะผู้นำ เขาไม่ต้องการให้ใครมาจูงจมูกชี้นำ แม้ว่าจะเป็นนายน้อยตระกูลใหญ่ก็ตาม
นายน้อยก็ควรจะทำตัวให้น้อยสมกับที่เรียก!
ดังนั้นก่อนที่นายน้อยจะเติบโต เจิ้งหยวนซานจึงปฏิบัติต่อเขาเหมือนเด็กคนหนึ่ง ไม่มีใครอยากถูกเด็กจูงจมูก ไม่ว่าคนๆนั้นจะเติบใหญ่ไปเป็นผู้นำระดับสูงก็ตาม
แต่ตอนนี้ จี้เฟิงเลือกที่จะปล่อยมือจากเรื่องนี้ และอธิบายให้เจิ้งหยวนซานฟังด้วยความเคารพ ซึ่งทำให้เขาพึงพอใจมาก
การได้รับความเคารพจากผู้อื่นเป็นความรู้สึกที่ดีเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นความเคารพจากนายน้อยตระกูลใหญ่ มันยิ่งรู้สึกดีขึ้นอีกหลายเท่าตัว
จี้เฟิงยิ้มและกล่าวว่า “ลุงเจิ้ง จริงๆแล้วผมไม่ได้คิดว่าตัวเองฉลาดเลือกหรอกครับ เพียงแต่ค่อยๆคิดและพิจารณาถึงปัจจัยหลายๆอย่าง”
“โอเคๆ ฉันเข้าใจแล้ว” เจิ้งหยวนซานพูดด้วยรอยยิ้ม “ฉันคิดว่าหลังจากที่คนของหรงเผิงกรุ๊ปเชิญเธอไปคุยแบบนี้แล้ว คนต่อไปที่พวกเขาจะถามหาคงเป็นฉัน.. เอาล่ะ ฉันจะไปจัดการธุระก่อนแล้วกันนะ”
“ครับ สวัสดีครับ” จี้เฟิงกล่าวลาด้วยรอยยิ้ม
หลังจากวางสายแล้วจี้เฟิงก็อดไม่ได้ที่จะเงียบ
ไม่ว่าจะเป็นพ่อ อารอง ลุงเจิ้ง หรือคนอื่นๆ ดูเหมือนพวกเขายังไม่ได้ถือว่าจี้เฟิงเป็นคนที่สามารถพูดคุยได้อย่างเท่าเทียมกัน ยังเห็นเขาเป็นเด็ก นี่เป็นความรู้สึกที่ค่อนข้างแย่
แต่ลึกๆจี้เฟิงก็รู้สึกว่าแบบนี้ถือว่าดีมากแล้ว หากไม่มีเรื่องเกี่ยวกับแก๊งพยัคฆ์มังกรที่เจียงซูและเจ้อเจียงและเรื่องของหรงเผิงกรุ๊ป เขาคิดว่าพวกผู้ใหญ่เหล่านั้นยังคงคิดว่าเขาเป็นเด็กที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่อะไรเลย
“ได้เวลาลงมือทำอย่างเต็มที่แล้ว! ถึงแม้ว่าจะยังไม่ได้รับการยอมรับ แต่อย่างน้อยก็เพื่ออนาคต และเพื่อพ่อ...” จี้เฟิงกล่าวกับตัวเองอยู่ในใจอย่างมุ่งมั่น
แม้ว่าจี้เฟิงจะได้พบกับหรงซูเยี่ยน แต่เขายังไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วผู้หญิงคนนี้มีลักษณะนิสัยอย่างไร แต่สิ่งหนึ่งที่เขาต้องจำไว้ให้ดีคือกลุ่มบริษัทหรงเผิงซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่ในหมู่บริษัทชั้นนำอยู่ภายใต้การควบคุมของตระกูลอู๋ หากตระกูลอู๋ต้องการใช้ขุมพลังตรงนี้เพื่อโจมตีพ่อของเขา พวกเขาได้พบกับความยากลำบากแน่!
เมื่อมองไปยังตระกูลจี้ นอกจากอาหญิงที่มีธุรกิจในสหรัฐอเมริกา จี้เส้าจุนและลูกหลานทางสายรองล้วนอยู่ในแวดวงธุรกิจในประเทศทั้งสิ้น
อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่ใหญ่พอ เหตุผลหนึ่งเป็นเพราะตัวตนของพวกเขาที่ไม่สามารถทำธุรกิจที่ใหญ่โตเกินไปได้ ไม่อย่างนั้นจะส่งผลกระทบต่อตระกูลจี้ทั้งหมด
ตัวอย่างเช่นถ้าจี้เส้าจุนก่อตั้งกลุ่มบริษัทและนำเข้าตลาดหลักทรัพย์อย่างจริงจัง คนอื่นๆจะคิดอย่างไรกับตระกูลจี้?
[ ‘คุณเห็นคนตระกูลของทางการนั่นไหม? พวกเขาเต็มไปด้วยอำนาจทางการเมืองและทางราชการ แถมญาติของเขาก็รวยขึ้นอย่างรวดเร็ว... พวกเขาทำอย่างไรกันนะ?’ ]
คุณสามารถคิดด้วยส้นเท้าของคุณได้เลยว่า ไม่มีใครคิดว่าจี้เส้าจุนและคนอื่นๆจะสร้างโชคชะตาด้วยความรู้ความสามารถของตัวเอง และถึงแม้ว่าพวกเขาจะพึ่งพาความสามารถของตัวเองจริงๆ แต่ใครจะเชื่อ? นี่แหละคือโลกแห่งความจริง!
ดังนั้น เมื่อกลับมามองยังสถานการณ์ปัจจุบัน ถ้าหากตระกูลอู๋ใช้หรงเผิงกรุ๊ป ก็จะไม่มีใครสามารถหยุดมันได้
‘โชคดีที่ยังมีกันชน เลยพอจะยื้อเวลาไปได้อีกหน่อย…’ จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะกำหมัดแน่น จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ในจิตใจของเขาค่อยๆเพิ่มขึ้น ‘ก่อนการเลือกตั้งในอีกสองปี ฉันจะสร้างขุมกำลังที่เทียบเคียงหรงเผิงกรุ๊ปให้ได้ ไม่ว่ายังไงก็ต้องหยุดใครก็ตามที่พยายามจะแทรกแซงตำแหน่งงานของพ่อ!’
‘ใครที่มันมีแผนชั่ว ฉันจะไม่ปรานีมันอย่างแน่นอน!’
“บอสคะ มันไม่แย่ไปหน่อยเหรอที่เราจะรับค่าตอบแทนของหรงซูเยี่ยนมาแบบนี้?” เมื่อเห็นว่าจี้เฟิงนิ่งเงียบไปหลังจากวางสายโทรศัพท์ ซูหยวนก็ไม่ได้พูดอะไรจนกระทั่งเห็นใบหน้าที่ดุดันของจี้เฟิง
จี้เฟิงตกใจเล็กน้อย จากนั้นก็ส่ายหัวและพูดด้วยรอยยิ้ม “ไม่หรอก การที่เรารับเงินชดเชยจากเธอ อันที่จริงก็เพื่อให้เธอมั่นใจ”
อย่างน้อยการยอมรับการ์ดธนาคารมาก็ทำให้หรงซูเยี่ยนมั่นใจได้ว่าโรงงานเซียวไม่ต้องการไล่บี้ในเรื่องนี้อีกแล้วจริงๆ และถ้าหากจี้เฟิงกับซูหยวนเพียงแค่รับปากแต่ไม่ยอมรับการ์ดธนาคารมา ความมั่นใจและความสบายใจของหรงซูเยี่ยนจะไม่ใช่แบบนี้อย่างแน่นอน
“บอสคะ มีบางอย่างที่ฉันอยากถาม แต่ไม่รู้ว่าควรถามดีหรือเปล่า..” ซูหยวนกล่าว
จี้เฟิงยิ้มและพูดว่า “ไม่มีอะไรที่เธอคุยกับฉันไม่ได้ ดังนั้นอยากพูดอะไรก็พูดมาได้เลย”
“ฉันอยากถามว่าทำไมคุณถึงได้กลัวหรงเผิงกรุ๊ปขนาดนั้น?”
ซูหยวนพิจารณาคำพูดของเธอและพูดว่า “ถึงแม้หรงเผิงกรุ๊ปจะเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ แต่สิ่งที่เราทำคืออุตสาหกรรม ไม่ได้เข้าตลาดหลักทรัพย์ ไม่เห็นต้องกังวลการล้างแค้นของหรงเผิงกรุ๊ปเลย พวกเขาทำได้มากที่สุดคือตัดช่องทางทางการขายของเรา ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย ฉันมั่นใจว่าเราสามารถสร้างช่องทางการขายใหม่ได้ และมันจะมั่นคงภายในปีสองปี..”
“อืม.. ที่เธอพูดก็มีเหตุผล”
จี้เฟิงเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “แต่ถึงอย่างนั้น ฉันก็ไม่ต้องการปะทะกับหรงเผิงกรุ๊ปเร็วนัก ตอนนี้ไม่ใช่เวลา ภายในสองปีนี้ โรงงานเซียวจะต้องไม่มีปัญหาในแง่ทางการเมืองเกิดขึ้น!”
คิ้วของซูหยวนกระตุกสองสามครั้ง จากนั้นเธอก็พยายามทำความเข้าใจว่าจี้เฟิงคงวิเคราะห์แรงกดดันที่โรงงานเซียวอาจต้องเผชิญไว้ล่วงหน้า แต่เธอไม่รู้ถึงเหตุผลที่เฉพาะเจาะจงนั้น แต่ดูเหมือนว่าจะต้องเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง
ดังนั้นผู้หญิงฉลาดอย่างซูหยวนจึงไม่ถามอะไรต่ออีก แต่เปลี่ยนเรื่องคุยไปเรื่อยเปื่อย อย่างเช่นเรื่อง ‘เมียหลวง’ ‘เมียน้อย’ ‘นางบำเรอ’ จนทำให้จี้เฟิงได้แต่ทำหน้าเหวอและยิ้มอย่างบิดเบี้ยว
ดูเหมือนว่าการแกล้งจี้เฟิงจะกลายเป็นงานอดิเรกของเธอไปแล้ว...
...............
หลังจากขับรถไปส่งซูหยวนที่โรงงานเซียว จี้เฟิงก็ขับรถกลับบ้านทันที ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นมากมาย เขาต้องเก็บสิ่งเหล่านี้มาคิดวิเคราะห์อย่างจริงจังและสรุปผลได้ผลเสียของมัน ด้วยวิธีนี้มันจะทำให้เขาเติบโต
“หืม?!”
ทันทีที่จี้เฟิงขับรถกลับมาถึงประตูบ้าน เขาก็สังเกตเห็นร่องรอยบางอย่างได้อย่างชัดเจน ทั้งการปิดประตูที่ไม่เหมือนเดิม และรอยล้อรถที่พื้นหน้าประตูบ้าน ซึ่งไม่ใช่รอยจากล้อรถของเขาอย่างแน่นอน... หยูซวนกลับมาแล้วเหรอ?
ทันใดนั้นจี้เฟิงก็รู้สึกดีใจมาก เขากดเปิดประตูด้วยรีโมตคอนโทรลและขับรถไปจอดไว้ที่โรงรถอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เดินกลับไปทางสนามเพื่อที่จะเข้าสู่ตัวบ้านทันที
ในเวลานี้ ร่างบอบบางกำลังยืนอยู่ที่ประตูห้องนั่งเล่น ดวงตาที่สวยงามเอ่อล้นไปด้วยความรักจนแวววาวกำลังจ้องมองมาที่จี้เฟิง
“หยูซวน?!”
จี้เฟิงดีใจและมีความสุขขึ้นมาในทันที ผู้หญิงที่เอวบางร่างน้อยแต่กลับมีหน้าอกและสะโพกอวบอัดเย้ายวนใจเช่นนี้จะเป็นใครไปได้อีกนอกจากเซียวหยูซวน
เขารีบก้าวไปทางเซียวหยูซวนที่อยู่ห่างออกไปไม่กี่ก้าวทันที จากนั้นก็โอบอุ้มเธอขึ้นมาจนตัวลอยแล้วหมุนเป็นวงกลมซึ่งทำให้เซียวหยูซวนหัวเราะคิกคัก แต่รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอมันเต็มไปด้วยความสุขที่หอมหวาน ดวงตาที่สวยงามของเธอเต็มไปด้วยความรักความคิดถึงอย่างลึกซึ้ง
“หยูซวน! ทำไมเธอถึงกลับมากะทันหันล่ะ?!” จี้เฟิงถามด้วยความประหลาดใจ “เอ้ย! ไม่สิ ฉันหมายความว่า ทำไมเธอถึงไม่โทรหาฉันก่อนที่เธอจะกลับมา ทำไมต้องอุบเงียบไว้ด้วย?”
“นายไม่ดีใจเหรอที่ฉันกลับมา?” เซียวหยูซวนกะพริบตาปริบๆ มันทั้งน่ารักและดูซุกซนในเวลาเดียวกัน “จะพาผู้หญิงข้างนอกเข้าบ้านเหรอ? ถึงได้อยากให้ฉันโทรบอกก่อนน่ะ!”
“แค่ก! ... อะแฮ่ม!”
จี้เฟิงสำลักน้ำลายของตัวเองและกระแอมไออยู่หลายครั้ง เซียวหยูซวนหัวเราะคิกคักและตบหลังของจี้เฟิงด้วยมือที่ขาวเนียนของเธอ “ถึงกับสำลักเลยเหรอ? ฉันไม่ได้พูดจี้จุดอะไรใช่มั้ย? คิกคิก~! เอาล่ะๆ ฉันล้อเล่น!”
จี้เฟิงแอบรู้สึกผิด แต่เขาไม่กล้าพูดอะไร เขาแค่ผ่อนลมหายใจและถามว่า “สองสามวันก่อนฉันโทรหาเธอ ฉันรู้สึกเหมือนเธอทำตัวแปลกๆ ทำไมถึงไม่ให้ฉันไปสวัสดีปีใหม่พ่อแม่เธอที่บ้านล่ะ?”
“นั่นเป็นเพราะ...” ดวงตาที่สวยงามของเซียวหยูซวนเป็นประกาย “ฉันอยากกลับมารอต้อนรับนาย เพื่อที่จะได้เหมือนภรรยาที่กำลังรอสามีกลับบ้าน!”
“จริงเหรอ?” จี้เฟิงสงสัยเล็กน้อย
“ก็จริงน่ะสิ! ทำไมนายถึงคิดว่าฉันโกหกนายล่ะ?” เซียวหยูซวนพูดพลางจูงมือจี้เฟิงเข้าไปในห้องนั่งเล่น
จี้เฟิงส่ายหัวเล็กน้อย “ไม่ใช่อย่างนั้น แต่อย่าลืมว่าฉันเป็นแฟนของเธอ เวลาที่เธอโกหก เธอปิดบังฉันได้ไม่มิดหรอก ไหนบอกมาสิว่าเกิดอะไรขึ้น?”
“ก็บอกไม่มีไง!” เซียวหยูซวนยิ้มอย่างเย้ายวน
“ทำไมเธอถึงได้ดื้อนัก?” จี้เฟิงถามด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย “ถ้าอย่างนั้นก็อย่าหาว่าฉันใจร้าย!”
“นี่! ทำไมนายถึงใจร้ายกับฉันจัง ฉันแค่อยากเจอนายแค่นั้นเอง” เซียวหยูซวนขยิบตาให้จี้เฟิง
“ยัยตัวแสบ!” จี้เฟิงกัดฟันทันทีด้วยความมันเขี้ยวและโอบกอดเซียวหยูซวนแน่น จากนั้นก็อุ้มเธอขึ้นมาแล้วเดินตรงไปที่ห้องนอน “มาดูกันว่าฉันจะใจร้ายกับเธอได้มากแค่ไหน!”
....จบบทที่ 916 ~