ตอนที่ 1034 (1) อ่อนไหว ความเป็นจริงของชีวิต
ตอนนี้เขาใช้กระบี่ขาวซวงหัว
ปราณกระบี่ไร้ลักษณ์ซึ่งชำระสรรพสิ่งให้หมดจด ทั่วทั้งป้อมทรายกลายเป็นโลกที่สะอาดไร้สิ่งสกปรก
สตรีผู้มีใจบิดเบี้ยววิปริตสุนัขที่กินเนื้อคนถูกฆ่าตายด้วยกระบี่นี้ทั้งหมดมนุษย์ที่ใช้แรงงานอย่างโง่เขลาทั้งหมดนี้รวมทั้งเด็กที่ถูกทรมานได้รับอิสระ หลังจากได้ชำระปลดปล่อยวิญญาณพวกเขาแสดงความเคารพต่อเย่ว์หยางและหลิวเย่ จากนั้นเป็นไปตามอำนาจกฎสวรรค์ พวกเขาหายไปไม่เหลือร่องรอย
พวกเขาไม่รู้ว่าต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในโลกทะเลทรายมานานเท่าใดแล้วจนกระทั่งเย่ว์หยางและหลิวเย่ปรากฏตัวปลดปล่อยวิญญาณพวกเขาให้เป็นอิสระ
เป็นการปลดปล่อยอย่างแท้จริง
ปล่อยให้พลังกฎสวรรค์พาออกไปจากโลกทะเลทราย
สตรีผู้มีจิตใจวิปริตชั่วร้ายและสุนัขกินเนื้อคนเมื่อถูกปราณกระบี่ไร้ลักษณ์ชำระกลายสภาพเป็นธุลี อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่ได้รับอิสรภาพ แต่ถูกจองจำอยู่ในโลกทะเลทรายนี้และไม่ได้รับอิสรภาพตลอดไป
วิญญาณบาปถูกจองจำอยู่ในป้อมทรายเหลืองมืดมิดสนิท
ถ้าใช้จักษุญาณทิพย์มองดูจะเห็นวิญญาณพวกเขาดิ้นรนทรมานด้วยความเจ็บปวดอยู่ภายในนั้น
เป็นความเจ็บปวดที่พวกเขาสร้างไว้ตลอดชีวิต
สุดท้ายพวกเขาก็ต้องชดใช้กรรมอยู่ในโลกทะเลทรายนี้ตลอดไป หากบุรุษและเด็กชายเหล่านั้นไม่ได้ถูกส่งออกไปและโต้ตอบแก้แค้นกับพวกเขา พวกเขาก็ต้องรอวันถูกชำระชดใช้กรรมอยู่ในนั้น แต่เมื่อครู่นี้เย่ว์หยางเพิ่งใช้กระบี่ขาวซวงหัวชำระวิญญาณให้พวกเขาจนหมดจดวิญญาณของบุรุษและเด็กๆ ได้รับการปลดปล่อย กฎสวรรค์จึงพรากดึงวิญญาณพวกเขาออกไป ส่วนวิญญาณสตรีเหล่านี้ จะต้องชดใช้บาปกรรมตลอดไปในคุกโลกทะเลทรายแห่งนี้จะต้องแบกรับความเจ็บปวดจากกรรมที่พวกเขาก่อขึ้นตลอดชีวิต
พลังกฎสวรรค์ที่นี่มีความยุติธรรม
ตลอดชีวิตทุกคนสร้างความเจ็บปวดให้คนอื่นไปมากน้อยเพียงไหน พวกเขาจะต้องแบกรับความเจ็บปวดมากเพียงนั้น ถ้าพวกเขายังชดช้ำกรรมไม่หมด พวกเขาจะไม่มีทางเป็นอิสระ
“ไปกันเถอะ!” เย่ว์หยางหันไปพยักหน้าให้หลิวเย่ “เราไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนหน้านั้น แต่บัดนี้ นี่อาจเป็นผลที่ดีที่สุด นี่ยังคงเป็นการทดสอบ ข้าคิดเช่นนั้น เราทุกคนสอบผ่าน เราจะไปที่ระดับต่อไป!”
“อืม..” หลิวเย่รู้สึกว่านางได้ประโยชน์จากการทดสอบครั้งนี้มากมาย ทั้งความโกรธและความสงสาร ตอนแรกนางโกรธ ตอนหลังนางให้อภัย
หลังจากทดสอบแล้วนางรู้สึกว่าเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น
นางไม่รู้ว่านอกโลกทะเลทรายที่ใดที่หนึ่ง หากมีคนทำชั่วต่อผู้อื่น เขาจะต้องชดใช้บาปแบบเดียวกันหรือไม่ จะมีการลงทัณฑ์แบบเดียวกันหรือไม่? แต่นางเข้าใจว่าสรรพสิ่งทั้งหลายในโลกนี้เหตุกับผลมีความสัมพันธ์กัน เหมือนดังที่เย่ว์หยางเคยกล่าวไว้ ถ้าทุกคนทำดี บรรยากาศโดยรวมก็พลอยดีไปด้วย หากทุกคนเป็นปฏิปักษ์มีใจวิปริตผิดเพี้ยนเห็นแก่ตัวเห็นแก่ผลประโยชน์ทำให้ผู้อื่นต้องเจ็บปวด นั่นไม่อาจนึกภาพได้ออก แม้จะไม่มีกฎหมายและอำนาจฟ้าดินลงโทษ ย่อมจะก่อให้เกิดการต่อต้านและสงครามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หอทงเทียนดั้งเดิมก็เป็นเช่นนี้คนอ่อนแอเป็นเหยื่อของคนแข็งแกร่ง ผู้มีอำนาจได้รับการนับถือ
ผลก็คือมีการทะเลาะเบาะแว้งต่อสู้กันทุกวัน ทุกเดือน ทุกปี
จนกระทั่งเย่ว์หยางรุ่งเรืองขึ้นมา จึงสลายสถานการณ์เช่นนี้ออกไปหอทงเทียนเริ่มเปลี่ยนแปลงจากทวีปมังกรทะยานเป็นอันดับแรกก่อนได้รับการยอมรับจากผู้มีอำนาจดั้งเดิม ความสนใจในช่วงแรกค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปมีความสัมพันธ์ที่เนื่องด้วยคุณธรรมเป็นพื้นฐาน เริ่มตั้งแต่ตระกูลประเทศต่างขยายออกไปจนกระทั่งมนุษยธรรมกลับคืนมา
แม้ว่าเย่ว์หยางคุณชายสามตระกูลเย่ว์จะไม่แสดงออกอย่างชัดเจน และเขาไม่จำเป็นต้องเคร่งครัดแต่การแสดงออกของเขาเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด
เพราะเขานำหน้าคนหลายๆคนอย่างไม่รู้ตัว และขยายขอบเขตในการเป็นผู้นำมากขึ้น
วัฏจักรความใจดีมีน้ำใจของเขาทำให้ทวีปมังกรทะยานเจริญรุ่งเรืองในยุคปัจจุบัน
ทวีปมังกรทะยานในฐานะที่เป็นจุดรากฐานของหอทงเทียนค่อยๆเข้าสู่วงจรที่รุ่งเรือง กลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆทั่วโลกได้รับการพัฒนาและก้าวหน้าเติบโตอย่างดีที่สุด นี่แตกต่างจากปีก่อนที่ชาติพันธุ์ต่างๆเอาแต่โจมตีรบพุ่งกัน ถ้าเทียบหอทงเทียนในปัจจุบันและแดนสวรรค์หลิวเย่รู้สึกได้ว่าสถานการณ์ในแดนสวรรค์เลวร้ายเพียงใด ทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์ที่สุด สภาพความเป็นอยู่ที่ดีที่สุดเอาไปเทียบกับความรุ่งเรืองของหอทงเทียน และข้อได้เปรียบอีกหลายอย่าง แดนสวรรค์คงต้องยอมให้หอทงเทียนเจริญเข้าใกล้มาทุกที
หลิวเย่มั่นใจว่าไม่นานเกินรอหอทงเทียนคงไล่ทันแดนสวรรค์แม้กระทั่งอาจเหนือกว่าก็ได้
ทั้งหมดนี้
ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เพราะนักรบหอทงเทียนตื่นรู้ขึ้น แต่เป็นเพราะการปรากฏตัวของเย่ว์หยาง
เขาเป็นแบบอย่างและนำการเปลี่ยนแปลงใหม่เข้ามาและชี้แนะหนทางเติบโตก้าวหน้าที่แท้จริงแก่ชาวหอทงเทียน... นักรบแดนสวรรค์สูญเสียพลังและอำนาจอย่างสิ้นเชิง แดนสวรรค์เต็มไปด้วยการเข่นฆ่ากันทุกที่สร้างความเจ็บปวดทรมานผู้อื่นอย่างไม่มีสิ้นสุดก็เพียงเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง ในที่สุดเมื่อหอทงเทียนที่อ่อนแอมานานปีถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมีความเจริญไล่เข้ามาใกล้อย่างไม่มีเหตุผล
“ขอบคุณ” หลิวเย่รู้สึกว่านางควรขอบคุณเย่ว์หยางในนามนักรบหอทงเทียน หากปราศจากเขา หอทงเทียนจะตกต่ำลงไปอีกกี่ปี
“หา? เจ้าพูดเรื่องอะไร?” เย่ว์หยางได้ยินแล้ว ไม่ค่อยเข้าใจเท่าใด
“ไม่มีอะไร, ไปกันเถอะ!” หลิวเย่ยิ้มหวานแต่ไม่ได้อธิบาย นางรู้ว่าเย่ว์หยางไม่ได้ตั้งใจให้ทุกคนเปลี่ยนแปลง เขาไม่ได้ตั้งใจอย่างเต็มที่ เพราะเขาเป็นแบบอย่างที่ดีโดยไม่ได้ตั้งใจให้แม่สี่ เย่ว์หวี่ เย่ว์ปิงเย่ว์ซวงและตระกูลเย่ว์ และมีอิทธิพลต่ออาณาจักรต้าเซี่ยเทียนหลัวและทุกคนที่อยู่รอบตัวได้เห็น นางไม่ได้พูดไม่ได้สรรเสริญเขา แต่นางตัดสินใจเองในใจในอนาคตนางจะอยู่กับเขาเพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีจะทำงานอย่างหนักร่วมเป็นแบบอย่างที่ดีกับเขาเพื่อสร้างแรงบันดาลใจกับคนให้มากขึ้น ขยายวงความรุ่งเรืองให้มากยิ่งขึ้น
ไม่ต้องทำอะไรเป็นพิเศษ
แม้ว่าเจ้าจะทำด้วยตนเองแต่เจ้าจะไม่มีทางเดียวดายเลย
เป็นครั้งแรกในชีวิตที่หลิวเย่เริ่มจับมือเย่ว์หยางก่อนนางก้มหน้าด้วยความอาย มือสั่น แต่นางตั้งใจแน่ว่านางจะไม่ปล่อยมือเด็ดขาด
สามวันต่อมาเย่ว์หยางและหลิวเย่เดินทางผ่านพื้นที่มิติที่แตกต่างกันถึงสิบแห่ง แต่ละมิติทำให้พวกเขาเกิดความเข้าใจและมีความรู้สึกที่แตกต่างกัน
ตัวอย่างเช่นโลกขนาดเล็กที่เย่ว์หยางและหลิวเย่เข้ามาดูเหมือนว่ามีเทพอารักษ์เฝ้ารักษา
เทพอารักษ์ตัวใหญ่เหลือเชื่อ
โลกดูเหมือนโต๊ะทรายเล็กที่ตั้งอยู่
บนโต๊ะทรายเล็กมีประเทศต่างๆซึ่งมีสิ่งที่มีชีวิตที่ในสายตาของเย่ว์หยางและหลิวเย่เห็นเหมือนตัวเล็กกว่ามดอาศัยอยู่นับไม่ถ้วนโจมตีต่อสู้กันเองอย่างต่อเนื่อง เพื่อเงินและอำนาจผู้บังคับบัญชาของประเทศต่างๆสั่งให้ทหารนับล้านนายแม่ทัพนายกองทั้งสองฝ่ายต่อสู้ฆ่าฟันกันเองในแนวหน้า การเข่นฆ่าสังหารของพวกเขาทำให้เลือดไหลนองเป็นท้องธารซากศพเต็มอยู่ทั่วทุกแห่งหน อย่างไรก็ตามในสายตาของเย่ว์หยางและหลิวเย่เห็นว่าการกระทำของมดแมลงผู้โง่เขลาหยิ่งยโสเหล่านี้ช่างโง่เขลาเบาปัญญาแม้ว่าพวกเขาจะได้รับพลัง เงิน และชีวิตอันแสนสั้นและเปราะบาง เหมือนมดเหล่านั้นแก่ชราลงและตายอย่างรวดเร็ว พวกเขาไม่สามารถรักษาอำนาจชะตากรรมที่ดีและความสุขระยะยาวไว้ได้ เย่ว์หยางและหลิวเย่มองดูชีวิตเล็กๆ ที่น่าเหลือเชื่อเหล่านี้ ในการเจรจาพูดคุยเพียงไม่กี่คำมนุษย์มดพวกนี้เกิดขึ้น พอคุยไปได้ไม่กี่คำ พวกเขาก็โตและเข่นฆ่าชิงเงินชิงอำนาจ พอเวลาผ่านไปเจ้ามนุษย์มดพวกนี้ทำงานอย่างหนักรักษาความสุขสงบได้ไม่นานสงครามของคนรุ่นหลังก็เกิดขึ้นอีก
ไม่มีใครรู้ความลับของฟ้า ไม่มีใครรู้ว่าเย่ว์หยางและหลิวเย่กำลังมองดูพวกเขาเข่นฆ่าประหัตประหารกันอยู่
ไม่มีใครรู้ความจริงของชีวิต
ไม่มีใครรู้ความหมายของชีวิต
จากรุ่นสู่รุ่นเพราะความหลงระเริงกับพลังอำนาจชั่วขณะหนึ่งพวกเขาจึงเข่นฆ่ากันเองต่อไป.... พวกเขาอาศัยอยู่ในโลกอย่างโง่เขลาใช้ชีวิตวนเวียนกันไป ไม่มีใครคิดต่าง หรือยอมเปลี่ยนแปลงการกระทำ! เจ้ามนุษย์มดพวกนี้คิดว่าเงินและอำนาจคือทุกอย่างในชีวิตพวกเขาไม่รู้ว่าพวกเขาเกิดมาก็ตกอยู่ภายใต้สายตาเย่ว์หยางและหลิวเย่แล้วก็ตายไปแค่เพียงนาทีแล้วนาทีเล่าพวกเขามองเห็นเวลาได้ชั่วชีวิต
“ข้าคิดว่าในสายตาของเหล่าเทพโบราณเราไม่ต่างจากมนุษย์มดเหล่านี้” หลิวเย่เดินออกมาเบาๆ ส่ายหน้าและถอนหายใจ “เรายังไม่มีชีวิตนิรันดรเทียบกับเทพเจ้าหรือเทพเจ้ายักษ์โบราณ ชีวิตของเราก็เหมือนมดพอเกิดมาแล้วก็ต้องตาย ในสายตาของเทพโบราณมนุษย์เราเกิดมาไม่กี่นาทีก็เติบโตเป็นหนุ่มสาวเต็มไปด้วยความแข็งแรง แต่เพียงชั่วลัดนิ้วมือร่างกายมนุษย์ก็แก่และตายไปเหมือนใบไม้ที่ปลิดปลิว คนยุคก่อนในหอทงเทียนมีมากมายนับไม่ถ้วนได้สร้างความรุ่งเรืองและเกียรติยศไว้มากมาย แต่พวกเขาล้วนแต่ล่วงลับดับลาโลกไปแล้วเช่นเดียวกับเราที่เกิดมาและเติบโตความตายเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในอนาคต... สิ่งเดียวที่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงก็คือหอทงเทียนที่เป็นประจักษ์พยานได้เห็นชีวิตในแต่ละรุ่นและมีแต่มันเท่านั้นที่คงอยู่ตลอดไป! หากเราไม่สามารถนึกถึงความหมายและสัจธรรมของชีวิตได้ เราก็คงไม่ต่างไปจากมนุษย์มดเหล่านี้จริงๆ!”
“การฝึกฝนและแสวงหาความก้าวหน้าก็คือการค้นหาสัจธรรมของชีวิต!” เย่ว์หยางยื่นมือลูบผมอ่อนนุ่มของหลิวเย่เบาๆและปลอบโยนนาง “ทำไมเราถึงต้องศึกษาเรียนรู้? เพราะการเรียนรู้ทำให้มนุษย์เกิดสติปัญญา เจ้าสามารถรู้แจ้งเข้าใจความหมายของชีวิตและความเป็นจริงของฟ้า ทำไมเราต้องฝึกฝนเพื่อความก้าวหน้าเล่า? เพราะข้าไม่พอใจในสภาพที่เป็นอยู่และต้องการก้าวหน้าไปสู่ระดับที่สูงขึ้นของชีวิตและขอบเขตความรู้ที่มากขึ้น...ข้าเชื่อว่าตราบใดที่เราฝึกฝนพยายามกันอย่างหนักในทิศทางนี้เราจะสามารถพบเจอความหมายและสัจธรรมของชีวิตเราได้!”
“จริงหรือ?” หลิวเย่ได้ยินคำพูดของเย่ว์หยางนางรู้สึกแจ่มใส
“เหตุผลที่พวกเขาเป็นมนุษย์เพราะมนุษย์นั้นมีสติปัญญา พวกเขาสามารถค้นพบความลึกลับและความจริงของโลกในระดับที่สูงๆขึ้นไปผ่านการฝึกฝนเรียนรู้และเติบโต นี่คือเหตุผลที่เผ่าพันธุ์อื่นพากันริษยาเรา!” เย่ว์หยางถอนหายใจอย่างมีอารมณ์ “ในทางกลับกันถ้าเจ้าไม่ใช้สติปัญญาเรียนรู้ให้ก้าวหน้าค้นหาสัจธรรมของชีวิตจมอยู่กับความเพลิดเพลินโลกๆ นั่นคือเรื่องน่าเศร้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนี่คือการกีดกันตนเองที่คนทั่วไปไม่ยอมสละความสะดวกสบาย ไม่ต้องการพัฒนาตนเองผ่านการฝึกฝนอย่างหนักก็ไม่ต่างอะไรกับมนุษย์มดที่โง่เขลาเหล่านี้ แต่ความแตกต่างที่ยิ่งใหญ่ที่สุดระหว่างเรากับมนุษย์มดเหล่านี้ก็คือมนุษย์เรามีบรรพบุรุษที่ถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ มีครูบาอาจารย์สอนให้รู้จักเข้าใจและแยกแยะ บางทีคนในรุ่นเราไม่สามารถเข้าใจและติดตามสัจธรรมของชีวิตได้แต่ในรุ่นต่อไปอาจผ่านการพัฒนาเรียนรู้ฝึกฝนปรับปรุงและดำเนินไปในมรรคาสายใหม่เติบโตยิ่งขึ้น พวกเขาจะไม่ตกต่ำตลอดไป นี่คือข้อได้เปรียบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษยชาติเราและเป็นความหวังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเรา!”
“ข้า ข้าจะต้องพยายามให้หนักยิ่งขึ้น!” หลิวเย่รู้ว่าเย่ว์หยางจะต้องยกระดับดำเนินชีวิตในระดับสูงขึ้น ไม่ใช่เขาเท่านั้นที่ฝึกฝนหนักในทิศทางนั้นแต่ยังมีเสวี่ยอู๋เสีย องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยน เจ้าเมืองโล่วฮัว อี้หนาน เย่ว์ปิงพวกนางเหมือนกันหมด
หลังจากได้เห็นมนุษย์มดแล้ว นางรู้สึกว่านางไม่อาจถ่วงเป็นภาระให้เขา
นางไม่ต้องการถูกทุกคนทิ้งไว้ และอยู่ในโลกระดับต่ำเจ็บป่วยและตายไปต่อหน้าเย่ว์หยางอย่างน่าเศร้า
นางจะต้องอยู่เคียงข้างระดับเขาได้เสมอก้าวไปสู่โลกที่ไม่แก่ไม่เจ็บ ไม่ตาย มองหาโลกระดับที่สูงกว่าดีกว่าและอยู่ด้วยกันตลอดไป...