ตอนที่ 1029 ดูดกลืนพลัง เย่ว์หยางคลั่ง
ทหารมนุษย์เงือกเกือบพันคนนักบวชและเฒ่าเถี่ยเหมาจอมพลผู้บัญชาการที่ทำการชุบชีวิตบรรพบุรุษต้องสาปในป้อมเหล็ก หลังจากถูกเย่ว์หยางฆ่าหอทงเทียนก็เอาชนะเมืองไป๋เหอได้เด็ดขาด
เจ้าเมืองไป๋เหอผู้มักใช้หมอกซ่อนในตำนานอยู่บ่อยๆถูกนางเซียนหงส์ฟ้าและราชันย์ปีศาจใต้บุกโจมตี
แม้ว่าจะมีคนล่องหนอยู่ในสนามพลังหมอก
แต่หมอกซ่อนของเจ้าเมืองในปัจจุบันก็ไม่สามารถหลบหนีรอดพ้นนางเซียนหงส์ฟ้าเทียนฟาได้อย่าว่าแต่ราชันย์ปีศาจใต้ผู้ทรงพลังเลยก็คอยสนับสนุนอยู่ด้านข้าง จอมพลผู้แข็งแกร่งที่สุดฉลาดที่สุดและซ่อนตัวอยู่ในเมืองไป๋เหอตาย ทหารฝีมือดีเกือบพันคนและนักบวชถูกกำจัดรวดเดียว เผ่าพันธุ์กบฏระดับสูงภายนอกอย่างเช่นประธานสมาคมเหล็กกู่ติ้ง หัวหน้าองครักษ์เจ้าเมืองไป๋เหอนามหลานจิงและหัวหน้าเรือนจำผู้เฝ้าประตูลับ ถูกมารสัมฤทธิ์ฟ้า จักรพรรดิมังกรจักรพรรดิใต้พิภพและนักสู้ของหอทงเทียนอื่นจัดการ ถ้าไม่ตายก็ถูกจับกุม
แม้ว่ามนุษย์เงือกกลายพันธุ์ของเมืองไป๋เหอจะมีจำนวนมากแต่ไม่มีใครคิดสู้
เมื่อพบว่าไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะหลบหนีและรู้ว่านางเซียนหงส์ฟ้าในฐานะจักรพรรดิแดนดินได้ออกคำสั่งผู้ยอมแพ้จะได้รับการยกเว้นโทษ ผู้ต่อต้านตาย พวกเขาส่งตัวแทนไปขอยอมแพ้ทันที ไม่จำเป็นต้องได้รับคำแนะนำจากผู้นำอย่างเช่นเจ้าเมืองไป๋เหอประธานสมาคมเหล็กกู่ติ้ง หรือผู้คุมเรือนจำที่ดูแลประตูทางลับของเผ่าพันธุ์กบฏ
เมื่อถึงจุดนี้ถือว่าเป็นการประกาศชัยชนะในเมืองไป๋เหออย่างเป็นทางการ
อย่างไรก็ตามชัยชนะครั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าเผ่าพันธุ์กบฏหอทงเทียนจะถูกกวาดล้างทั้งหมด
นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น กบฏหอทงเทียนนั้นมีมากและยังซ่อนตัวและเส้นทางอยู่ในส่วนต่างๆของแดนสวรรค์ แม้แต่กลุ่มกบฏที่แข็งแกร่งที่สุดยังดำรงตำแหน่งสำคัญในตำหนักกลางแดนสวรรค์ พลังอำนาจนั้นแข็งแกร่งจนหอทงเทียนในปัจจุบันมิอาจขับเคี่ยวได้
จะจัดการกับมนุษย์เงือกกลายพันธุ์ในสถานการณ์ลับที่สุดได้อย่างไร? ปัญหานี้เย่ว์หยางปล่อยไว้ก่อน
เขาคร้านเกินกว่าจะจัดการปัญหาเหล่านี้
ในเวลานั้นเขาไปสำรวจพื้นที่ขุมทรัพย์ลับพร้อมกับหลิวเย่เพื่อดูว่ามีอะไรน่าทึ่งหรือไม่
และสงครามกวาดล้างครั้งนี้มารสัมฤทธิ์ฟ้าและพวกไม่ได้มาในนามของนักรบหอทงเทียนแต่มาในนามผู้พิชิตของจักรพรรดินีเทียนฟา จักรพรรดิแดนดินแห่งภูมิภาคสวนสวรรค์มองอย่างผิวเผินเทียนฟาจักรพรรดิแดนดินคนใหม่เตรียมยึดภูมิภาคสวนสวรรค์เข่นฆ่าคนเป็นร้อยผู้ไม่เชื่อฟัง ไม่มีใครรู้และไม่มีใครคิดว่าในความเป็นจริงแล้วนี่เป็นสงครามระหว่างนักรบหอทงเทียนและกบฏหอทงเทียน เหมือนกับมนุษย์เงือกกลายพันธุ์ในเมืองไป๋เหอ พวกเขาไม่รู้ความจริง พวกเขาคิดว่าเจ้าเมืองและผู้นำระดับสูงสร้างความขุ่นเคืองให้กับจักรพรรดินีเทียนฟา
มีแต่เจ้าเมืองไป๋เหอที่สาบสูญและคนอื่นที่ถูกจับเท่านั้นที่รู้ความจริง
แน่นอนว่าพวกเขาไม่มีโอกาสพูด การรอคอยของพวกเขาเป็นการทดสอบจิตใจมนุษย์ที่รวดเร็วมาก... ตระกูลต่างๆ ของหอทงเทียนที่ตกค้างในแดนสวรรค์พากันตื่นเต้นนอกจากส่งตัวแทนเข้าร่วมสังเกตการพิจารณาพวกยังใช้การไต่สวนนี้รวบรวมชื่อผู้หลงเหลือตกค้างของหอทงเทียน
ผู้ตกค้างอยู่ในแดนสวรรค์มีมาเป็นเวลาหลายพันปีจะได้กลับดินแดนมาตุภูมิของพวกเขาได้ในที่สุด
นอกจากนี้ยังได้รับการแก้ไขชื่อให้ถูกต้อง
พวกเขาไม่ใช่ตระกูลผู้ตกค้างที่ไร้ประโยชน์อีกต่อไป แต่เป็นนักล่าผู้สาบานว่าจะไล่ล่าเผ่าพันธุ์กบฏ เป็นนักรบผู้ภักดีที่ไม่เคยลืมเลือนหอทงเทียน
ตัวแทนเผ่าพันธุ์ตระกูลทั้งหมดจัดพิธีศักดิ์สิทธิ์ที่สุดต้อนรับการกลับมาของนักรบหอทงเทียนผู้ล่วงลับและตกค้างอยู่ในแดนสวรรค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับนักรบผู้มาจากตระกูลของเขาเอง กษัตริย์ของหอทงเทียนเดินทางมาจากที่ไกลและมาจนถึงทวีปมังกรทะยานเพื่อพบกับวีรบุรุษและต้อนรับกลับสู่มาตุภูมิของเขา “ภาพคนแก่นับหมื่นร้องไห้ด้วยกันน่ากลัวเหลือเกิน!” เย่ว์หยางไม่ต้องการเข้าร่วม แต่ก็ต้องเป็นเขาที่นำผู้ตกค้างในแดนสวรรค์กลับมาหอทงเทียน และถ้าเขาไม่ต้องการมีส่วนร่วมก็ไม่ต้องเรียกตนเองเป็นจักรพรรดิอวี้รุ่นใหม่ ถ้าเขาไม่เข้าร่วมจัดการคนเหล่านี้ตกค้างอยู่ในแดนสวรรค์เพราะจักรพรรดิอวี้รุ่นก่อนแต่กลับต้องรั้งอยู่ในแดนสวรรค์ พวกเขาจะมีความสุขได้อย่างไร? ดังนั้นไม่ว่าเย่ว์หยางจะเกียจคร้านแค่ไหน แต่เขายังต้องใช้เวลาพบปะกับครอบครัวนักรบที่ตกค้างอยู่ในแดนสวรรค์เหล่านั้น
นักรบหลายคนที่เดินทางไปแดนสวรรค์ตอนนั้นหลายคนที่ยังมีชีวิตอยู่ชราภาพมากแล้ว
เมื่อราชาของเผ่าพันธุ์ต่างๆพากันมาต้อนรับ และพวกเขาจำกันได้ และพบกับพี่น้องหรือปู่ หรือหลานต่างก็ร่ำไห้
โชคดีที่ผู้เฒ่าเหล่านี้ได้รับการยอมรับและให้เกียรติจากเย่ว์หยางพวกเขาเคารพและเข้าใจเย่ว์หยาง จักรพรรดิอวี้รุ่นใหม่และไม่ตามพัวพันเย่ว์หยางเกินไป เย่ว์หยางสัญญาว่าจะสร้างอนุสาวรีย์และอนุสรณ์สถานรำลึกถึงวีรบุรุษสงครามที่ลานใหญ่ชั้นหกของหอทงเทียน และพวกเขาตั้งใจจะร่วมทำงานกับเย่ว์หยาง
พวกเขาให้ความเคารพต่อเย่ว์หยางแต่ยังรักและภักดีต่อจักรพรรดิอวี้รุ่นก่อน พวกเขาไม่ต้องการให้จักรพรรดิอวี้รุ่นใหม่แตกต่างจากจักรพรรดิอวี้รุ่นก่อนอย่างสิ้นเชิง ไม่ควรปล่อยตัวตามสบายแต่ควรวางมาดเป็นจักรพรรดิผู้งามสง่า
“สิ่งที่เย่ว์หยางน้อยต้องทำในตอนนี้คือฝึกฝนให้พลังเติบโตก้าวหน้า”ผู้เฒ่าหนานกงออกรับแทนเย่ว์หยาง
“ความจริง จักรพรรดิอวี้รุ่นใหม่ไม่ต่างไปจากจักรพรรดิอวี้รุ่นก่อนและการฝึกฝนพากเพียรอย่างหนักก็เป็นเรื่องที่ดี” กลุ่มผู้อาวุโสที่ตกค้างในแดนสวรรค์ได้ฟังเหตุผลก็พึงพอใจกับความขยันหมั่นเพียรของเย่ว์หยางถ้าขืนให้พวกเขารู้ว่าเย่ว์หยางคลุกคลีกับสาวๆ ทุกวันใช้เวลาส่วนหนึ่งกับการล่าสมบัติ บางครั้งก็หาเวลาฝึกฝนคาดว่าผู้อาวุโสเหล่านั้นคงโมโหจนเคราสั่น
อย่างไรก็ตามพวกเขาตั้งความหวังไว้กับเย่ว์หยางสูงมาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้ยินความก้าวหน้าราวกับปาฏิหาริย์ของเย่ว์หยางและหวังว่าเขาคือยอดอัจฉริยะที่ไม่เคยพบพานอาจไปได้ไกลกว่าจักรพรรดิอวี้รุ่นก่อนทั้งไล่ตามนางพญาผู้พิชิต เขาจะนำทุกคนแก้แค้นแดนสวรรค์
เย่ว์หยางไม่กล้ารานความตั้งใจดีของผู้เฒ่าเหล่านั้นที่สำคัญคือพวกเขาเพิ่งกลับมา ยังไม่ทราบถึงปัญหาของหอทงเทียน
อาศัยพลังของหอทงเทียนในปัจจุบันจะเอาชนะแดนสวรรค์ได้หรือ?
ยังไม่มีคุณสมบัติพอจะทำเช่นนั้น!
ถ้าจะต้องทำเช่นนั้น ไม่ต้องมองอะไรอื่น...พวกตำหนักกลางมีหวังหัวเราะเยาะแน่นอน
“ไปล่าสมบัติ? ไม่ ตอนนี้ข้าไม่สนใจ” สำหรับข้อเสนอของเย่ว์หยางให้สำรวจสมบัติลับ ราชันย์ปีศาจใต้หรือสาวผีผาหยกที่เย่ว์หยางตั้งชื่อให้ นางส่ายหน้าปฏิเสธคำชักชวน
“ช่วงนี้ข้าไม่ค่อยว่าง” นางเซียนหงส์ฟ้าบอกว่านางยุ่งมากเพราะทำงานในภูมิภาคสวนสวรรค์ทำให้นางแทบไม่มีเวลานอน
“เมื่อก่อนเจ้าชอบล่าสมบัติไม่ใช่หรือ?” เย่ว์หยางสงสัย
“ถ้ามันง่ายมากก็คงไม่เรียกว่าสมบัติลับโบราณแน่” หลังจากราชันย์ปีศาจใต้ไปดูเสาผลึกแดงที่ปลดผนึกนางยกเลิกและยอมถอยทันที มันยากมากกับการเปิดผนึก อย่าว่าแต่เข้าไปสำรวจ มีตัวอย่างที่ถูกฆ่ามาแล้ว จ้าวสุริยาที่เข้าไปในพื้นที่เก็บคัมภีร์เทพก็ถูกขัดขวางอยู่ที่ประตูด้านหน้า นางเซียนหงส์ฟ้าและราชันย์ปีศาจใต้เตือนเกี่ยวกับสมบัติลับโบราณ สมบัติอาจจะยอดเยี่ยมแน่นอน แต่เมื่อเข้าไปได้แล้วจะจบหรือเปล่านั่นยากจะกล่าว!
“ดูเหมือนพวกเจ้าต้องการให้ข้าเป็นจับกังน้อยให้เข้าไปเอาสมบัติลับ และเอาออกมาแบ่งกันใช่ไหม?” เย่ว์หยางรู้ทันเล่ห์เหลี่ยมของพวกนาง
“ลุงนี่ตลกจริงๆ สาวน้อยอย่างพวกข้าจะเป็นแบบนั้นไปได้ยังไง” ราชันย์ปีศาจใต้ยังไม่ยอมรับ
“ไม่มีสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเรา เราไม่ต้องการแน่นอน” นางเซียนหงส์ฟ้าเทียนฟาบอกว่านางเก่งอยู่แล้วไม่เหมาะจะเอาสมบัติเหล่านั้นมาใช้ พวกนางไม่ต้องการใช้ มันไม่ใช่สิ่งหายากมีสักกี่คนที่พูดได้อย่างนี้? เย่ว์หยางถอนหายใจมองดู
“ข้าจะไปกับท่านก็ได้! บางทีกวางทะลุมิติของข้าอาจได้ใช้งาน” หลิวเย่เห็นใจและตัดสินใจไปพร้อมกับเย่ว์หยาง
“ไม่รบกวนการเที่ยวสองต่อสองของพวกเจ้าล่ะนะ”ราชันย์ปีศาจใต้ยิ้มแล้วรีบจูบเย่ว์หยางอย่างรวดเร็ว เพราะกลัวเย่ว์หยางจับตัวไว้
“ข้าหวังว่าพวกเจ้าทุกคนจะทำได้ดีที่สุดและกลับบ้านอย่างปลอดภัย”นางเซียนหงส์ฟ้าเอนหลังและหลับทันที
“เมื่อข้ากลับมาพร้อมกับสมบัติมากมายถ้าเห็นสองสาวมาคุกเข่ากอดขาข้า ข้าจะไม่ให้อภัยแน่นอน” เย่ว์หยางโมโห และเมื่อเขาไม่สนใจอะไร เขาคิดยังไงก็พูดอย่างนั้นเมื่อได้ยินเช่นนั้นหลิวเย่หน้าแดงด้วยความอาย
แม้ว่าราชันย์ปีศาจใต้และนางเซียนหงส์ฟ้าจะปฏิเสธไปพร้อมกับพวกเขาพวกเขาไม่ยินดีเพลิดเพลินกับสมบัติ แต่ยินดีเพลิดเพลินกับชีวิตบนเตียง
แต่นางเป็นลูกศิษย์ที่ว่านอนสอนง่าย
ไม่น่าเบื่อจนเกินไป
หลังจากเปิดผนึกทีละแห่งพลังงานของเสาผลึกแดงก็ฉายรังสีพุ่งขึ้นไปในท้องฟ้า
ลำแสงและพลังงานเหล่านั้นตัดกันและสานทอเข้าด้วยกันก่อตัวเป็นแนวเส้นกว้างไกลทำให้ไม่สามารถจินตนาการถึงความลึกลับยิ่งใหญ่ในอดีตได้ เห็นท้องฟ้าที่ถูกสานกว้างถึงหนึ่งพันลี้ เย่ว์หยางอดสูดหายใจลึกมิได้ดูเหมือนการล่าขุมทรัพย์ครั้งนี้มิใช่ได้รับมาง่ายๆ แต่ตอนนี้ผนึกถูกเปิดหมดแล้วสายเกินกว่าจะล่าถอย
ถ้าไม่เข้าไปเอาสมบัติลับออกมาก่อนแล้วปล่อยให้คนของตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์รู้แล้วตามมาก็ไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น
ด้วยภาพที่เห็นบนท้องฟ้าชัดเจนขนาดนี้เย่ว์หยางรู้ว่าเขาไม่สามารถปิดบังความจริงได้นาน
นักผจญภัยจากภายนอกจะแห่กันมา
ลงมือก่อนย่อมได้เปรียบ!
เย่ว์หยางพาหลิวเย่บินเข้าไปยังวงเวทที่ฉายกลางท้องฟ้า
เขาไม่ได้คาดหวังว่าพลังตาทิพย์ของเขาจะมองสังเกตวงเวทขนาดยักษ์ในท้องฟ้าออก วงเวทที่ลอยอยู่ในท้องฟ้านั้นมีขนาดใหญ่สมบูรณ์และซับซ้อนแม้ว่าเย่ว์หยางจะมีพลังจักษุญาณทิพย์แต่เขาคาดว่ากว่าจะมองวงเวทออกได้อย่างสมบูรณ์ ต้องใช้เวลาหนึ่งปี หรือสองปี
เย่ว์หยางไม่มีความอดทนขนาดนี้ และเป็นไปไม่ได้ที่จะนานถึงปีหรือสองปีเพื่อประเมินสถานการณ์แล้วค่อยออกล่าสมบัติ ถึงตอนนั้นอาจจะช้าเกินไปก็ได้
วงเวทขนาดยักษ์ในท้องฟ้ามีความซับซ้อนมาก
ไม่ได้มีเพียงวงเวทผังภูมิอักขระรูนชั้นเดียวเท่านั้น แต่เป็นสามมิติซ้อนกันมีสัญลักษณ์โบราณเป็นพันๆชั้น ในวงเวทแต่ละชั้นจะหมุนในทิศต่างกันเพื่อสร้างรอยผสานทำงานร่วมกันในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงในรูปลักษณ์แตกต่างกัน เย่ว์หยางมองดูไม่กี่นาทีก็ถอดใจ แต่เดิมคิดว่าคงจะใช้เวลาดูปีหรือสองปี แต่ดูเหมือนว่าใช้เวลาสองร้อยปีก็ยังเข้าใจไม่หมดด้วยอักขระรูนที่ร้อยเรียงเกี่ยวผสานกันอย่างยอดเยี่ยมนี้ คาดว่าสาวอู๋เหินคงจะมีความสุขมากที่สุดเพราะนางจะได้มีเป้าหมายในการค้นคว้าอีกนาน
“ข้าเวียนหัวจะเป็นลม” หลิวเย่อยู่ด้านหลังเย่ว์หยางมองดูวงเวทขนาดใหญ่บนท้องฟ้า นางรู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้าและไม่รู้จะมองตรงไหน
“เจ้ารออยู่ข้างนอกสักครู่ก่อน รอจนข้าส่งสัญญาณจากนั้นค่อยเทเลพอร์ตเข้ามา”
เย่ว์หยางไม่ยอมให้นางเข้ามาเสี่ยงง่ายๆ
ที่สำคัญพลังของหลิวเย่ยังห่างไกลเมื่อเทียบกับนางเซียนหงส์ฟ้าและราชันย์ปีศาจใต้ ถ้ามีอันตรายใดๆ ในวงเวทรูนลอยฟ้าเย่ว์หยางกังวลว่านางจะได้รับบาดเจ็บ
หลิวเย่พยักหน้า
นางบอกว่านางจะอดทนรอเพื่อไม่ให้เย่ว์หยางเป็นกังวล
เย่ว์หยางเปิดใช้สนามพลังสร้างโลกและเนื่องจากช่องว่างวงเวทอักขระรูนยักษ์มีการเลื่อนไปทุกที่จนแทบไม่มีทางเข้าไป เฉพาะในใจกลางวงเวทขนาดใหญ่ก็มีวงเวทซ้อนเป็นแสนชั้นและกว้างถึงสามสิบตารางกิโลเมตรด้านบนถึงด้านล่างสูงอย่างน้อยสิบกิโลเมตร สวยโดดเด่นไม่มีที่ใดเทียบได้ เย่ว์หยางลอบเข้าไปมีความรู้สึกว่าตนตัวเล็กกว่ามดที่กำลังไต่เค้กวันเกิดที่สูงห้าชั้น หลิวเย่เม้มริมฝีปากแน่นนางไม่ห้ามเขาเข้าไป แต่อดเป็นกังวลไม่ได้
ภายในใจกลาง มีแกนกลางที่เรืองแสง
พลังที่แผ่ออกมาจากแกนกลางนั้นทรงพลังอำนาจมากกว่าปณิธานเทพเจ้า เย่ว์หยางรู้สึกว่าเข้าไม่ถึงเป็นครั้งแรกในชีวิต
เทียบกับการเข้าทดสอบประตูเป็นตายนี่ยากกว่ามาก นี่คือสถานที่มิอาจเข้าถึงได้เนื่องจากความแข็งแกร่งไม่เพียงพอ พลังเช่นนั้นจะทำให้ผู้ท้าทายไม่ว่าคนใดก็ตามจะต้องเจียมตนและรู้สึกว่าตนเล็กน้อยเกินไป ไม่ควรเข้ามาใกล้
“ไม่ว่าเจ้าจะเป็นอะไร ข้าพร้อมแล้ว” เย่ว์หยางเจ้าอารมณ์อยู่เสมอและแกนกลางพลังงานนี้ป้องกันไม่ให้เขาเข้ามาใกล้ เขาจะยื่นมือเข้าไปสัมผัส เพลิงอมฤตปะทุออกมาจากร่างก่อตัวเป็นหงส์เพลิงด้วยสนามพลังสร้างโลก เย่ว์หยางกระโดดขึ้นขับขี่หงส์เพลิงอมฤตมือซ้ายขวาใช้ปราณกระบี่ดำกุยจ้างและกระบี่ขาวซวงหัวด้วยพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตตรงเข้าไปยังแกนกลางอักขระรูนโบราณยักษ์ซึ่งดูเหมือนตึกระฟ้า มีความสว่างราวกับดวงอาทิตย์
พลังที่น่ากลัวยิ่งกว่าเทพเจ้าน่าเกรงขามเหมือนกับภูเขาถล่มใส่
เย่ว์หยางรู้สึกว่าร่างกายของเขาหนักมากแม้แต่วิญญาณก็รู้สึกเหมือนมีมือยักษ์จับไว้จนขยับไม่ได้
ถ้าไม่ใช่เพราะมีหงส์เพลิงอมฤตและเพราะปราณกระบี่ทั้งสอง เย่ว์หยางคาดว่าเขาคงโดนพลังนี้ระเบิดโจมตีใส่แน่นอนคงเป็นเหมือนเส้นฟางในท่ามกลางพายุหมุน! ยังห่างชั้นมากจริงๆ เป็นครั้งแรกที่เย่ว์หยางหลังจากใช้พลังเต็มที่แล้วรู้สึกว่าพลังตนเองน้อยนิด
หรือว่านี่คือสมบัติลับที่เทพเจ้าโบราณทิ้งไว้เบื้องหลัง
ใครทิ้งไว้กันแน่?
หรือว่าจะเป็นเทพมังกรทองที่ทำให้มังกรปีศาจได้กลิ่น? หรือเป็นเจ้างี่เง่าที่ผนึกนางพญาเฟ่ยเหวินหลี หรือเป็นอะไรอย่างอื่น?
ยิ่งเย่ว์หยางเข้าใกล้แกนกลาง ความเร็วของเขายิ่งช้าลง เมื่อระยะเหลือห่างจากแกนกลางไม่ถึงร้อยเมตร เขารู้สึกว่าความเร็วตกลงไปถึงสิบเท่าช้ายิ่งกว่าทากคลาน และทุกๆเซนติเมตรเขารู้สึกว่าร่างหนักขึ้นถึงสิบเท่า
เป็นไปไม่ได้แกนกลางนี้เป็นไปไม่ได้ที่จะเข้าไปถึง.... ต่อให้เย่ว์หยางมีปณิธานปราณราชันย์ที่ไม่เคยสั่นคลอน แต่เขาก็ยังอดสงสัยขึ้นมาในใจไม่ได้
“กระบี่แดงชี่เสี่ยวเหลียน....”
เย่ว์หยางตะโกนและพับมือเรียกปราณกระบี่ที่สามกระบี่แดงชี่เสี่ยวเหลียน
แต่กระบี่ชี่เสี่ยวเหลียนที่กลั่นสร้างเต็มที่ช่วยให้เขาคืบหน้าไปได้อีกเพียงครึ่งเมตร จากนั้นหยุดนิ่งในอากาศ ถ้าไม่มีสนามพลังสร้างโลกช่วยเขาเย่ว์หยางอาจถูกพลังระเบิดบีบบังคับเขาให้กระเด็นออกไปถึงหมื่นเมตร
เสี่ยวเหวินหลีบินออกมาจากโลกคัมภีร์โดยอัตโนมัติเธอสร้างรูปฉายเทพปีศาจอสรพิษสูงร้อยเมตรอยู่ในท้องฟ้าและยกมือผลักดันเย่ว์หยางไปข้างหน้าแม้ว่าพลังของเธอจะสามารถผ่านมิติได้และทะลวงเข้าไปในมิติหลุมดำได้แต่ภาพฉายเทพปีศาจอสรพิษก็ผลักเย่ว์หยางไปได้เพียงสองสามเมตรแล้วหยุดนิ่งไม่สามารถดันเข้าไปได้อีก
ตอนนี้ห่างจากแกนกลางเพียงเก้าสิบเมตร
เก้าสิบเมตรนี้เป็นธรรมชาติที่เย่ว์หยางผ่านไปไม่ได้
“ปราณกระบี่ส้มเฉิงหงกวน...” เย่ว์หยางเปล่งเสียงคำรามดังก้องทะลุผ่านม่านเมฆกระบี่ยักษ์สีทองบดขยี้โลกได้ปรากฏอยู่ข้างหน้ามันช่วยให้เย่ว์หยางและเสี่ยวเหวินหลีที่กำลังดันเขา พุ่งขึ้นไปข้างหน้าอีกหนึ่งเมตรแค่เพียงหนึ่งเมตร กระบี่ส้มเฉิงหงกวนก็ถึงขีดจำกัดไม่สามารถทะลุทะลวงต่อไปได้ ขณะนั้นเย่ว์หยางแทบจะถูกผลักถอยหลังกลับ นางพญาดอกหนามมงกุฏทองตั่วตั่วที่กำลังหลับอย่างสบายในโลกคัมภีร์ก็ตื่นขึ้นและรีบออกมานอกคัมภีร์
“บานสะพรั่ง” ดอกไม้เบ่งบานสะพรั่งส่งกลิ่นหอมอยู่รอบตัวตั่วตั่วทำให้ทั้งพื้นที่กลายเป็นโลกดอกไม้
เย่ว์หยางรู้สึกว่าพลังของเขาฟื้นฟูและความสามารถของเขาเพิ่มขึ้นอย่างไม่จำกัด
ในใจของเขาปิติยินดี
ตั่วตั่วนี้มักจะไม่ค่อยแสดงฝีมือออกมาอย่างเต็มที่นางจะทำตัวไม่เด่น แต่ความช่วยเหลือของนางครั้งนี้ไม่ด้อยไปกว่าเสี่ยวเหวินหลีเลย
ด้วยความช่วยเหลือของนางพญาดอกหนามมงกุฎทองตั่วตั่วเย่ว์หยางก้าวหน้าไปที่แกนกลางได้อีกสามเมตร
เสี่ยวเหวินหลีอาจรู้ดีว่าตั่วตั่วจะช่วยเย่ว์หยางได้มากเธอจึงไม่ให้อสูรอื่นช่วยเย่ว์หยาง เธอคิดหาวิธีช่วยเย่ว์หยางเงียบๆจากนั้นอัญเชิญคัมภีร์เรียกความช่วยเหลือจากเมดูซ่าศิลา นางเงือกวายุ นาคาสายฟ้าและอสรพิษน้ำแข็งออกมาช่วยกันผลักดันเย่ว์หยาง
รังสีขาวบริสุทธิ์พุ่งออกจากฝ่ามือน้อยของเสี่ยวเหวินหลี
ซึมเข้าไปในร่างของเย่ว์หยางฉายเข้าไปถึงวิญญาณของเขาโดยตรง
เย่ว์หยางอดร้องตวาดไม่ได้และผลักดันอย่างบ้าคลั่งขึ้นหน้าไปได้อีกห้าเมตร ขณะที่เสี่ยวเหวินหลีและตั่วตั่วตามไม่ทันถึงเขา พวกเธอได้แต่ดูเย่ว์หยางโดยช่วยอะไรไม่ได้อีก ทุกคนพร้อมจะสนับสนุนด้วยพลังที่มากที่สุด แต่ระยะทางยังเหลืออยู่อีกแปดสิบเมตร
จะยอมแพ้หรือไม่?
เย่ว์หยางไม่ยินยอมยกเลิก เขาไม่เคยเป็นคนที่ยอมแพ้ ที่ทำอะไรเพียงครึ่งๆกลางๆ
แต่เขามองกลับไปข้างหลังเสี่ยวเหวินหลีและตั่วตั่ว พวกนางใช้พลังเต็มที่จนแทบจะถึงขีดจำกัด ทั้งเสี่ยวเหวินหลีและตั่วตั่วอาจหมดสติได้ทุกเมื่อ
“สนุกดี, เรามาลองดูกัน!” มีเสียงหนึ่งที่เขาไม่ได้ยินมานานแล้วจากนั้นเย่ว์หยางรู้สึกว่ามีบางอย่างกระแทกใส่เขาและตัวของเขาพุ่งไปข้างหน้าได้อีกหลายเมตรโดยไม่อาจควบคุมได้ เขาเหลียวกลับไปก็พบว่าเป็นสาวกิเลนจอมซนปิงหยินนางวิ่งเข้ามาอีกเป็นครั้งที่สอง เขาน้อยๆบนศีรษะนางขวิดชนร่างเย่ว์หยางเป็นครั้งที่สอง เย่ว์หยางร้องลั่น แม่สาวกิเลนคิดแต่จะขวิดใครจะเป็นจะตายไม่สนใจ..เด็กสาวกิเลนปิงหยินวิ่งเข้ามาชนเย่ว์หยางเป็นครั้งที่สาม เขาขึ้นหน้าไปได้อีกห้าเมตร
แต่พลังของนางก็ตกลงฮวบฮาบ
นางกลับไปสมทบเสี่ยวเหวินหลีและตั่วตั่วหอบหายใจโบกมือให้เย่ว์หยาง “เจ้าไปต่อเถอะ, ข้าเหนื่อยเป็นบ้า ไม่เห็นสนุกเลย!”
เย่ว์หยางพูดไม่ออก ถ้าเขาสามารถเดินขึ้นหน้าได้ จะยอมให้นางขวิดชนจนปวดหลังไปหมดหรือ?
แต่จะให้ยอมแพ้ตอนนี้เขาชักลังเลเล็กน้อย
ไม่เพียงแต่เสี่ยวเหวินหลีและตั่วตั่วเท่านั้น แต่สาวกิเลนปิงหยินก็ยังออกมาช่วยด้วยตัวนางเอง ตอนนี้ตอนนี้ห่างจากแกนกลางพลังงานเพียงเจ็ดสิบเมตร ระยะทางอีกเพียงเล็กน้อยเขาต้องยอมแพ้อย่างนั้นหรือ?
“แผดเผาพลังคอสโม!” เย่ว์หยางตะโกนสู้อีกครั้ง เขาไม่ใช่เซนต์เซย่าคงไม่แผดเผาพลังคอสโมแน่นอน แต่เขายังมีไม้เด็ด นั่นคือสภาวะคลุ้มคลั่งขณะที่เขาสูญเสียสติสัมปชัญญะ พลังของเขาจะแข็งแกร่งมากกว่าปกติหลายเท่า แม้ว่าจะมีความเสี่ยงเช่นกันแต่อย่างน้อยก็ต้องลองดู
“เจ้านี่กำลังจะบ้า, ออกมาห่างๆ เร็ว” สาวกิเลนปิงหยินรีบดึงเสี่ยวเหวินหลีและตั่วตั่วที่เป็นห่วงออกมา
เย่ว์หยางค่อยๆปล่อยสติให้หลุดออกไป เขารู้สึกถึงพลังที่ซ่อนอยู่ในใจของเขาระเบิดปะทุออกมา
ราวกับว่ามีบางอย่างที่เรียกตัวเขา
ทักษะแฝงเร้นที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนตื่นขึ้น
ขณะเดียวกันเย่ว์หยางได้เยินเสียงร้องเหมือนกับพญาหงส์เพลิงในช่วงสำนึกสุดท้ายเหมือนกับว่าเขามองเห็นสองพี่น้องหงส์เพลิง พวกเธอบินตรงเข้าไปในใจกลางแก่นพลังงาน60 50 40 30 เมตร.... เมื่อพลังของพวกเธอถึงขีดจำกัดเต็มที่ในขณะนั้นใจเย่ว์หยางก็ติดอยู่ในสภาวะคลั่งอย่างสิ้นเชิง
เหมือนกับว่าตนเองถูกกระบี่เล่มหนึ่งแทงทะลุ
กระบี่เหมือนกับทะลุออกจากร่างของเขาและนำพาร่างของเขาเข้าไปปักตรึงอยู่ใจกลางแกนพลังงานซึ่งเป็นแกนกลางของวงเวทอักขระรูนโบราณ.... เย่ว์หยางไม่สามารถคิดอะไรได้ เขาสูญเสียสติสัมปชัญญะอย่างสิ้นเชิง เขาแข็งขืนใช้พลังนักทำลายเคลื่อนไหวร่างตามสัญชาตญาณโดยไม่อาจควบคุมสำนึกได้ อักขระรูนโบราณที่ต้องอยู่ข้างหน้าเขาแกนพลังงานถูกกลืนกินรวดเดียว