บทที่ 18: ทีมสำรวจกับกูล
หากปลดปล่อยพลังทั้งหมดรวดเดียวในเวลาสั้น ๆ ล่ะก็ ราคาที่ต้องจ่ายคือร่างกายหมดแรงจนยืนไม่ไหว ในกรณีที่รุนแรงที่สุดคือแม้แต่แรงจะกระดิกนิ้วก็ยังไม่มี
ในเมื่อตอนนี้ถังเจิ้นไม่สามารถเดินทางต่อได้ทั้งสามเลยต้องหาที่สะอาด ๆ ใกล้ ๆ ที่สามารถซ่อนตัวใดนั่งพักกันก่อน พวกเขาเอาอาหารและน้ำออกมาเพื่อสนองความหิวโหย ครั้งนี้เพื่อความสะดวกในการพกพาถังเจิ้นเลยให้แค่บิสกิตกับน้ำแร่พวกเขาเก็บไว้กับตัวเองเท่านั้น
ส่วนตัวถังเจิ้นเองด้วยร่างกายที่อ่อนแอจึงทำให้ไม่เหลืออารมณ์จะกินอะไร ส่วนเฉียนหลงกับต้าสยงนั้นกินกันอย่างเอร็ดอร่อยไปเลย
ถังเจิ้นดูสภาพของตนตอนนี้และนึกถึงตอนที่เฉียนหลงเผชิญหน้ากับศัตรูโดยพยายามทำความเข้าใจไปด้วย ทางนั้นเวลาเจอกับศัตรูจะใช้การเคลื่อนไหวที่ควบคุมพละกำลังแล้วอย่างแม่นยำ การปลดปล่อยพลังในแต่ละท่วงท่ามีความถูกต้องจึงไม่สิ้นเปลืองพลังงานอย่างเปล่าประโยชน์
แต่การจะควบคุมพลังให้ได้เหมือนกันนั้นไม่ใช่สิ่งที่จะสำเร็จกันในชั่วข้ามคืน ดังนั้นถังเจิ้นเดาว่าเลเวลของเฉียนหลงน่าจะเกือบ ๆ เลเวล 2 หรือไม่ก็อาจเลเวล 2 ไปแล้วก็ได้
ส่วนเรื่องจริงจะเป็นยังไงนั้นถ้าเฉียนหลงไม่บอกเขาก็ไม่ถาม
เมื่อเปิดดูข้อมูลส่วนตัวแล้วถังเจิ้นก็ยืนยันได้ว่าตัวเขาในตอนนี้เป็นเลเวล 1 เรียบร้อย หากอยากเลื่อนเป็นเลเวล 2 ล่ะก็ตะต้องฆ่ามอนสเตอร์เลเวล 2 จำนวน 10 ตัวด้วยตัวเอง
ข้อกำหนดนี้ดูเหมือนง่าย แต่ในความเป็นจริงทำได้ค่อนข้างยาก
เพราะพลังการต่อสู้ของมอนสเตอร์เลเวล 2 นั้นเหนือกว่าเลเวล 1 คนละเรื่อง โดยมอนสเตอร์เลเวล 2 สามารถฆ่าเลเวล 1 ได้ 3 ตัวพร้อมกันทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาหายใจ
หากถังเจิ้นตอนยังไม่เลเวล 1 ต้องเจอกับมอนสเตอร์เลเวล 2 โดยไม่มีปืนอาวุธสงครามล่ะก็รับรองได้เลยว่าโอกาสชนะเป็นศูนย์
นี่คือความต่างระดับอันไม่มีโอกาสให้ก้าวข้าม
หลังจากพักผ่อนประมาณหนึ่งชั่วโมงในที่สุดร่างกายของถังเจิ้นก็ฟื้นตัวได้กว่าครึ่ง และทั้งสามคนก็พร้อมที่จะสำรวจต่อไป
หลังจากที่ออกจากที่ซ่อนถังเจิ้นก็พบกลุ่มคนปรากฏขึ้นบนแผนที่ซึ่งทำให้เขาระแวดระวังเล็กน้อย หลังจากกระซิบบอกให้เฉียนหลงและต้าเซี่ยงระวังตัวพวกเขาก็เห็นทีมสำรวจผู้พเนจรออกมาจากด้านหลังซากปรักหักพัง
ทีมสำรวจผู้พเนจรนี้มีสมาชิกสิบคน แต่ละคนสวมเกราะหยาบ ๆ ถืออาวุธมีคมดาบบ้างหอกบ้าง ทว่าพวกนี้แตกต่างจากผู้พเนจรทั่วไปคือไม่ได้มีร่างกายผอมแห้งผิวเหลือ เห็นได้ชัดว่าไม่มีปัญหาเรื่องขาดสารอาหาร แต่ละคนดูมีสุขภาพดีกันหมด
หลังจากทีมนั้นเจอพวกเขาทั้งสามแล้วก็แสดงอาการระมัดระวัง สายตาจับจ้องพวกถังเจิ้นทั้งสามเขม็ง โดยจ้องที่ต้าสยงเป็นสำคัญ
เห็นได้ชัดว่าขนาดตัวที่ใหญ่โตพร้อมอาวุธครบมือของต้าสยงบ่งบอกได้ชัดเจนเลยว่าไม่ใช่คนที่ควรมายุ่งด้วย! ส่วนถังเจิ้นกับเฉียนหลงดูน่าผวาน้อยกว่าเยอะเลยโดนมองข้ามโดยง่าย
หัวหน้าทีมสำรวจนี้เป็นชายไว้หนวดไว้เคราดูหยาบกร้านสูงร้อยเก้าสิบถือขวานดับเพลิงในมือ สวมเกราะโซ่ (เชนเมล) กระบอกหนังสะพายหลังบรรจุด้วยหลาวสั้นปลายแหลมหกด้าม
เจ้าคนหน้าเหี้ยมยืนอยู่เฉย ๆ โดยไม่ส่งเสียงใด ๆ ทำตัวให้คนรู้สึกเหมือนเจอเสือไม่ก็หมาป่าจ่าฝูง ร่างกายของมันเปล่งออกร่าฆ่าคนออกมาหน่อย ๆ
ถังเจิ้นประเมินจากลิ่นอายของมันก็ตัดสินว่าอย่างน้อย ๆ น่าจะเลเวล 2 แถมยังเป็นประเภทฆ่าคนได้ไม่กระพริบตาด้วย
ผลการประเมินทำเอาถังเจิ้นอดประหม่าไม่ได้จนต้องแอบซุกมือไว้กับปืนพกข้างเอว
ทั้งสองทีมเผชิญหน้ากันเงียบ ๆ ไม่มีใครเคลื่อนไหวอะไรเพิ่มเติมทำเอาบรรยากาศก็ตึงเครียดขึ้นไปอีก
ครู่ต่อมาชายหนวดเคราก็หันกลับแล้วเดินตรงลึกเข้าไปในซากปรักหักพัง ก่อนหันกลับมามองพวกถังเจิ้นทั้งสามคนก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ ด้วยแววตาที่คมกริบราวมีด
ถังเจิ้นรู้สึกเหมือนเจอกับหมาป่า หมาป่าที่เจอเหยื่อแล้วและจะจับเหยื่อกลืนทั้งตัวให้จงได้โดยไม่ลังเล
ในแดนทุรกันดารมักมีการแย่งชิงอย่างโหดร้ายระหว่างทีมเกิดขึ้น ผู้อ่อนแอมักถูกรังแกและกลืนกินจนกระดูกก็ไม่เหลือ ในกรณีนี้รักษาชีวิตไว้ได้ก็ไม่เลวแล้ว
กระนั้นไอ้ทีมตรงหน้านี้กลับไม่ได้ลงมืออะไรกับพวกเขาทั้งสามเลย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะตอนนี้ยังอยู่ที่บริเวณขอบ ๆ ซากปรักหักพังเลยรู้ไม่มีอะไรให้ปล้นแน่นอน หรือไอ้ตัวหัวหน้ามันจะสัมผัสได้ถึงอันตรายของพวกเขาทั้งสามเลยไม่ผลีผลามกันแน่
ผลสุดท้ายกลายเป็นทั้งสองฝ่ายเดินผ่านกันไปโดยไม่พูดอะไรซักคำ และเป้าหมายของคนเหล่านี้ก็คือส่วนลึกของซากปรักหักพังด้วยเช่นกัน
สีหน้าของถังเจิ้นมืดหม่น เขาจับจ้องทิศทางของคนพวกนี้เงียบ ๆ จากนั้นก็กวักมือเบา ๆ เรียกให้เฉียนหลงกับต้าสยงตามไป
ขณะก้าวเดินไปบนถนนที่เต็มไปด้วยเศษซากอาคารที่พังทลายได้มีความรู้สึกคุ้นเคยจาง ๆ ขึ้นมา ถังเจิ้นพยายามระบุแหล่งที่มาของซากอาคาร แต่ก็น่าเสียดายที่ตัวอักษรบนอาคารเหล่านั้นไม่ได้มาจากอักขระแบบใดที่เขารู้จักเลย แต่รูปแบบของสถาปัตยกรรมค่อนข้างคุ้น..
หลังจากข้ามจัตุรัสที่มีรูปปั้นหินน้ำพุแปลก ๆ แล้วก็เผยให้เห็นอาคารขนาดใหญ่ตรงหน้าทั้งสาม พื้นที่ประมาณ 70,000 ถึง 80,000 ตารางเมตร แม้ว่าภายนอกของอาคารจะดูทรุดโทรมแต่ก็ยังคงเหลือเค้าของความยิ่งใหญ่ที่เคยเป็นมาก่อนอยู่
มันดูเหมือนหอนาฬิกาขนาดยักษ์แต่พื้นผิวถูกปกคลุมไปด้วยรูปปั้นนูนต่ำของมอนสเตอร์ชนิดต่าง ๆ สูงกว่า 50 เมตรเหนือพื้นดิน มีแท่นแขวน 5 แท่นที่ยื่นออกไปทำมุม 90 องศา
ที่จุดสูงสุดของอาคารนี้ยังมีภาพนูนต่ำของมอนสเตอร์เหมือนกันแต่ครึ่งหนึ่งได้ถูกทำลายไปแล้ว ดูไปแล้วน่าจะเป็นมอนสเตอร์คล้ายมนุษย์แต่มีปีกขนาดใหญ่สองคู่
“เฮ่อ~”
ถังเจิ้นมองดูอาคารที่งดงามเบื้องหน้าและแอบถอนหายใจ เฉียนหลงบอกว่าศิลาเสาเอกของโหลวเฉิงแห่งนี้ถูกเอาไปเมื่อหลายปีก่อน แถมโหลวเฉิงใหม่ที่สร้างจากศิลาเสาเอกนั้นก็แข็งแกร่งมากด้วย
ศิลาเสาเอกยังแบ่งออกเป็นระดับต่าง ๆ อีก ยิ่งศิลาเสาเอกมีระดับสูงมากเท่าไหร่ศักยภาพของโหลวเฉิงก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
ได้ยินมาว่าโหลวเฉิงที่สร้างจากศิลาเสาเอกของที่นี่มีพื้นที่กว้างใหญ่แถมรูปร่างประหลาด ตอนสร้างขึ้นมาใหม่ ๆ ก็มีพื้นที่ถึง 40,000 ตารางเมตรแล้ว กว้างใหญ่กว่าโหลวเฉิงสร้างใหม่ทั่ว ๆ ไปนับสิบเท่า!
โดยทั่วไปหากอยากให้โหลวเฉิงของตนใหญ่โตขนาดนี้จะต้องผ่านการอัปเกรดหลายครั้งมาก ๆ ซึ่งนั่นหมายถึงทรัพยากรจำนวนมหาศาล
หลังจากแอบอิจฉาในใจอยู่ครู่หนึ่งถังเจิ้นก็ตัดสินใจเข้าไปดูในอาคารนี้
เมื่อก้าวขึ้นบันไดที่ทรุดโทรมไปทีละขั้น ๆ ตรงไปยังประตูสีดำสนิทปานปากของสัตว์ร้ายที่รอกลืนกินผู้คน ทั้งสามคนก็เปิดไฟฉายคาดหัวของตนตามลำดับ
ภายในอาคารขนาดใหญ่นี้มืดสนิท หลังจากที่แสงจ้าจากภายนอกเข้ามาก็ไม่รู้ทำไมมันถึงได้สลัวลงซะเฉย ๆ เสียงฝีเท้าเหยียบลงบนพื้นอย่างแผ่วเบา แต่ก็มีเสียงสะท้อนทำให้ภายในอาคารดูวังเวงมากยิ่งขึ้นไปอีก
การอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ทำให้รู้สึกเสียวหนังหัวอย่างไม่อาจควบคุม ขนลุกซู่จนเจ็บเหมือนมีคนเอาเข็มมาแทง
ถังเจิ้นรู้สึกเย็นยะเยือกมาบนหัว ราวกับมีตัวอะไรซักอย่างกำลังจ้องเขาอยู่ในเงามืดข้างบนนั้น แถมพอเปิดแมพดูก็กลายเป็นมันมืดไม่มีอะไรเลยเพราะยังไม่อาจมองทะลุอาคารได้
นี่คือข้อเสียของแอปแผนที่ขั้นต้น เพราะแม้จะจับสัญญาณในรัศมี 100 เมตรได้ก็จริง แต่ด้วยสภาพแวดล้อมที่มืดมิดแบบนี้ก็ไม่อาจมองเห็นอะไรในแผนที่ได้เลยอยู่ดี
ดังนั้นเพื่อจัดการกับสถานการณ์นี้ถังเจิ้นจำเป็นต้องเพิ่มปลั๊กอินลงในแอปแผนที่เท่านั้น จะได้ส่องทะลุสิ่งกีดขวางภายในอาคารและแสดงมาร์คของศัตรูลงบนแมพได้
แต่การติดตั้งปลั๊กอินแบบนี้ต้องใช้เหรียญทองจำนวนมากซึ่งถังเจิ้นในตอนนี้ไม่อาจจ่ายไหว
เมื่อเทียบกับถังเจิ้นที่ยังประหม่า การเคลื่อนไหวของเฉียนหลงนั้นรวดเร็วและเฉียบคมกว่าเยอะ เขาน้าวคันธนูเล็งไปที่ตำแหน่งหนึ่งในความมืดแล้วก็ปิ้ว ปล่อยนิ้วโดยไม่ลังเล
“ฟิ้ว!”
ลูกธนูพุ่งไปราวกับสายลมและหายไปในพริบตา
“โอ๊กกกกกกกกกกกกกก!”
มีเสียงกรีดร้องตามด้วยแสงสีเขียวเข้มที่กระพริบในพื้นที่อันมืดระยะไกล แสงนี้ดูเหมือนลูกตาของสิ่งมีชีวิตบางชนิดที่วาบแสงด้วยความบ้าคลั่ง
“เชี่ย แม่งเชี่ยไรวะเนี่ย!”
ถังเจิ้นผงะเอาปืนออกมาประทับเล็งไปตรงทิศทางนั้นทันทีพร้อมที่จะเหนี่ยวไกใส่แสงกระพริบนั้นได้ทุกเมื่อ จากนั้นได้มีกล่องข้อความเด้งขึ้นมาให้อ่าน
[กูลตาฟ้า เลเวล 2 ชอบกินซากสัตว์ กลัวแสงแดดมาก กำลังของแขนขาทั่ว ๆ ไป แรงกัดน่ากลัวมาก]
ไอ้นี่เรียกกูลตาฟ้านี่เอง ดูจากจำนวนลูกตาของพวกมันแล้วน่าจะมีไม่ต่ำกว่า 10 ตัว!
เห็นฉากนี้เข้าหัวใจของถังเจิ้นก็สั่นสะท้าน เพราะมอนสเตอร์เลเวล 2 สามารถระเบิดกำลังได้สูงสุดเทียบเท่าผู้ใหญ่ 2 คน ด้วยพวกมันมีกันเยอะขนาดนี้ถ้าไม่ระวังล่ะก็ได้ตายจริง ๆ แน่
ตอนนี้จู่ ๆ ในใจก็รู้สึกเสียใจตงิด ๆ เพราะอยู่ในเมืองหาของขายระหว่างโลกให้ร่ำรวยก็ดีอยู่แล้วแท้ ๆ จะประมาทจนเอาชีวิตมาเสี่ยงทำไมว้า~ กูเนี่ย!
แต่ก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะคิดเรื่องพวกนี้ตอนนี้ เพราะมันต้องหาทางแก้วิกฤตตรงหน้าให้รอดก่อน !
“ถอยช้า ๆ พวกมันไม่กล้าโผล่หน้ามากลางแดด!”
ถังเจิ้นคำรามเสียงดังและทั้งสามคนก็ถอยกลับทันทีหลังจากที่ถังเจิ้นพูดจบ แต่ไอ้พวกกูลมันไม่ได้ช้าด้วย มันกระโจนใส่พวกเขาทั้งสามโดยกระโดดทีเดียวย่นระยะห่างได้ครึ่งหนึ่งในชั่วพริบตา
ในที่สุดถังเจิ้นก็มองเห็นรูปลักษณ์ของพวกมันได้อย่างชัดเจน เอาง่าย ๆ คือโคตรอยากอ้วก ไอ้พวกนี้มันคลานกับพื้นด้วยความเร็วสูง ทั้งเนื้อทั้งตัวมีแต่ตุ่มหนองแถมที่อยากอ้วกคือกลิ่นที่โคตรเหม็น ปากขนาดใหญ่แหกเป็นรูปกากบาดมีลิ้นอ้วน ๆ แลบออกมาจากปาก
“เอาแม่ง!”
ทันทีที่พูดจบลงถังเจิ้นก็ยิงออกไปเลย แขนที่แข็งแกร่งขึ้นทำให้รับแรงถีบของปืนได้มากขึ้นจึงประคองปืนได้นิ่งขึ้นมาก ปากกระบอกเล็งใส่หัวของไอ้กูลตาฟ้าตรงหน้า และกระสุนก็กระซวกหว่างคิ้วของมันจนเป็นรูโบ๋!