บทที่ 17: สุดยอดซากปรักหักพัง
“เอาล่ะทุกคนมาพักกันเถอะ!”
ถังเจิ้นว่าพร้อมกับเอาอาหารออกมามากมายมาวางบนหินเรียบ ๆ ในถ้ำที่ใช้แทนโต๊ะ
เด็กหญิงตัวน้อยที่กำลังเล่นตุ๊กตาเห็นไก่ย่าง ไส้กรอก อาหารกระป๋อง ขนมปัง ฯลฯ วางลงบนหินก็มองด้วยดวงตาที่เบิกกว้างและตั้งใจจ้องแบบสุดขีด
ถังเจิ้นเห็นปฏิกิริยาของเด็กน้อยก็รู้สึกขบขันเลยฉีกน่องไก่มันเยิ้ม ๆ ให้อีกฝ่ายซึ่งก็เอาปากงับแล้วกลืนลงไปทันที
“โคตรหรู!”
เฉียนหลงยกนิ้วให้ถังเจิ้นพลางจิ๊ปากด้วยความชื่นชม เพราะในโลกนี้มีแค่คนไม่ธรรมดาเท่านั้นแหล่ะที่จะหาอาหารแบบนี้มากินได้ เอาจริง ๆ มีหลายอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนด้วยซ้ำ
เจ้าอ้วนต้าสยงก็เริ่มลงมือกินไก่ด้วยความทนไม่ไหวไปแล้ว เมื่อปากได้สวาปามไก่ย่างเข้าไปดวงตาก็เบิกโพลงไปกับอาหารแสนอร่อยในปาก
ทุกคนที่นั่งรอบก้อนหินเริ่มกินอาหารไปด้วยกัน เพราะต้องทำงานยุ่ง ๆ อยู่ตลอดคืน อาหารเลิศรสเลยยิ่งกระตุ้นความหิวได้หนักกว่าเดิมอีก จนสุดท้ายอาหารทั้งหมดก็โดนกินจนสะอาด ขนาดกระดูกยังไม่เหลือ เพราะเจ้าต้าสยงเอาเข้าปากเคี้ยวกลืนด้วยสีหน้ามึนเมา
ถังเจิ้นทนดูไม่ไหวเลยเอาบิสกิตประทังหิวออกมาส่งให้ต้าสยง
หลังจากกินดื่มจนหนำใจแล้วทีมที่วุ่นวายมาทั้งคืนต่างคนต่างกางผ้าห่มออกแล้วหาที่เหมาะ ๆ ในถ้ำนอนกันมุมใครมุมมัน ถังเจิ้นเองก็ง่วงเล็กน้อย พอนอนลงได้ไม่นานก็หลับสนิท
กว่าถังเจิ้นจะตื่นก็ปาเข้าไปบ่ายวันรุ่งขึ้น และมู่หรงจื่อเหยียนตื่นก่อนนานแล้วและกำลังทำความสะอาดถ้ำอยู่พร้อมจัดข้าวของเครื่องใช้ประจำวันที่ถังเจิ้นเอาให้
เด็กหญิงตัวน้อยที่นอนหลับไม่สนิทก็ตื่นขึ้นมายุ่งกับพี่สาวตน
เฉียนหลงนั่งกอดอาวุธในอ้อมแขนอยู่ที่ปากทางเข้าถ้ำ มองดูเหล่าผู้พเนจรผ่านไปผ่านมาไกล ๆ เป็นระยะ ๆ
ที่บริเวณนี้มีถ้ำที่มีทีมผู้พเนจรอยู่บ้าง เมื่อเห็นว่าถ้ำที่เคยว่างมีพวกถังเจิ้นอาศัยอยู่ก็แวะมาดูกันเป็นครั้งคราว
ถังเจิ้นเดินไปหาเฉียนหลงและนั่งลงมองดูทิวทัศน์ภายนอกสักพัก “ฉันอยากหาโอกาสเข้าไปดูในโหลวเฉิงใกล้ ๆ นี่ซักหน่อยน่ะ พอจะมีวิธีดี ๆ ปะ?”
เฉียนหลงก้มหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นจึงบอกว่า “นายคงต้องสมัครเข้าร่วมทีมสำรวจและกองคาราวานในโหลวเฉิงอะ พอเลเวลถึงแล้วนายจะมีโอกาสเข้าสู่โหลวเฉิงได้”
“กว่าจะเวลถึงนี่ต้องใช้เวลานานขนาดไหน?” ถังเจิ้นถามพร้อมกับขมวดคิ้ว
“ไม่แน่ใจเหมือนกัน อย่างน้อย ๆ ต้องมีสามถึงห้าปี” เฉียนหลงตอบ
“ไม่เอาอะ นานเกินไป มีวิธีอื่นอีกมะ?” ถังเจิ้นส่ายหัวปฏิเสธ
“ไม่งั้นก็ต้องได้รับคำเชิญจากโหลวเฉิง หรือไม่ก็มีคุณสมบัติเป็นผู้อาศัย ถ้าไม่ใช่สองอย่างนี่ล่ะก็บอกเลยว่ายาก” เฉียนหลงยักไหล่แสดงว่าเขาคิดได้แค่นี้แหล่ะ
“คำเชิญ คำเชิญอะไรอีก?” ถังเจิ้นผงะไปครู่หนึ่ง
“โหลวเฉิงจะจัดงานประมูลทุกปี ในเวลานั้นจะมีคำเชิญถูกส่งมายังผู้พเนจรที่ร่ำรวยและมีอำนาจในบริเวณใกล้ ๆ เพื่อเข้าสู่โหลวเฉิงไปร่วมงานประมูล...”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้จู่ ๆ เฉียนหลงก็มองถังเจิ้นและพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “นายอยากสร้างโหลวเฉิงไม่ใช่เหรอ? เท่าที่ฉันรู้ในงานประมูลบางครั้งมันจะมีการเอาศิลาเสาเอกกับลูกปัดสมองที่สูงกว่าเลเวลหกออกขายด้วยหนิ!”
ถังเจิ้นได้ยินดังนั้นก็มีความสุขมากจึงรีบว่าต่อ “มันเรื่องอะไรกัน ไหนเล่ารายละเอียดให้ฟังหน่อยซิ”
เฉียนหลงถอนหายใจเฮือกใหญ่และพูดด้วยน้ำเสียงแบบทำอะไรไม่ถูกว่า “เฮ่อ~ นายก็รู้ว่าฉันเป็นแค่ผู้พเนจรธรรมดา แล้วอย่างฉันจะไปรู้รายละเอียดของการประมูลได้ยังไงเล่า!”
ถังเจิ้นจากยินดีกลายเป็นผิดหวัง แต่ตอนนี้ก็ได้รู้แล้วว่างานประมูลครั้งนี้น่าจะมีสิ่งที่เขาอยากได้ ดังนั้นเขาจึงต้องหาโอกาสคว้าคำเชิญดังกล่าวมาให้ได้ และที่สำคัญคือจำนวนลูกปัดสมองที่มากพอด้วย
แต่สิ่งที่เร่งด่วนที่สุดตอนนี้คือการฆ่ามอนสเตอร์และอัปเกรดตนเองให้เร็วที่สุด เขาแทบรอไม่ไหวที่จะได้เห็นความแข็งแกร่งของตนหลังจากอัปเกรดแล้วว่าจะพัฒนาไปมากขนาดไหน
ถังเจิ้นจึงตัดสินใจว่าเขาจะพาเฉียนหลงกับต้าสยงไปตะลุยฆ่ามอนสเตอร์ในแดนทุรกันดารวันนี้เพื่ออัปเกรดตนเอง
พอหันไปเห็นเจ้าต้าสยงที่นั่งโง่ ๆ อยู่ใกล้ ๆ ถังเจิ้นก็นึกถึงอุปกรณ์ที่เขาเตรียมไว้ให้ เขาไปที่มุมถ้ำแล้วเอาโล่ที่เชื่อมขึ้นด้วยแผ่นเหล็กกับกระบองเหล็กขนาดใหญ่ออกมา!
ตัวกระบองนี้คือท่อเหล็กที่มีความยาวประมาณ 1.7 เมตรปกคลุมด้วยหนามเหล็กรูปสามเหลี่ยมที่แหลมคม
ถังเจิ้นลองใช้มันก่อนหน้านี้ซึ่งกว่าจะยกมันขึ้นได้ต้องใช้แรงถึงสองมือ คงมีแค่เจ้าตัววิปริตอย่างต้าสยงเท่านั้นแหล่ะที่จะกวัดแกว่งกระบองนี่อย่างคล่องแคล่วได้
ถือโล่ในมือซ้ายถือกระบองในมือขวา มีโซ่เหล็กสีดำหนาหลายเส้นพันเฉียงรอบร่างกาย ทำให้ต้าหนิวตอนนี้ดูน่าเกรงขามสุด ๆ ขอแค่ไม่พูดแสดงความเอ๋อออกมาล่ะก็แค่ยืนตั้งท่าเฉย ๆ ก็ทำเอาผู้พเนจรคนอื่นหัวหดได้แล้ว
เมื่อพวกเฉียนหลงเห็นต้าสยงติดอาวุธพวกเขาก็ถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะจินตนาการว่าถ้าเจ้าหมอนี่ใช้อาวุธในมือสังหารมอนสเตอร์ล่ะก็มันจะต้องเป็นฉากนองเลือดชัวร์ ๆ
หลังจากที่ทั้งสามคนพร้อมแล้วถังเจิ้นบอกให้มู่หรงจื่อเหยียนอยู่เฝ้าบ้าน ส่วนชายทั้งสามก็ออกจากถ้ำด้วยกันเข้าไปในแดนทุรกันดาร
เมื่อผ่านแดนทุรกันดารก่อนหน้านี้ตลอดมาถังเจิ้นมักจะระมัดระวังตัวอยู่เสมอ เพราะกลัวว่าตนเองจะไปป๊ะเข้ากับมอนสเตอร์ ทว่าคราวนี้เขากระตือรือร้นอยากเจอกับมอนสเตอร์ทั้งหลายมาก ๆ จะได้อัปเวลเร็วขึ้น
แต่เรื่องก็ไม่ค่อยเป็นไปดังหวัง เพราะเมืองผู้พเนจรช่วงกลางวันจะมีมอนสเตอร์มาป้วนเปี้ยนใกล้ ๆ น้อยมาก และถ้ามีโผล่มาเมื่อไหร่จะถูกเหล่าทหารยามหรือไม่ก็ผู้พเนจรที่เดินเข้า ๆ ออก ๆ เมืองรุมฆ่าและแงะเอาลูกปัดสมองออกมา
หลังจากออกค้นหาเกือบชั่วโมงในที่สุดพวกเขาทั้งสามก็พบกับมอนสเตอร์เลเวลต่ำสองตัวและถูกถังเจิ้นฆ่าอย่างง่ายดาย
“ไม่ไหวอะ หาที่ที่มีมอนสเตอร์เยอะกว่านี้ได้ปะ?” ถังเจิ้นถามเฉียนหลง
“ก็ต้องเป็นใกล้ ๆ อาคารป่าอะ ส่วนใหญ่เป็นพวกเวลต่ำ แล้วก็มีที่ที่พวกมันไปรวมตัวกันด้วยโดยมีตัวเวลสูง ๆ เป็นผู้นำ พวกมันจะครอบครองพื้นที่ขนาดใหญ่ที่มีทรัพยากรมากมาย ส่วนจำนวนก็หลายพันเลยล่ะนะ” เฉียนหลงตอบพลางหยิบกระติกทหารที่ถังเจิ้นให้ออกมาจิบน้ำ
จากนั้นก็ชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง “ฉันได้ยินมาว่าในที่นั่นไกลออกไปมีมอนสเตอร์สร้างปราสาทและคอยกดขี่เผ่าพันธุ์มนุษย์จำนวนมากอยู่”
ถังเจิ้นมองไปที่ทิศทางที่เฉียนหลงชี้และพูดช้า ๆ ชัด ๆ ด้วยน้ำเสียงที่สงบ “ถ้าวันหนึ่งพลังของฉันแข็งแกร่งพอฉันจะให้กองทัพแก่นาย แล้วนายจะนำทัพไปช่วยคนพวกนั้นมั้ย?”
เฉียนหลงเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหัว “ถ้าไม่มีผลประโยชน์ล่ะก็จะไม่มีใครทำแบบนั้นในแดนทุรกันดารหรอก ชีวิตของผู้พเนจรเป็นสิ่งที่ไร้ค่าที่สุดในดินแดนนี้แล้ว”
ถังเจิ้นพูดคุยกับเฉียนหลงพลางให้ความสนใจกับการเคลื่อนไหวบนแมพ จุดหมายของทั้ง 3 คนคือซากปรักหักพังของอาคารป่าที่อยู่ใกล้ ๆ มันเป็นซากปรักหักพังขนาดใหญ่ที่ปรากฏขึ้นมาเมื่อหลายปีก่อน ว่ากันว่าโหลวเฉิงใกล้ ๆ หลายแห่งได้จัดตั้งทีมสำรวจขึ้นมาและเจอของดี ๆ มากมายจากที่นั่น
ตอนนี้กลุ่มอาคารป่าได้กลายเป็นพื้นที่ล่าสัตว์สำหรับให้ทีมผู้พเนจรได้ล่ามอนสเตอร์ เพราะมีผู้พเนจรที่ชอบขุดคุ้ยของมีค่าอย่างพวกเศษเหล็ก ยาสูบ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จากซากปรักหักพังเป็นครั้งคราว ดังนั้นมันจึงกลายเป็นสถานที่ที่มีผู้คนแวะเวียนมาบ่อย ๆ
ทั้งสามเดินไปตามทางเรื่อย ๆ โดยไม่มีมอนสเตอร์เข้ามารบกวนเลยตลอดทาง แม้จะเป็นแบบนั้นการเดินก็ยังคงเป็นไปได้อย่างยากลำบากและน่าเบื่อหน่าย จนถังเจิ้นอดไม่ไหวต้องถามออกมา “อีกนานมั้ย?”
“เกือบถึงละ” เฉียนหลงไม่แสดงสีหน้า
ถังเจิ้นส่ายหัวคิดว่าจะหารถมาขับดีมั้ยจะได้เดินทางสะดวกขึ้น
หลังจากเดินต่อไปซักพักเฉียนหลงก็พูดว่า “ถึงละ”
ถังเจิ้นหยิบกล้องส่องทางไกลออกมาส่องและเห็นพื้นที่ขนาดใหญ่ของซากปรักหักพังของอาคารที่พังทลายซึ่งมองเห็นได้ลาง ๆ ประมาณหนึ่งกิโลเมตรข้างหน้าโดยมีร่างของผู้คนกะพริบเป็นระยะ ๆ
และเมื่อถังเจิ้นเดินไปที่หน้าซากปรักหักพังเขาก็ต้องรู้สึกทึ่งกับขนาดของมัน
ขนาดยืนอยู่บนที่สูงและมองลงไปยังเห็นอาคารทรุดโทรมและพังทลายอยู่หลายแห่งในรัศมีหลายกิโลเมตรไกลออกไปหาขอบเขตของมันไม่เจอ เนื่องจากมีหมอกสีเทา ๆ คอยบดบังทัศนวิสัยของถังเจิ้น
“โห! ซากปรักหักพังนี่มันใหญ่เบอร์ไหนวะเนี่ย?” ถังเจิ้นมองมันอยู่ครู่หนึ่งแล้วหันมาถามเฉียนหลง
“ไม่รู้สิ ไม่เห็นมีใครเคยบอก แต่ฉันได้ยินมาว่าครั้งหนึ่งมีคนเดินทางผ่านซากปรักหักพังนี่ในหนึ่งเดือนและได้ของดีมาเพียบอะ!” เฉียนหลงพูดเบา ๆ และเริ่มจัดอุปกรณ์ให้พร้อม
มือซ้ายถือคันธนู สะพายลูกธนู 5 ดอก และมีอีก 1 ดอกอยู่บนสายธนูแล้ว
ถังเจิ้นพยักหน้าอย่างเงียบ ๆ และกระโดดลงมาจากที่สูง เมื่อเตรียมอาวุธพร้อมแล้วทั้งสามก็เริ่มเดินไปที่ซากปรักหักพังนั้น
ในขณะที่ก้าวเดินไปข้างหน้าเขาก็ตั้งใจฟังการเคลื่อนไหวรอบตัวพร้อม ๆ กับสังเกตแมพที่ลอยอยู่เบื้องหน้าไปด้วย
หลังจากเดินไปได้ไม่ถึง 100 เมตรทันใดนั้นถังเจิ้นก็พบกับเป้าหมายที่แผนที่มาร์คไว้ซึ่งกำลังเคลื่อนไหวอยู่ห่างไปข้างหน้าไม่กี่สิบเมตร เมื่อเช็กดูดี ๆ จะเห็นว่ามันเป็นมอนสเตอร์สีกากีตัวหนึ่ง!
ถังเจิ้นที่เห็นดังนั้นก็ไม่ลังเลรีบวิ่งตรงไปหามันในทันที เฉียนหลงที่เห็นแบบนั้นก็ผงะไปเล็กน้อยก่อนจะกวักมือเรียกต้าสยงให้ตามไป และเมื่อเข้าไปใกล้ซากปรักหักพังก็เห็นว่าถังเจิ้นกำลังสับมอนสเตอร์ที่บาดเจ็บสาหัสอยู่ก่อนแล้วอยู่
“เฮ่ย ๆ เถ้าแก่ นายรู้ได้ไงอะว่าตรงนี้มีมอนสเตอร์อยู่?” เฉียนหลงถามอย่างสงสัย
เฉียนหลงเข้าใจดีว่าถังเจิ้นมีประสบการณ์ในการใช้ชีวิตและต่อสู้ในแดนทุระกันดารต่ำมาก ไอ้มอนสเตอร์ตัวนี้แม้แต่ตัวเขาเองยังไม่ทันสังเกตเห็นเลยดังนั้นถังเจิ้นนี่ไม่ต้องพูดถึง
ทว่าความเป็นจริงตรงหน้าคือถังเจิ้นสามารถเจอเจ้ามอนสเตอร์ตัวนี้ได้ก่อนเขาแถมยังลงมือฆ่ามันได้อย่างหมดจดด้วย
เฉียนหลงมีข้อสงสัยในตัวถังเจิ้นมากมายในใจ ทว่าก็ยังฉลาดมากพอที่จะไม่ถาม และในแง่การต่อสู้เฉียนหลงรู้สึกได้ชัดเจนมากว่าถังเจิ้นมีความก้าวหน้าขึ้น ซึ่งนี่เป็นสัญญาณที่ดี
ในโลกนี้จะเป็นผู้ล่าหรือเป็นผู้ถูกล่าก็มีแค่ความแข็งแกร่งของตนเองเท่านั้นที่จะรับประกันความอยู่รอดได้อย่างน่าเชื่อถือมากที่สุด ส่วนผลประโยชน์ที่ได้จะมากจะน้อยก็ขึ้นอยู่กับว่าติดตามหัวหน้าที่เก่งหรือไม่
หลังจากเก็บลูกปัดสมองแล้วทั้งสามก็เดินหน้าต่อไป ถังเจิ้นยังคงเป็นคนแรกที่ค้นพบร่องรอยของมอนสเตอร์และไปจัดการฆ่ามันอย่างรวดเร็ว
หลังจากเข้าไปในซากปรักหักพังประมาณหนึ่งกิโลเมตรถังเจิ้นซึ่งก็ฆ่ามอนสเตอร์อีก และแล้วเขาก็รู้สึกว่าร่างกายของตนแข็งเกร็งขึ้นมาในทันใด ความรู้สึกเสียวซ่านไหลบ่าไปทั่วร่างกาย แล้วจู่ ๆ ก็รู้สึกว่าไม่ว่าจะเตะหรือต่อยเขาก็สามารถระดมพลังจากทั่วทั้งร่างส่งผ่านมาได้
นี่คือความแข็งแกร่งของคนเลเวล 1 ซึ่งสามารถระเบิดความแข็งแกร่งเที่ยบเท่าผู้ใหญ่ได้อย่างสมบูรณ์ทุก ๆ ท่วงท่า!
ทั่วทั้งร่างของถังเจิ้นรู้สึกเต็มเปี่ยมไปด้วยพละกำลัง ชักดาบเล่มใหญ่ออกมาโบกสะบัดกวัดแกว่งอย่าตื่นเต้นในความคล่องแคล่วที่เพิ่มขึ้น ความเบิกบานใจในพละกำลังทำให้รู้สึกเบาเหมือนบินได้ ทว่าพอออกแรงเต็มที่ไปได้เพียงสิบกว่าดาบลมหายใจก็กลายเป็นติดขัด ร่างทั้งร่างเกิดความเจ็บปวดขึ้นมาจนแม้แต่ยืนยังไม่ไหว
“เชี่ย เกิดเชี่ยไรขึ้นวะเนี่ย!”
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ”
ถังเจิ้นนั่งหอบลงกับพื้นและถามเฉียนหลงที่ตอนนี้กำลังหัวเราะงอหายด้วยใบหน้าหม่นหมอง
“เออ ๆ ฮ่า ๆ ๆ ๆ ก็นะ ไม่แปลก เป็นกันทุกคนแหล่ะ พอเลื่อนเป็นเวลหนึ่งใหม่ ๆ ก็จะรู้สึกว่าตัวเองมีพลังมหาศาลขนาดต่อยเหล็กกล้าให้บุบได้ในหมัดเดียว แล้วเป็นไง ก็เทสต์พลังไง ส่วนผลที่ตามมาก็คือม่อยกระรอกเหมือนนายตอนนี้แหล่ะ!”
ถังเจิ้นกลอกตาเมื่อได้ยินแล้วพูดดุออกมา “ไอ้เด็กเปรตนี่จงใจไม่บอกก่อนเพราะอยากรอดูกูปล่อยไก่เหรอวะ”
“เอาหน่า ๆ ตอนฉันเลื่อนเป็นเวลหนึ่งใหม่ ๆ สภาพแย่กว่านายเยอะ พออัปเวลแล้วฉันก็อวดเก่งขนาดไปฆ่าพวกโจรจนสุดท้ายก็หมดแรงต้องนอนกองอยู่กะศพพวกมันตั้งหลายชั่วโมงแหน่ะกว่าจะลุกไหว” เฉียนหลงพูดช้า ๆ ด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่มีร่องรอยของความเหงาที่มองไม่เห็นในน้ำเสียง