ตอนที่แล้ว4. โหมดแฮ็คระบบและการลาออก
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไป6.ความทะเยอทะยานของลีนา

5.ประสบการณ์จับคู่ที่ลืมไม่ลง


หนิงซีมาถึงสถานที่นัดบอดเวลา 11:55 น.  ห้านาทีก่อนถึงเวลานัด

ภัตาคารหยานอู่ เป็นภัตตคารระดับสูง แต่ละโต๊ะมีที่กั้นเป็นส่วนตัว  ค่าใช้จ่ายต่อหัวกว่า 300 หยวน

อาหารจัดมาในปริมาณน้อย แต่ประณีตและมีรสชาติพอใช้ได้

หนิงซีเองก็ไม่ชอบร้านแบบนี้  ราคาแพง แต่ทานไม่อิ่ม

ภัตตาคารมีสไตล์การตกแต่งเน้นโทนดำและแดงเป็นหลัก แสงไฟหรี่ทำให้มีบรรยากาศสลัวๆ

ภายในภัตตาคารประดับไปด้วยรูปเปลือยแกะสลักทุกประเภท รวมไปถึงกระดาษเปียกที่บรรจอยู่ในซองคล้ายถุงยางอนามัยทำให้เด็กสาวต่างมองอย่างสนใจ

แม่ของเขาได้ส่งเบอร์ติดต่อของหญิงสาวและเบอร์โต๊ะที่จองไว้ให้หนิงซีตั้งแต่เช้าแล้ว

โต๊ะเบอร์ 18, “ว่าที่คู่รัก”.

แม้หนิงซีจะหน้าหนาแค่ไหน ก็ยังรู้สึกอายที่จะพูดชื่อของโต๊ะนี้

“โต๊ะหมายเลข 18 ครับ จองไว้แล้ว”

“เชิญทางนี้ครับท่าน !”

บริกรเดินนำหน้าไปภายในภัตตาคารขนาดใหญ่ หลังจากเดินคดเคี้ยวไปครึ่งนาที ก็มาถึงโต๊ะหมายเลข 18

หญิงสาวมาถึงก่อนแล้วและกำลังนั่งคอยอยู่ พร้อมกับมองไปรอบๆ

เธอมีดวงตาโตบนใบหน้ากลมมน มองดูเหมือนตุ๊กตาเจ้าหญิงในเทพนิยาย ภายใต้แสงสลัว ผิวของเธอคงเปล่งประกายสีขาวราวกับหยก เธอเป็นคนที่น่ารักมาก

เธอสวมชุดเดรสสีแดงเปลือยไหล่ มองไปเห็นรอยแยกลึกบนหน้าอก สามารถอธิบายได้ด้วยสามคำ

หน้าอกใหญ่

หนิงซีรู้สึกอายเล็กน้อย ผู้หญิงคนนั้นแต่งตัวเป็นทางการ แสดงว่าเธอจริงจังกับการนัดบอดครั้งนี้มาก แต่ตรงกันข้าม เขาแต่งตัวค่อนข้างลำลอง เพื่อต่อต้านการจัดการของแม่

เมื่อเดินไปถึงโต๊ะ หนิงซียื่นมือออกไปให้หญิงสาวจับ “สวัสดีครับ ผมชื่อหนิงซี ยินดีที่ได้รู้จัก!”

หญิงสาวหน้าแดงทันที เธอเหยียดมือขาวเล็ก ๆ ของเธอออกมาจับมืออย่างอาย ๆ และพูดด้วยเสียงงึมงำ

“หนิงซี  เออ....เราไม่ได้เจอกันนานแล้วนะ”

หนิงซีชะงักไปชั่วครู่ เขามองดูหน้าของหญิงสาวอย่างระมัดระวังและคลับคล้ายคลับคลาว่าเธอดูเหมือนจะเป็นเพื่อนร่วมชั้นเก่าของเขาจริงๆ  เขาถามอย่างไม่แน่ใจ

“เธอคือ… ฮ่าวเหมิง?”

หญิงสาวพยักหน้าและพูดว่า “ใช่”

เสียงของเธอเบามาก หากร่างกายของหนิงซีไม่ได้พัฒนาขึ้นมาก เขาคงแทบไม่ได้ยิน

เธอเป็นเพื่อนร่วมชั้นมัธยมต้นของเขา!

ฮ่าวเหมิงเป็นเพื่อนร่วมชั้นมัธยมต้นปีที่สามของเขา เธอเป็นเด็กอัจฉริยะ เข้าเรียนชั้นมัธยมต้นก่อนเกณฑ์ ตั้งแต่อายุแค่ 10 ปี และข้ามชั้นไปเรียนชั้นปีที่ 3 เมื่ออายุ 11 ปี

เนื่องจากอายุยังน้อย ฮ่าวเหมิงจึงมีบุคลิกของค่อนข้างขี้อาย หนิงซีมักจะชื่นชมอัจฉริยะแบบนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน

"นั่งกันก่อนเถอะ. ฉันรู้จากเพื่อนร่วมชั้นว่าเธอเข้าเรียนในชั้นเรียนเยาวชนของมหาวิทยาลัยเซ็นทรัลตอนอายุ 13 ปี จากนั้นเธอก็ไปศึกษาต่อปริญญาเอกที่ต่างประเทศ ตอนอายุ 16 ปี  เราไม่ได้เจอกันนานกว่าสิบปีแล้วนะเนี่ย เธอสบายดีไหม”

ฮ่าวเหมิงนั่งลงอย่างช้าๆ จิบน้ำมะนาวแล้วพูดว่า “ฉันเพิ่งกลับจีนมาไม่นาน ตอนนี้เป็นอาจารย์อยู่ที่มหาวิทยาลัยเซ็นทรัล และพักอยู่ในเซ็นทรัลซิตี้”

หนิงซีมีความสุขมากที่ได้พบกับเพื่อนร่วมชั้นเก่า

"น่าประทับใจมาก. นักเรียนที่ได้เกรด A ตลอดเป็นอะไรที่ไม่ธรรมดาจริงๆ  มหาวิทยาลัยเซ็นทรัลเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในราชอาณาจักรอวิ๋นเหมิง  ถ้าต่อไปฉันมีลูก ฉันคงต้องรบกวนให้เธอช่วยสอนพวกเขาหน่อย! อ้อ ปีนี้เธออายุแค่ 24 แล้วทำไมถึงยอมนัดบอดทั้งที่อายุยังน้อย?”

ใบหน้าของฮ่าวเหมิงเปลี่ยนเป็นสีแดงอีกครั้ง คราวนี้แดงจนไปถึงหูของเธอ

“หลังจากที่ฉันกลับมาที่จีน ฉันอยากติดต่อคุณ ฉันรู้ว่าอาของคุณสนิทกับพ่อของฉันมาก ฉันเลยถามเขาถึงคุณ ใครจะรู้ว่าพวกเขาจะเข้าใจผิด…”

“พวกเขาเลยนัดบอดให้เรา?”

ฮ่าวเหมิงพยักหน้า

หนิงซีอึ้งไปกับความช่างจินตนาการของผู้อาวุโส แต่เขาก็ยังมีความสุขอยู่ลึกๆในใจ

ไม่เพียงแต่มีสาวงามนั่งอยู่ตรงข้ามกับเขา  นอกจากจะสวยแล้วบุคลิกของเธอก็ดูดีและพวกเขาเข้ากันได้ดีมาก

“เหมิงเหมิง เธอเปลี่ยนไปมาก ดูสวยและน่ารักมาก”

เมื่อได้ยินหนิงซีชม ฮ่าวเหมิงก็ยิ้มอย่างมีความสุขจนดวงตากลมโตหรี่ลงเป็นสระอิสองตัว

“ดีจริงๆที่คุณชอบ ฉันเพิ่งใส่ชุดแบบนี้เป็นครั้งแรกก็กลัวว่ามันจะดูไม่ดี”

“ฮ่าฮ่า แสดงว่าคุณยังไม่รู้จักตัวเองดี  มาเพิ่มฉันลงในวีแชทก่อน”

หลังจากเพิ่มวีแชทกันแล้ว หนิงซีก็หยิบแท็บเล็ตบนโต๊ะและเริ่มสั่งอาหาร

เขาสั่งเนื้อแกะสับผัดยี่หร่ากับมันฝรั่งก้อนและเต้าหู้กรอบเห็ดทรัฟเฟิลดำหนึ่งจาน จากนั้นส่งแท็บเล็ตให้ฮ่าวเหมิง

“ฉันสั่งอาหารสองจาน เธออยากกินอะไร สั่งได้เลย นานๆทีจะได้พบเพื่อนเก่า ไม่ต้องเกรงใจเลยนะ  เดี๋ยววันนี้ฉันเลี้ยงเธอเอง”

ฮ่าวเหมิงมองไปที่หนิงซีอย่างขบขันและพูดว่า "ฉันเคยไปกินอาหารที่ภัตตาคารนี้ที่ร้านสาขาในเซ็นทรัลซิตี้มาก่อนแล้ว มันดูสวยดีนะ แต่มีน้อยไปหน่อย กินไม่อิ่ม  มาลองกินกันดูสักหน่อย”

จากนั้นเธอก็สั่งอาหารและซุปอีกอย่างละหนึ่งที่

ขณะที่ทั้งคู่กำลังคุยกันอยู่  ก็มีเสียงดังมาจากโต๊ะข้างๆ

ปัง

ชายคนหนึ่งลุกพรวดพราดขึ้นทุบฉากกั้นโต๊ะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ จากนั้นเขาวิ่งไปที่หน้าต่างราวกับลูกธนูหลุดออกจากแหล่ง

เขาเร็วมากจนเห็นเป็นภาพติดตา ผู้คนและสิ่งของที่ขวางทางต่างถูกเขาชนล้มระเนระนาด

ขณะที่เขาใกล้ถึงหน้าต่าง เขากระโจนขึ้นด้วยสีหน้าดีใจและต้องการจะพังหน้าต่างออกไป

แต่ ประหนึ่งราวมีกำแพงพลังฉีอยู่ข้างหน้าเขา เขาชนกับกำแพงพลังฉีแล้วกระเด็นกลับเข้ามา

เมื่อรู้ว่าไม่มีความหวังที่จะหลบหนี ใบหน้าของเขาฉายแววดุร้าย เขาจับผู้หญิงที่เขาชนล้มลงแล้วตะโกนเสียงดัง

“ฉันมีตัวประกันอยู่ในมือ  รีบเปิดกำแพงพลังปล่อยฉันออกไป ไม่งั้นฉันจะฆ่าผู้หญิงคนนี้!”

หนิงซีตกตะลึง ชายคนนี้จะมีความเร็วที่คนธรรมดาเทียบไม่ติดได้อย่างไร?

และกำแพงพลังฉีมันถูกสร้างขึ้นมาจากความว่างเปล่าได้อย่างไร

ให้ตายสิ? เขากำลังมีส่วนในเหตุการณ์เหนือธรรมชาติใช่ไหม?

ฮ่าวเหมิงย้ายจากนั่งตรงข้ามมานั่งข้างหนิงซี  เขาคิดว่าเธอกลัวจึงไม่คิดอะไรมาก

ภัตตาคารตกอยู่ในความโกลาหลและทุกคนวิ่งไปที่ประตู ประตูเปิดอยู่ แต่เหมือนมีกำแพงที่มองไม่เห็นอยู่ในอากาศ ไม่มีใครสามารถออกไปได้

ชายที่หลบหนี ไม่กล้าขยับตัวหลังจากจับตัวประกันไว้แล้ว

เขามีหน้าตาตื่นตระหนกและเหงื่อหยดลงมาด้านข้างเป็นเม็ดๆราวกับว่ากำลังกลัวอะไรบางอย่าง

“ฉันจะนับถึงสาม หากไม่เปิดกำแพงพลัง ผู้หญิงคนนี้จะตกอยู่ในอันตราย! พวกแกก็จะถูกลงโทษด้วย!”

"สาม!"

"สอง!"

"หนึ่ง!"

ขณะที่เขากำลังจะหักคอตัวประกัน จู่ๆ แขนของเขาก็อ่อนแรง ไม่สามารถออกแรงใดๆ ได้

เขาพยายามยกมือขึ้นอย่างลำบากมาแตะหน้าผากของเขา มีรูปรากฏขึ้นระหว่างคิ้วของเขา

“ผู้ควบคุมพลังชี่ เก่ง.. สมชื่อจริงๆ…!”

เขาล้มลงกับพื้นหลังพูดจบ เลือดสีแดงฉานไหลออกมาจากแผลที่หน้าผากจนกองเป็นแอ่ง ทำให้ตัวประกันหงาดกลัวจนกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง

หลังจากชายที่หลบหนีเสียชีวิต ชายวัยกลางคนนัยตาแคบเรียวมีรอยแผลเป็นลึกห้าจุดบนแก้มซ้าย ก็ปรากฏตัวขึ้นโดยไม่มีใครรู้ เขาดูน่ากลัว

เขายืนอยู่บนอากาศและพูดอย่างเย็นชาว่า “ผู้ต้องสงสัยหมายเลข C11 ตายแล้ว ทำความสะอาดที่เกิดเหตุ”

เมื่อเขาพูดจบ มีคนในเครื่องแบบสีดำสองสามคนเดินเข้ามาจากทางเข้าภัตตาคาร

หนึ่งในนั้นถือลูกบอลคริสตัล เขายกลูกบอลขึ้นและพูดพึมพำ

ทันใดนั้น ลูกบอลคริสตัลก็เปล่งแสงสีม่วง ใครที่ถูกแสงสว่างส่องก็จะล้มลงหมดสติ

หนิงซีกำลังถือโทรศัพท์อยู่ แต่หลังจากถูกแสงส่อง เขาไม่รู้สึกอะไรเลย เมื่อเขาเห็นฮ่าวเหมิงหมดสติอยู่ข้างๆ เขาก็เข้าใจทันที

การโดดเด่นอยู่คนเดียวในเวลานี้ไม่ใช่เรื่องดี

ดังนั้นเขาจึงล้มตัวลงบนเก้าอี้และแสร้งเป็นหมดสติ

เสียงเบาๆแว่วเข้ามาในหูของเขา

“ลบความทรงจำของทุกคนแล้ว ภัตตาคารได้รับความเสียหายเล็กน้อยและจะใช้เวลาซ่อมแซม 5 ชั่วโมง”

“ช่างมันเถอะ ให้ทางร้านจัดการกันเอง เคลื่อนย้ายคนเจ็บส่งโรงพยาบาลและปล่อยให้คนที่เหลือไว้อย่างนี้แหละ พอตื่นขึ้นพวกเขาจะจัดการกันเอง”

"เข้าใจแล้ว!"

ผ่านไปประมาณห้านาที ร้านอาหารก็เงียบสนิท แขกที่ไม่ได้รับเชิญต่างออกไปกันหมดแล้ว

หนิงซียังคงไม่กล้าที่จะขยับตัว จนกระทั่งมีลูกค้าสองสามคนตื่นขึ้น หนิงซีถึงได้ลืมตาขึ้นและลุกขึ้นนั่ง

ทุกคนในร้านอาหารทยอยตื่นขึ้นทีละคน

ฮ่าวเหมิงก็ตื่นขึ้นเช่นกัน เธอนั่งอยู่ตรงข้ามเขาเงียบๆ

“เหมิงเหมิง คุณโอเคไหม”

หนิงซีถามอย่างเป็นห่วง แต่เขานึกได้ว่าถ้าตามที่คนเหล่านั้นพูด ฮ่าวเหมิงน่าจะสูญเสียความทรงจำในช่วงนั้นไป

มันจะดีไหมที่เขาถามเธอไปแบบนั้น?

ฮ่าวเหมิงจัดชุดให้เรียบร้อยและพูดว่า “ไม่เป็นไร พี่สือโถว เราจะกินต่อที่นี่หรือย้ายไปร้านอื่นดี?”

เมื่อได้ยินคำพูดของฮ่าวเหมิง หนิงซีก็รู้ทันทีว่าฮ่าวเหมิงไม่ได้เสียความทรงจำ เขากำลังจะถามอีกครั้งแต่ฮ่าวเหมิงขยิบตาให้เขา

หนิงซีเข้าใจและหยุดถาม

ลูกค้าอื่นที่ตื่นขึ้นมาจะไม่ยอมปล่อยให้เรื่องเป็นเช่นนี้

“เกิดอะไรขึ้นกับฉัน? ฉันจำอะไรไม่ได้เลย ฉันจำได้ว่าฉันอยู่ที่บ้านและกำลังจะมาที่ ภัตตาคารหยานอู่เพื่อทานอาหารเย็น ฉันเข้ามาในร้านอาหารได้อย่างไรเนี่ย”

“ฉันเวียนหัวมาก เหมือนฉันจะลืมบางอย่างไป”

“คุณก็รู้สึกเหมือนกันใช่ไหม? เรามีอาการอาหารเป็นพิษจากอาหารของภัตตาคารใช่ไหม”

“มีเกิดอะไรขึ้นในภัตตาคาร? ฉากกั้นโต๊ะบางฉากแตกเป็นเสี่ยงๆ มีการต่อสู้เกิดขึ้นหรือไม่”

เมื่อต้องเผชิญกับความสงสัยของลูกค้า เจ้าของร้านจึงไม่มีทางเลือก นอกจากต้องหาวิธีเพื่อระงับความโกรธของคนหมู่มาก

เขาโทรหาตำรวจทันที และบอกลูกค้าว่า “ผมจำอะไรไม่ได้เช่นเดียวกับคนอื่น  แต่ขอรับรองด้วยชีวิตว่าวัตถุดิบในร้านนี้ไม่มีพิษแน่นอน ตำรวจจะมาตรวจสอบโดยเร็วที่สุด”

“เพื่อเป็นการขอโทษ เราจะไม่คิดค่าอาหารสำหรับผู้ที่เต็มใจที่จะกินต่อที่นี่!”

เจ้าของร้านผ่านประสบการณ์มามาก เขารู้ว่าไม่ว่าความจริงจะเป็นอย่างไร เขาต้องขจัดความสงสัยเรื่องอาหารเป็นพิษก่อน จากนั้นจึงค่อยปรับความรู้สึกของผู้รับประทานอาหารให้เข้าที่ ทั้งสองสิ่งนี้มีผลกระทบต่อชื่อเสียงของร้านอาหารเป็นอย่างมาก

เป็นไปตามคาด ลูกค้าหยุดตำหนิภัตตาคารหลังจากเขาพูดจบ

ทุกคนจับกลุ่มกันสองสามคนเพื่อหารือเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้

เมื่อเขาได้ยินว่าได้ทานอาหารฟรี หนิงซีก็ไม่เกรงใจ เขาสั่งอาหารมารวดเดียว 10 อย่าง

หลังจากมีประสบการณ์จากอวตารของเขาในเกมแล้ว หนิงซีก็มีมุมมองที่เปิดกว้างขึ้น เขาไม่ได้รู้สึกอะไรมากนักเมื่อเจอกับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติเมื่อกี้  เขาควรสนใจเรื่องกินและดื่มให้มากที่สุด

ฮ่าวเหมิงก็เช่นเดียวกัน เธอดูสงบและมั่นคงมาก

ทั้งสองคุยกันระหว่างทานอาหาร บรรยากาศดูผ่อนคลายอย่างมาก

“นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันกินอิ่มในร้านนี้” หนิงซีลูบท้องที่ป่องออกมาของเขา “ไปหาร้านกาแฟนั่งกันไหม”

หนิงซีอยากถามฮ่าวเหมิงเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น ฮ่าวเหมิงรับรู้ถึงความตั้งใจของเขา เธอยิ้มและพูดว่า “ฉันมีธุระตอนบ่ายนี้ เดี๋ยววันหลังเรานัดกินข้าวกันอีกนะ อย่าลืมติดต่อกันละ”

หลังจากพูดจบ เธอหยิบโทรศัพท์ออกมาเปิดวีแชทที่มีข้อความที่ยังไม่ได้ส่งค้างไว้

“เมื่อครู่นี้ ฝ่ายสืบสวนจับกุมอาชญากรที่ปลุกพลังได้แล้ว แต่เรายังถูกจับตามองอยู่ ดังนั้น เราต้องระวังคำพูดและการกระทำ ฉันมีเรื่องด่วนในเซ็นทรัลซิตี้ ฉันต้องนั่งเครื่องบินกลับบ่ายนี้  เมื่อเร็ว ๆ นี้ เมืองตงหลินไม่ค่อยสงบ ระวังตัวด้วย. ถ้ามีอะไรติดต่อฉันได้โดยตรง ฉันจะปกป้องคุณเอง.”

หลังจากหนิงซีอ่านจบ ฮ่าวเหมิงก็เก็บโทรศัพท์และลบข้อความที่ค้างไว้

“พี่สือโถว ฉันดีใจที่ได้พบคุณอีกครั้ง!”

ฮ่าวเหมิงเอื้อมมือที่ขาวอ่อนโยนของเธอจับมือกับหนิงซี

ทันทีที่สัมผัสกัน หนิงซีรู้ทันทีว่ามือของเธออ่อนนุ่มละมุน ให้รู้สึกที่ดีมาก

ฮ่าวเหมิง หน้าแดงอีกครั้ง เธอมองไปที่หนิงซีอย่างเขินอายและพูดด้วยเสียงค่อยๆ

“คนขับรถจะมารับฉันที่นี่ ฉันจะกลับมาที่เมืองตงหลินอีกทีเพื่อตามหาคุณ  หลังจากที่ฉันเสร็จงานแล้ว”

จากนั้นเธอสวมเสื้อโค้ท คลุมหน้าอกและหลัง  เดินออกจากร้านอาหาร

หนิงซีเดินตามเธอและมองดูฮ่าวเหมิงขึ้นรถเมอร์ซีเดสเบ๊นซ์

มันช่างเป็นประสบการณ์การจับคู่ที่ลืมไม่ลงจริงๆ

5 2 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด