บทที่ 16: พลังต่อสู้ที่ผิดปกติและถ้ำเช่า
“เชี่ย... โคตร!”
ถังเจิ้นจ้องมองฉากตรงหน้าด้วยสีหน้าว่างเปล่าเป็นเวลานานกว่าจะเค้นออกมาจากปากได้ซักประโยคที่มีทั้งคำสบถแถมยังไม่ใช่ประโยคที่สมบูรณ์ด้วย
พวกเฉียนหลงกับพี่น้องมู่หรงก็พยักหน้าเห็นด้วย แม้ว่าจะไม่รู้ว่าที่ถังเจิ้นพูดนั้นแปลว่าอะไร แต่ฟังจากน้ำเสียงแล้วก็พอเดาได้ว่ากำลังตะลึงเหมือนกัน
ดูเหมือนชายร่างใหญ่ผู้นี้จะไม่ใช่พวกไร้ประโยชน์ที่เอาแต่กินซะแล้ว พลังต่อสู้ของหมอนี่มันเวอร์เกิน ขนาดที่ใช้มือเปล่าทุบตีมอนสเตอร์จนตายได้อย่างง่ายดายไม่ต่างจากหั่นผักหั่นแตงโม
ด้วยพลังขนาดนี้หากติดอุปกรณ์ดี ๆ ให้ล่ะก็จะต้องกลายเป็นเครื่องจักรสังหารมอนสเตอร์ในร่างมนุษย์โดยสมบูรณ์แน่!
กระนั้นทั้งกลุ่มก็ไม่มีใครนึกมาก่อน ว่าฉากนองเลือดจนรู้สึกสงสารเจ้าพวกมอนสเตอร์เหล่านี้กลับเป็นเพียงแค่น้ำจิ้ม ฉากที่ทำให้ต้องอึ้งโดยแท้ยังมาไม่ถึง
เพราะหลังจากที่กำจัดมอนสเตอร์หมดฝูงแล้วเจ้าอ้สนดำต้าสยงก็เข้าไปแหวกศพมอนสเตอร์ด้วยสีหน้าตื่นเต้น มันทุบหัวศพนั่นแตกโพละเหมือนทุบแตงโม
ฉากที่เศษเนื้อเศษสมองกระจายเปื้อนไปทั่วทำให้ทุก ๆ คนอยากอ้วก
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นต่อไปกลับทำให้ทุก ๆ คนต้องอ้วกออกมาจริง ๆ
เพราะเจ้าอ้วนดำต้าสยงมันเอามือตบ ๆ ตะปบ ๆ ฉีก ๆ แล้วหยิบลูกปัดสมองออกมาจากหัวมอนสเตอร์แล้วโดยเข้าปากโดยไม่แม้แต่จะเช็ดออก
“อ้วกกกกกกกกก!”
มู่หรงจื่อเหยียนอ้วกออกมาทันที ถังเจิ้นเองก็แทบพุ่ง เฉียนหลงนี่หน้าเหมือนปวดขี้
ถังเจิ้นที่พึ่งจะเคยเห็นอะไรแบบนี้ไม่ต้องพูดถึง ขนาดพวกเฉียนหลงที่ใช้ชีวิตอยู่ในแดนทุรกันดารนี้มาหลายปียังไม่ไหว
เมื่อเห็นเจ้าอ้วนดำต้าสยงกินลูกปัดสมองอย่างเอร็ดอร่อยแล้วถังเจิ้นก็คิดในใจในแบบหน้าซีด ๆ
‘ลูกปัดสมองธรรมดามีพลังพอที่จะขับเคลื่อนเทเลพอร์ตข้ามโลกได้ พวกผู้พเนจรทั่วไปใช้มันต่างเงินตรา โหลวเฉิงใช้เป็นเครื่องเซ่นสังเวยในการอัปเกรด แต่ไม่เห็นจะเคยได้ยินมาก่อนเลยว่ามนุษย์สามารถดูดกลืนได้! ถึงทำได้แต่ก็ต้องเป็นลูกปัดสมองเวลหกขึ้นไปไม่ใช่เหรอ?’
‘เห็นทีเราคงต้องใส่ใจกับข้อมูลนี้หน่อยแล้ว เจ้าอ้วนนี่กลืนลูกปัดสมองสด ๆ ได้ คงเป็นสาเหตุที่แม้จะอยู่ในที่กันดารอดอยากแต่ก็ยังมีร่างกายใหญ่โตได้งั้นสินะ?’
ในขณะที่ถังเจิ้นกำลังคิดต้าสยงมันก็ทุบหัวศพอื่นแล้วจกเอาลูกปัดสมองออกมาทีละเม็ด ๆ โดยมันกินเข้าไปแค่ครึ่งเดียว ส่วนอีกครึ่งเอาเก็บใส่กระเป๋ากางเกงแล้วเอามือตบ ๆ อย่างดีอกดีใจ
หลังจากทำงานทั้งหมดนี้เสร็จต้าสยงก็วิ่งกลับมาด้วยแววตาเหมือนหมาน้อยที่ไม่มีพิษภัยอะไรเลย แต่กลิ่นเหม็นของซากศพมอนสเตอร์ผสมกับกลิ่นตัวของหมอนี่แล้วหัวจะปวดจริง ๆ อย่างกับอาวุธชีวภาพ
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับชายที่กลืนลูกปัดสมองสด ๆ คนนี้แล้วถังเจิ้นก็รู้สึกประหม่าเล็กน้อยในใจ ‘กูจับตัวเชี่ยไรมาเลี้ยงวะหนิ’
ถังเจิ้นบีบจมูกและถามต้าสยงว่า “นี่... ต้าสยง นายกินลูกปัดสมองสด ๆ แบบนี้ไม่ปวดท้องเหรอ?”
เจ้าอ้วนดำต้าสยงก็ลูบหัวตัวเองงง ๆ แล้วก็ส่ายหัวอย่างงง ๆ ก่อนจะยิ้มไร้เดียงสาโชว์ฟันขาวเต็มปาก
‘ดูจากไอคิวของมันแสดงว่าคงไม่มีวันเข้าใจคำถามละ ลืมไปแล้วกันเรา’
แล้วถังเจิ้นก็โบกมือ “เอาล่ะ ไปกันเถอะ!”
หลังจากพูดอย่างนั้นเขาก็หันหลังจากไปโดยพยายามอยู่ให้ห่างจากเจ้าต้าสยง คนอื่น ๆ ก็เหมือนกัน ไม่ได้กลัวมันนะ แต่เหม็นจริง ๆ
ทีมยังคงออกเดินทางต่อไปยังเมืองผู้พเนจร และถังเจิ้นก็ได้เห็นอะไรที่ทำให้ดวงตาเป็นประกายจึงหยุดทันที อะไรที่ว่านั่นก็คือแอ่งน้ำ!
ถังเจิ้นหยิบสบู่ออกมาก้อนหนึ่งด้วยใบหน้าเปี่ยมสุขแล้วโยนให้เจ้าต้าสยง อีกฝ่ายก็รับแล้วเอาไปกัดครึ่งก้อนเคี้ยวกินอย่างมีความสุขซะอย่างนั้น
ถังเจิ้นเส้นเลือดปูดด้วยความโมโห แต่ก็สอนมันใช้สบู่อาบน้ำอย่างมีน้ำอดน้ำทน เสร็จแล้วก็เดินไปรอข้าง ๆ ซึ่งถึงแม้ว่าเรื่องนี้จะทำให้เสียเวลาไปบ้างแต่ทุก ๆ คนก็เต็มใจ ไม่ใช่ทุกคนหรอกที่จะคลุกคลีกับเพื่อนที่เปื้อนกลิ่นศพคาว ๆ ตลอดเวลาได้
ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงเจ้าอ้วนดำต้าสยงกับกางเกงหนังตัวใหญ่ได้เดินมาด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วนเล็กน้อยหลังจากอาบน้ำเสร็จ ถังเจิ้นที่เดิมหันมองทางอื่นอยู่ก็หันไปดูตามเสียงแล้วก็ต้องผงะ และเฉียนหลงกับมู่หรงจื่อเหยียนเองก็มีสีหน้าเหมือนเห็นผี
เพราะหลังจากอาบน้ำเสร็จเจ้าต้าสยงที่ตัวดำสนิทแต่เดิมกลับกลายร่างเป็นชายที่มีผิวขาวผ่องเป็นยองใยแถมยังดูเหมือนเด็กด้วย โคตรจะประหลาดคน
‘งั้นเจ้าหมอนี่มันโดนสิ่งสกปรกเกาะหนาขนาดไหนกันวะ? จะว่าไปที่แอ่งน้ำมีปลาลอยตายอยู่ด้วยนี่หว่า หรือพวกมันก็เหม็นกลิ่นไอ้นี่จนตายด้วย?’
ถังเจิ้นแอบบ่นในใจขณะที่จ้องมองต้าสยง
ตอนนี้ต้าสยงกระพริบตาปริบ ๆ มองผิวขาว ๆ ของตนอย่างอึดอัดรู้สึกเหมือนสูญเสียบาเรียป้องกันตัวไป
“เอ่อ... โอเคเลยหนิ เด๋วไอ้กางเกงเน่า ๆ นั่นค่อยหาอันดี ๆ มาเปลี่ยนให้ทีหลังจะโอเคกว่านี้!”
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งถังเจิ้นก็ตัดสินใจพูดออกไปด้วยน้ำเสียงชื่นชม สุดท้ายแล้วเจ้าอ้วนขาวตรงหน้าก็ยังดูเจริญตากว่าเจ้าอ้วนดำก่อนหน้านี้มาก
อย่างน้อย ๆ ก็ไม่ต้องทนดมกลิ่นมัน
การเดินทางต่อเป็นไปอย่างราบรื่น และในไม่ช้าก็พบเมืองผู้พเนจรซึ่งอยู่ห่างออกไป เมื่อทุกคนมาถึงหน้าประตูเมืองแล้ว ยกเว้นรูปลักษณ์ที่เด่นสะดุดตาของต้าสยง พวกถังเจิ้นทั้งกลุ่มไม่ได้ดึงดูดความสนใจของผู้พเนจรคนอื่น ๆ เลย
หลังจากจ่ายลูกปัดสมองตามที่กำหนดทุกคนก็เข้าไปในเมือง แต่คราวนี้ไม่ได้ไปที่โรงแรมเพราะมีแผนจะหาบ้านเช่า
เมื่อมีพี่น้องมู่หรงอยู่ด้วยแล้วถังเจิ้นจึงต้องทำอะไรอย่างรอบคอบมากขึ้น
ทว่าถังเจิ้นก็ไม่คุ้นเคยกับแง่มุมนี้มากนัก ต้องให้งูเจ้าถิ่งอย่างเฉียนหลงนำทาง แล้วพวกเขาก็ได้พบกับผู้จัดการบ้านเช่าในเมืองผู้พเนจรอย่างรวดเร็ว
ผู้จัดการไว้หนวดสวมชุดเกราะหนังที่ค่อนข้างชำรุด มีกริชและซองบุหรี่ห้อยอยู่รอบเอวท่าทางหยิ่งผยองสุด ๆ
เจ้าผู้จัดการนี่มีนิสัยชอบจ้องมองคนอย่างพินิจพิเคราะห์ หลังจากได้ยินว่าพวกถังเจิ้นวางแผนที่จะเช่าบ้านที่นี่มันก็มองพวกเขาทั้งห้าทีละคน ๆ มองอย่างละเอียดถี่ถ้วนโดยจับจ้องไปที่ต้าสยงนานสุด
หลังจากมองเสร็จแล้วชายคนนี้พูดด้วยน้ำเสียงเนิบ ๆ “ถ้าต้องการอยู่ที่เดียวกันทั้งห้าคนและเป็นที่ที่เงียบสงบเป็นพิเศษล่ะก็ มีแค่ถ้ำฝั่งตะวันตกของเมืองเท่านั้น ค่าเช่าคือลูกปัดสมองเลเวลหนึ่งปีละสองร้อยเม็ด”
หลังจากที่ถังเจิ้นได้ยินราคาหัวใจก็เจ็บปวด
เฉียนหลงหันกลับมาพยักหน้าให้โดยบอกว่าราคาไม่เลว ถังเจิ้นจึงทำได้แค่แค่หยิบลูกปัดสมองออกมาจากกระเป๋าแล้วส่งมันให้อีกฝ่ายไปด้วยความเจ็บปวด หลังจากนับลูกปัดสมองเสร็จแล้วผู้จัดการก็หยิบโดมิโนโยนให้ ซึ่งโดมิโนนี้เป็นหลักฐานการเช่าบ้านนั่นเอง
หลังจากที่เฉียนหลงถามตำแหน่งที่แน่ชัดเสร็จแล้วก็พาทุกคนไปที่จุดหมายในทันที
หลังจากเดินไปซักพักผ่านตรอกซอกซอยที่คดเคี้ยวของเมือง ในที่สุดทุกคนก็มาถึงเนินเขาสูงแห่งหนึ่งซึ่งประกอบไปด้วยถ้ำหลายสิบแห่งทั้งเล็กและใหญ่ที่ถูกคนขุดขึ้น โดยในตอนนี้ถ้ำส่วนใหญ่มีผู้พเนจรเข้าไปอาศัยแล้ว
ถังเจิ้นถามเฉียนหลงระหว่างทางมาที่นี่ ปรากฏว่าผู้พเนจรทุกคนสามารถอาศัยอยู่ในเมืองเล็ก ๆ แบบนี้ได้เป็นเวลานานก็จริง แต่โดยพื้นฐานแล้วคนที่อยู่ได้มักจะเป็นทีมที่มากความสามารถพอจะหาลูกปัดสมองทีละมาก ๆ ได้ หรือไม่ก็เป็นหมาป่าเดียวดายที่แข็งแกร่งสุดขีด ไม่งั้นก็ต้องเป็นคนที่โคตรโชคดี
ส่วนผู้พเนจรทั่วไปก็ไม่ได้มีเงินถุงเงินถังที่จะอยู่ที่นี่นาน ๆ ได้หรอก อย่างมากก็แค่มาใช้ลูกปัดสมองซื้อโควตาเข้าออกเมืองเพื่ออำนวยความสะดวกให้ตนเองในการซื้อขายแลกเปลี่ยน
หลังจากเฉียนหลงค้นหาที่หน้าถ้ำแล้วเขาก็เดินไปที่ถ้ำแห่งหนึ่งหลังจากยืนยันว่านี่คือสถานที่ที่เขาเช่า ถังเจิ้นก็เดินเข้าไปก่อน
แสงในถ้ำนี้สลัวมาก และในที่สุดถังเจิ้นก็มองเห็นสภาพแวดล้อมภายในได้อย่างชัดเจนหลังจากที่สายตาปรับโฟกัสอยู่พักหนึ่ง พื้นที่ทั้งหมดของถ้ำนี้ประมาณ 50 ตารางเมตร คุณภาพอากาศค่อนข้างแย่ ภายในไม่มีอะไรนอกจากฝุ่นกับขยะ
“เอาล่ะมาทำความสะอาดกันเถอะ เราจะอยู่ที่นี่กันซักพักใหญ่ ๆ”
หลังจากที่ถังเจิ้นโบกมือพร้อมตะโกน ทุก ๆ คนต่างก็วางหีบห่อสิ่งของและเริ่มทำความสะอาดถ้ำ
ถังเจิ้นจ้องมองที่ทางเข้าถ้ำอยู่ครู่หนึ่งก็รู้สึกว่าการป้องกันที่นี่หยาบ ไม่สิ ไม่มีการป้องกันเลยต่างหาก คนอื่นสามารถเดินดุ่ย ๆ เข้ามาได้อย่างหน้าด้าน ๆ เลยด้วยซ้ำ
เมื่อคิดว่าถ้าเขากับเฉียนหลงออกไปล่า การทิ้งพี่น้องมู่หรงกับต้าสยงไว้ที่นี่ก็ไม่มีความปลอดภัยเลยน่ะสิ ดังนั้นถังเจิ้นเลยวางแผนจะเสริมความแข็งแกร่งให้ถ้ำอยู่ในใจ
ในเมื่อต้องอยู่ที่นี่ซักพักใหญ่ ๆ ก่อนจะสร้างโหลวเฉิง งั้นก็ควรที่จะจัดการไม่ให้มีปัญหาด้านความปลอดภัยนั่นจะดีที่สุด
ด้วยความคิดนี้ถังเจิ้นจึงไม่สามารถนั่งนิ่ง ๆ ได้อีกต่อไป หลังจากบอกลาพวกเฉียนหลงแล้วเขาก็เดินออกจากถ้ำและไปยังบริเวณใกล้เคียงที่ไม่มีคนอยู่
หลังจากเช็กจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีคนจริง ๆ ด้วยแอปแผนที่ ถังเจิ้นจึงเทเลพอร์ตกลับบ้าน
เมื่อกลับมาถึงบ้านแล้วถังเจิ้นก็นั่งพักบนเตียงอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกไปข้างนอก
เขานั่งรถไปที่ตลาดวัสดุก่อสร้างและซื้อปูนซีเมนต์กับอิฐแดงก่อนเลย
หลังจากนั้นก็ซื้อแผ่นเหล็กหนาจำนวนมากโดยตัดเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดครึ่งเมตรและขอให้คนงานเชื่อมเหล็กเหล่านี้ตามที่เขาต้องการ โดยจะเอาฝังผนังระหว่างก่ออิฐเพื่อเป็นตัวป้องกัน
ในเวลาเดียวกันเขายังสั่งประตูเหล็กซึ่งสามารถถอดประกอบได้พร้อมติดตั้ง
เพื่อให้แน่ใจว่าที่พักพิงชั่วคราวนี้จะสามารถใช้รับมือกับอันตรายส่วนใหญ่ได้ถังเจิ้นถึงกับซื้อหน้ากากกันแก๊สพิษ ถังดับเพลิง และสิ่งของอื่น ๆ จนแน่ใจสุด ๆ แล้วว่าถ้าเกิดอุบัติเหตุใด ๆ ขึ้นมาแล้วจะมีของครบพอเอาตัวรอดกันได้
ในช่วงเวลาดังกล่าวถังเจิ้นซื้อของใช้ประจำวันมาอีกจำนวนมาก รวมถึงอาหารกระป๋องและขนมปังกรอบมาเพื่อเป็นอาหารฉุกเฉิน
หลังจากได้เสื้อผ้า รองเท้า และหมวกที่ทนทานแต่ไม่เด่นสะดุดตาสำหรับลูกทีมทุกคนรวมถึงเจ้าอ้วนต้าสยงมาแล้ว ถังเจิ้นก็จ้างรถขนของขนทั้งหมดนี่กลับบ้าน
หลังจากกลับถึงบ้านถังเจิ้นก็เอาของทั้งหมดใส่ลงช่องเก็บของโดยจะต้องแบ่งเป็นส่วน ๆ ขนกลับถ้ำทีละชุด ๆ อยู่หลายรอบ
เมื่อกลับไปที่โลกนั้นก็ไปเรียกให้พวกเฉียนหลงมาช่วยขนของ โดยอาศัยว่าเป็นเวลากลางคืนแอบขนทั้งหมดไปยังถ้ำที่ตนอาศัย พวกเฉียนหลงแม้จะสงสัยที่มาของวัสดุเหล่านี้แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรเพราะยังไงก็ตัดสินใจติดตามถังเจิ้นแล้ว
นอกจากนี้ความสามารถของถังเจิ้นในจัดหาสิ่งเหล่านี้ได้โดยไม่มีใครสังเกตเห็นได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเขาเป็นคนที่มีความสามารถไม่ธรรมดา
แม้จะเป็นคนละโลก แต่คุณค่าของผู้มีความสามารถยังคงเหมือนกัน ตราบใดที่สามารถหาอาหารและความปลอดภัยจากมอนสเตอร์มาให้ได้ ทุก ๆ คนที่ได้รับก็จะเชื่อฟังอย่างแน่นอน
หลังจากย้ายวัสดุที่ซื้อทั้งหมดกลับมาที่ถ้ำพวกเขาจุดเทียนให้ความสว่าง จากนั้นทุก ๆ คนก็เริ่มทำงานภายใต้คำแนะนำของถังเจิ้น เขาอธิบายวิธีการใช้วัสดุต่าง ๆ และด้วยปริมาณงานที่ไม่ได้มากมายอะไรนักจึงทำให้งานทั้งหมดเสร็จก่อนรุ่งสาง
ปากถ้ำที่มีการเสริมแกร่งนั้นดูธรรมดามาก ๆ แต่ในความเป็นจริงกลับเป็นอิฐคอนกรีตเสริมเหล็กโดยปูนภายนอกไม่ได้มีการฉาบให้เรียบ
ประตูเหล็กทึบบานใหญ่ถูกเศษผ้าแปะกาวบังไว้หมดโดยไม่มีการเผยเนื้อเหล็กออกมาให้เห็น เวลาจะใช้งานคือเลื่อนกลอนล็อกเอาซึ่งการจะพังเข้าไปนั้นไม่ง่าย
เมื่อปากถ้ำมีการป้องกันเช่นนี้แล้วทำให้ถังเจิ้นรู้สึกปลอดภัยขึ้นเยอะ