ตอนที่แล้วบทที่ 14: ถอยห่างและรวมตัว
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 16: พลังต่อสู้ที่ผิดปกติและถ้ำเช่า

บทที่ 15: ไอ้อ้วนดำ ‘ต้าสยง’


หลังจากพูดถึงมอนสเตอร์จบแล้วก็กลับมาพูดถึงโหลวเฉิงอีกครั้ง

ผู้พเนจรต้องสร้างแท่นบูชาด้วยพิธีกรรมพิเศษและสังเวยศิลาเสาเอกและลูกปัดสมองไปพร้อมกันเพื่อสร้างเมืองที่มีโครงสร้างเรียบง่ายที่สุด

หลังจากแต่ละอาคารถูกสร้างขึ้นนอกจากฟังก์ชั่นพื้นฐานบางอย่างแล้วมันจะมีความสามารถพิเศษสุ่มมาให้ด้วย  โดยความสามารถเหล่านี้จะแตกต่างกันไป  บ้างก็แข็งแกร่งบ้างก็จืดชืด  จะได้ความสามารถพิเศษประเภทใดมานั้นก็ขึ้นอยู่กับดวงล้วน ๆ

โหลวเฉิงที่มู่หรงจื่อเหยียนเคยอยู่ก่อนหน้านี้มีความสามารถคือเมื่อปลูกพืชแล้วความเร็วการเจริญเติบโตของพืชเหล่านั้นจะถูกเร่งขึ้นหนึ่งในสามซึ่งเป็นความสามารถเสริมที่ดีมาก

ด้วยความสามารถนี้พ่อของมู่หรงจื่อเหยียนจึงสั่งให้ปลูกพืชสมุนไพรหายากและพืชที่ใช้เป็นอาหาร  ด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นนี้ทำให้สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้เพิ่มขึ้นและทำให้ชาวโหลวเฉิงมีชีวิตที่ดีมาก

แต่ก็เป็นเพราะความสามารถในการเพาะปลูกแบบนี้เช่นกันที่ทำให้โหลวเฉิงซึ่งเคยเป็นบ้านของมู่หรงจื่อเหยียนดึงดูดความโลภของศัตรูเข้ามาหา  พวกมันได้บุกถล่มโหลวเฉิง  ปล้นศิลาเสาเอกของโหลวเฉิง  และสังหารผู้อยู่อาศัยดั้งเดิมของโหลวเฉิงทั้งหมด

ศิลาเสาเอกของโหลวเฉิงที่ขโมยมาได้ประเภทนี้เป็นศิลาเสาเอกที่รู้ความสามารถอย่างชัดเจนแล้ว  และหลังจากที่เอาไปเซ่นไหว้สร้างใหม่จะมีโอกาสมากถึง 50% ที่จะคงความสามารถเดิมไว้  นี่ถือเป็นข้อได้เปรียบเหนือศิลาเสาเอกของอาคารป่า

แน่นอนว่าด้วยสาเหตุข้างต้นทำให้โหลวเฉิงแต่ละแห่งถือว่าความสามารถพิเศษของตนคือความลับสุดยอด  เพราะกลัวว่าหลังจากเปิดเผยไปแล้วจะมีศัตรูหมายตา

นอกจากนี้ยังมีข่าวลือในหมู่ผู้คุมแห่งโหลวเฉิงอีกด้วยว่ายิ่งสังเวยศิลาเสาเอกจากอาคารป่าเลเวลสูงเท่าไหร่  ความสามารถพิเศษที่ได้จากการสร้างโหลวเฉิงก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้นซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจริงเท็จแค่ไหน

หลังจากสร้างโหลวเฉิงแล้วหากต้องการยกระดับของโหลวเฉิงให้สูงใหญ่ขึ้นก็จำเป็นต้องลงทุนลูกปัดสมองจำนวนมหาศาลในการอัปเกรด

ดังนั้นการสร้างโหลวเฉิงที่ทรงพลังแห่งหนึ่งจึงเป็นการลงทุนทรัพยากรจำนวนมหาศาล  ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมโหลวเฉิงที่ทรงพลังหลายแห่งจึงมีประวัติศาสตร์ยาวนานหลายร้อยหรือหลายพันปี

ศิลาเสาเอกสำหรับการสร้างโหลวเฉิงมาจากอาคารป่าต่าง ๆ ไม่ว่าอาคารป่าจะมีลักษณะอย่างไร  โหลวเฉิงที่สร้างขึ้นจะมีหน้าตาเป็นอย่างนั้นด้วย  ดังนั้นโหลวเฉิงในต่างโลกนี้จึงมีรูปแบบแตกต่างกันไป  ทั้งแบบปราสาท  อาคารที่อยู่อาศัย  หรือกระทั่งป้อมปราการ

ก็แปลว่าอยากสร้างเมืองหน้าตาแบบไหนก็ต้องหาศิลาเสาเอกจากเมืองแบบนั้นมา

เมืองเฮยเหยียนที่เป็นโหลวเฉิงใกล้เมืองผู้พเนจรนั้นเป็นเมืองที่มีรูปทรงอาคารซึ่งพบได้บ่อยที่สุดในบรรดาโหลวเฉิงทั้งปวง  ว่ากันว่าโหลวเฉิงประเภทนี้มีรูปลักษณ์ที่เห็นได้ทั่วไปและส่วนใหญ่มักมีความสามารถธรรมดา ๆ

เวลาผ่านไปอย่างช้า ๆ และทั้งสามคนก็คุยกันเรื่องโหลวเฉิงเป็นเวลานาน  ซึ่งในระหว่างนั้นมีประเด็นมากมายเข้ามาเกี่ยวข้อง

หลังจากการสนทนาถังเจิ้นก็แนะนำให้กลับไปที่เมืองผู้พเนจรกันก่อน  จากนั้นค่อยหาโอกาสไปดูสถานที่ที่เฉียนหลงเคยกล่าวถึงก่อนหน้านี้

เรื่องนี้ไม่มีผู้ใดขัดข้องและเริ่มดำเนินการทันที

ขณะที่เฉียนหลงกำลังช่วยสองพี่น้องเก็บข้าวของ  ถังเจิ้นได้ออกไปข้างนอกคนเดียวและหยิบชุดคันธนูกับลูกธนูออกมาจากความว่างเปล่า

เมื่อกลับเข้าไปในที่ซ่อนเขาก็มอบคันธนูกับลูกธนูให้กับเฉียนหลงและมอบดาบที่เก็บจากศพพวกโจรให้มู่หรงจื่อเหยียนและเอาดาบของตนมามัดสะพายหลังด้วย

เฉียนหลงที่ได้คันธนูไปก็ไม่อาจปล่อยมือจากมันได้เลย  และเมื่อประเมินดูแล้วคันธนูกับลูกศรที่ได้มานี้นอกจากจะมีรูปลักษณ์ที่สวยงามแล้วยังมีพลังทำลายล้างที่ไม่ธรรมดาด้วย  แน่นอนว่าต้องเป็นของดีมีราคาสูง

เฉียนหลงคิดถูกแล้ว  เพราะคันธนูและลูกธนูชุดนี้หนักเกือบ 80 จินและสามารถยิงทะลุตัวหมูป่าได้ในเปรี้ยงเดียว

ขนาดหมูป่าหนังหนา ๆ ยังทะลุเป็นรูแล้วคนมันจะไปเหลืออะไร!

ในขณะที่เฉียนหลงกำลังเล่นกับธนูอยู่นั้นในใจก็คิดว่าตัวเองคิดถูกแล้วที่เลือกอยู่กับถังเจิ้น  ก็ดูสิ  ไม่เห็นหน้าแค่ไม่กี่วันอีกฝ่ายเล่นเอาปืนออกมายิงคนได้แล้ว  นี่ถ้าไม่เจอกันนานกว่านี้อีกหน่อยไม่ใช่จะเอาปืนกลออกมาเลยเหรอ?

‘ไม่แน่ซักวันเราอาจกลายเป็นชาวโหลวเฉิงแต่งเมียมีลูกใช้ชีวิตอย่างมีความสุขมั่นคงก็เป็นได้’

“อะฮึ ๆ ๆ ๆ”

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้เฉียนหลงก็หัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้  ถังเจิ้นก็มองเจ้าหมอนี่ด้วยสายตาแปลก ๆ อยู่สองสามรอบ

เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้วทั้งสี่คนก็ออกเดินทางทันที

พวกเขาเดินออกจากเขตโรงงานร้างอย่างระมัดระวัง  เฉียนหลงเป็นผู้นำทาง  ในหมู่คนทั้งสี่มู่หรงจื่อเหยียนกับน้องสาวเดินอยู่ตรงกลาง  และถังเจิ้นใช้ปืนพกปิดท้าย  ในกอหญ้าผืนนี้ที่เกือบจะสูงกว่าคน ทีมสี่คนจึงดูเหมือนมดไม่ได้โดดเด่น

แม้ว่าหนทางข้างหน้าจะยากลำบากแต่มันก็ยังบดบังการมองเห็นของเหล่ามอนสเตอร์ด้วย  ตราบใดที่พวกเขาไม่พบกับมอนสเตอร์ที่มีประสาทดมกลิ่นและการได้ยินที่ดีเป็นพิเศษทีมของพวกเขาก็จะไม่ตกอยู่ในอันตราย

แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ไม่กล้าที่จะคลายความระมัดระวังลงเพราะพวกเขาไม่สามารถบอกได้เลยว่ามอนสเตอร์จะกระโดดออกมาจากกอหญ้านี่เมื่อใด

ขณะที่เขากำลังคิดอะไร ๆ อยู่ในใจนั้นเองจู่ ๆ ถังเจิ้นก็รู้สึกถึงกลิ่นเหม็นรุนแรงสาดเข้ามาที่ตัว  ด้วยความตกใจเขาประทับปืนชี้ปากกระบอกไปยังทิศทางที่กลิ่นโชยมา

เมื่อเห็นว่ากอหญ้าข้างหน้ายวบลงอย่างเร็วและเห็นว่ามีเงาขนาดใหญ่โผล่มาเขาก็ปลดเซฟและเหนี่ยวไก

แต่ก่อนที่เขาจะทันได้ยิงมู่หรงจื่อเหยียนก็กดแขนของเขาลงซะก่อน

“ทำไรของเธอเนี่ย!?”

ถังเจิ้นตะโกนด้วยความโมโห ‘แม่นี่ดันมาก่อเรื่องเอาตอนสำคัญแบบนี้ได้ไงวะ  อยากตายเรอะ!’

มู่หรงจื่อเหยียนส่ายหัวในขณะที่เธอกำลังจะอธิบายบางอย่างกับถังเจิ้น  น้ำเสียงขี้เกียจของเฉียนหลงก็ลอยมา “นั่นมันคนน่ะ  และเรากะทำให้มันกลัวด้วย”

ถังเจิ้นผงะเมื่อเขาได้ยินคำพูดนั้น  และหลังจากดูดี ๆ แล้วก็พบว่าไอ้ ‘มอนสเตอร์’ ที่ทั้งดำทั้งเหม็นสูงสองเมตรยี่สิบท่าทางจะหนักกว่าสองร้อยโลนี่มีรูปร่างหน้าตาที่เหมือนคนจริง ๆ ด้วย

เมื่อถังเจิ้นจ้องมองมัน  มันก็จ้องมองถังเจิ้นด้วย  ฝ่ายนั้นหน้าดำเหมือนก้นหม้อ  ดวงตาโต ๆ สองดวงเป็นตาสีขาวนัยน์ตาสีดำ

ไม่รู้ทำไมเหมือนกันพอจ้องตานี่แล้วมันก็รู้สึกแปลก ๆ เหมือนมองตาหมาตอนมาขอข้าวกิน

ถังเจิ้นมองดูอย่างละเอียดอีกรอบและยืนยันว่าชายตรงหน้าเป็นคนจริง ๆ แถมมีสภาพที่น่าอนาถยิ่ง

ถ้าไม่ใช่เพราะกางเกงหนังขาดรุ่งริ่งตัวใหญ่ที่มัดด้วยเชือกป่านสองเส้นและมีอีกเส้นร้อยพาดไหล่ไว้ล่ะก็...  ไอ้หมอนี่น่าจะวิ่งอยู่ข้างนอกนี่ด้วยสภาพล่อนจ้อนไปแล้ว!

“แกเป็นใคร!  ต้องการอะไร!”

ปากกระบอกปืนของถังเจิ้นยังชี้หน้ามันอยู่พร้อมกับถามคำถามออกมา

เจ้าอ้วนดำมันไม่ยอมตอบคำถามของถังเจิ้นเพราะตอนนี้สายตาของมันจ้องแต่บิสกิตในมือของมู่หรงจือเยว่พร้อมเอานิ้วเข้าปากพึมพำแต่คำว่า “น่าหร่อย  น่าหร่อยจังเลย!  ต้าสยงหิว  ต้าสยงอยากกินด้วยอะ!”

หลังจากพูดจบเจ้าอ้วนที่เรียกตัวเองว่าต้าสยง (หมีใหญ่) ก็เอื้อมมือจะไปคว้าบิสกิตในมือของจื่อเยว่น้อย  แต่ก็ชักมือกลับด้วยสีหน้าหวาดกลัว  ทว่าสายตาก็ยังจับจ้องบิสกิตด้วยความปรารถนา

ถังเจิ้นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงหยิบบิสกิตออกมาจากความว่างเปล่าแล้วโบกต่อหน้าเจ้าอ้วน “อยากกินปะ?”

เจ้าอ้วนดำพยักหน้ารัว ๆ ยิ่งกว่าไก่จิกข้าวสารส่งสายตาคาดหวังเหมือนหมาขอข้าวให้กับถังเจิ้น

ในเมื่อไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมันเล็งบิสกิตจริงป่าวทางเดียวที่จะพิสูจน์ได้คือโยนให้มันไป  เจ้าอ้วนก็รับและเอาเข้าปากทันทีด้วยการเคลื่อนไหวอันไหลลื่น

หลังจากได้กินแล้วเจ้าอ้วนก็เลียปากแผลบ ๆ และส่งสายตาอ้อนวอนใส่ถังเจิ้นอีกรอบเพราะมันยังไม่พอ

ถังเจิ้นยิ้มพร้อมหยิบบิสกิตออกมาโยนให้มันอีกครั้ง

ทำไปทำมาก็หมดไปแล้ว 6 ชิ้น  เจ้าอ้วนยังคงขออีกแต่ถังเจิ้นบอกว่าหมดแล้ว  เจ้าอ้วนเลยแสดงสีหน้าผิดหวังและเจ็บใจออกมาทันที

เมื่อเห็นสิ่งนี้ถังเจิ้นหัวเราะเบา ๆ และพูดกับมันว่า “ที่บ้านฉันมีบิสกิตอีกเยอะ  จะมาด้วยกันป๊ะล่ะ?  แล้วนายจะได้ยินเยอะเท่าที่นายอยากกิน!”

ตาของเจ้าอ้วนดำเป็นประกายและพยักหน้าอย่างรุนแรงในทันที

‘อืม  ประพฤติตัวดีมาก’

ถังเจิ้นสะบัดคอ “งั้นก็มากับฉัน!”

แล้วก็พยักหน้าส่งสัญญาณให้เฉียนหลงเดินทางต่อไป  และเจ้าอ้วนตัวดำต้าสยงก็เดินตามกลุ่มไปแบบติด ๆ ทว่าเจ้าหมอนี่มันก็สูงเด่นเกินไป  หัวที่โผล่หันไปรอบ ๆ สามารถเป็นที่สังเกตเห็นได้แต่ไกลเลยทีเดียว

มู่หรงจื่อเหยียนเหลือบมองกลับไปที่ชายร่างใหญ่ข้างหลังและถามด้วยเสียงต่ำ “คุณวางแผนจะพาเขาไปด้วยงั้นเหรอ?  แต่ก็ดีเหมือนกัน  แม้ความฉลาดของคนคนนี้จะไม่ต่างจากเด็กที่เอาแต่กิน  แต่หลังจากที่ได้เป็นผู้ฝึกฝนแล้วต้องเป็นนักสู้ที่ดีได้แน่!”

เมื่อได้ยินที่มู่หรงจื่อเหยียนว่าถังเจิ้นก็ยิ้มโดยไม่พูดอะไร

สิ่งที่มู่หรงจื่อเหยียนพูดนั้นถูกต้อง  สำหรับผู้พเนจรคนอื่น ๆ แล้วอาหารคือของล้ำค่าอย่างมาก  แต่กับถังเจิ้นแล้วล้วนเป็นของไร้ค่าที่สุด  กลับกันหากเอาเจ้าต้าสยงกลับไปด้วยและได้รับการฝึกฝนอย่างดีล่ะก็หมอนี้จะกลายเป็นผู้ช่วยที่ดีและเชื่อฟังอย่างแน่นอน!

เรื่องอื่น ๆ ยังไม่ต้องพูดถึง  แค่ขนาดตัวก็น่ากลัวแล้วพี่น้อง!

ทีมที่แต่เดิมมีสี่ตอนนี้กลายเป็นห้า  ทว่าความเร็วในการเดินทางไม่ได้ลดลง

เอาจริง ๆ เจ้าอ้วนดำนี่กำลังระงับอาการอยากวิ่งของตนสุดชีวิตเลยด้วยซ้ำ  เวลาเดินก็ขยับขาทีละนิดแบบยุกยิก ๆ และแสดงอาการฮึดฮัดไม่พอใจตลอดเวลา

แต่คนเหล่านี้มีอาหารที่ตนเองชอบอยู่ในมือดังนั้นจึงทำได้เพียงอดทนกับความเร็วที่เหมือนหอยทากนี้

เมื่อเห็นท่าหมอง ๆ ของเจ้าต้าสยงถังเจิ้นก็สงสัยจริง ๆ ด้วยสติปัญญาของเจ้าหมอนี่มันเอาชีวิตรอดอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีมอนสเตอร์กินคนเดินป้วนเปี้ยนไปทั่วแบบนี้ได้ไง

การเดินป่าในพงหญ้าเป็นงานหนักอย่างไม่ต้องสงสัย  โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับทีมมีเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ทำให้แต่ละคนต้องผลัดกันอุ้มพวกเธอเป็นครั้งคราว

ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน  แต่ไอ้พื้นดินในแดนทุรกันดารนี่ก็แข็งซะเหลือเกิน  นอกจากวัชพืชที่หยั่งรากลงไปอย่างเหนียวแน่นแล้วจะสามารถพบพืชชนิดอื่น ๆ ได้อีกแค่ไม่กี่ชนิดเท่านั้น

ถังเจิ้นเลยประเมินว่าถ้าหากเอารถออฟโรดมาขับที่นี่ล่ะก็ประสิทธิภาพของรถจะถูกนำมาใช้อย่างเต็มที่อย่างแน่นอน  แต่ก็น่าเสียดายที่พื้นที่เก็บของของเขาไม่ได้ใหญ่ขนาดนั้น  ไม่งั้นล่ะก็กลับไปรอบนี้ต้องไปออกรถมาลองแน่นอน

เพราะการปรากฏของอาคารป่าทำให้มีมอนสเตอร์มาเดินป้วนเปี้ยนอยู่มากมาย  ทำให้ทางกลับจะเห็นว่ามีมอนสเตอร์เยอะขึ้น

ในระหว่างการเดินทาง  มีครั้งหนึ่งที่พวกเขาทั้งห้าต้องเผชิญกับการต่อสู้กับมอนสเตอร์สี่แขนที่มีเขี้ยวและหางยาวเฟื้อยหลายสิบตัวที่จู่ ๆ ก็พุ่งเข้ามา

แต่ว่าก่อนที่ถังเจิ้นและคนอื่น ๆ จะทันได้ทำอะไรเจ้าอ้วนดำต้าสยงก็ส่งเสียงร้องแปลก ๆ แต่จับอารมณ์ได้ว่ากำลังตื่นเต้นแล้วพุ่งใส่พวกมันอย่างกับรถถัง

เพียงหมัดลุ่น ๆ ที่เจ้าอ้วนต่อยออกไปก็รุนแรงพอจะส่งไอ้ตัวที่ระบบแจ้งว่าชื่อ ‘พังพอนสี่แขน’ ลอยละลิ่วพร้อมกระอักเลือดกลางอากาศ  จากนั้นตามด้วยหมัดที่สองทำให้ตัวที่สองมีสภาพไม่ต่างจากตัวแรก

เจ้าต้าสยงปานผู้ใหญ่ที่เข้าไปอาละวาดในโรงเรียนอนุบาล  ทำการทรมานมอนส์เตอร์ตัวน้อยทั้งหลายที่สูงแค่เมตรยี่สิบโดยการทุบตีจนพวกมันเห่าหอนออกมาราวกับผีป่าที่โดนข้าวสารเสก

มีจังหวะหนึ่งที่เจ้าพังพอนสี่แขนกระซวกกรงเล็บถูกเจ้าอ้วนดำ  แต่ผลที่ได้คือรอยข่วนสีขาวขีดอยู่บนผิวหนังเท่านั้น

พวกถังเจิ้นถึงกับตกตะลึง  เพราะแม้ว่าเจ้าพังพอนสี่แขนเหล่านี้จะเป็นแค่มอนสเตอร์เลเวล 1

แต่มันจะกระจอกขนาดโดนคนเพียงคนเดียวบดขยี้อย่างสมบูรณ์กันทั้งฝูงแบบนี้ได้ไง?  ต้องแปลว่าเจ้าอ้วนดำนี่มันทรงพลังอย่างมากแน่นอน!

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด