บทที่ 14: ถอยห่างและรวมตัว
ทันทีที่ลูกดอกพุ่งมาจิตสังหารอันรุนแรงเองก็ระเบิดตามทำให้ทั้งสองสัมผัสได้อย่างชัดเจนทันที
ถังเจิ้นกระโดดออกจากจุดนั้นอย่างรวดเร็วและเห็นเงาดำเรียวยาวพุ่งหน้าไปผ่านไปต่อหน้าต่อตาซึ่งเห็นว่าเป็นลูกธนูปลายแหลม
โชคดีที่ความเร็วของลูกดอกทั้งสองนี้ไม่เร็วเกินไปจึงทำให้ทั้งคู่มีโอกาสหลบเลี่ยง ทางด้านถังเจิ้นที่จู่ ๆ ต้องเจอเข้ากับลูกดอกแบบนี้ก็หลั้งเหงื่อเย็นด้วยความหวาดกลัว
ภาพมโนความรู้สึกที่ตนเองโดนลูกดอกนี้เสียบทะลุหัวใจทำเอาขนหัวลุกซู่
หลังจากหลีกเลี่ยงการลอบโจมตีที่ร้ายกาจนี้แล้วทั้งสองก็ชักอาวุธออกมาพร้อมกันและหันหลังชนกันอย่างระมัดระวังโดยชี้ปลายอาวุธไปที่กอหญ้าสูง ๆ รก ๆ โดยรอบ
เมื่อตั้งท่าพร้อมรบแล้วก็เห็นว่ามีสามคนกระโดดออกมาจากกอหญ้าแต่ละด้านจริง ๆ และทำการล้อมหน้าล้อมหลังทั้งคู่ อาวุธในมือพวกมันสะท้อนแสงเย็นเยียบ
คนเหล่านี้ยังแต่งกายด้วยผ้าขี้ริ้ว แต่เมื่อเทียบกับผู้พเนจรทั่วไปแล้วท่าทีของพวกมันดูจะดุร้ายเกินไปเยอะแถมแววตาของพวกมันยังเผยนัยยะว่า ‘กูจะลอกคราบพวกมึงให้เกลี้ยง’ ด้วยความโล�
“กลุ่มโจร!”
เฉียนหลงมองพวกมันด้วยสีหน้าระแวดระวังพลางกระซิบเบา ๆ
ถังเจิ้นรู้สึกตกใจเมื่อได้ยินและแอบคิดว่าซวยชิบหาย
กลุ่มโจรในหมู่ผู้พเนจรมีชื่อเสียที่โด่งดังมากว่าเป็นไอ้พวกบ้าไร้อารยะธรรมที่เอาแต่แหกปากกู่ร้องไล่ทุบตีคนไม่ต่างจากหมาข้างถนน
ไอ้พวกนี้ทำทุกอย่างตามใจชอบโดยไม่มีลิมิต ดังนั้นการฆ่าเพื่องสนองนีตจึงเป็นเรื่องธรรมดา แม้แต่เนื้อคนด้วยกันพวกมันก็ยังเอามากินอย่างเอร็ดอร่อย
ในบรรดาโหลวเฉิงหลายแห่งในโลกนี้มีวิธีลับในการสื่อสารระหว่างกัน และมีองค์กรที่คล้ายกับสหภาพแรงงานรับจ้างอยู่ด้วย และด้วยความช่วยเหลือจากแพลตฟอร์มการติดต่อนี้ทำให้สามารถเผยแพร่ค่าหัวของคนได้ โดยชายสิบอันดับแรกที่มีค่าหัวสูงสุดล้วนมาจากกลุ่มโจรในแดนทุรกันดาร
เมื่อสมาชิกของกลุ่มโจรถูกจับได้พวกมันจะถูกแขวนคอ 100% และส่วนใหญ่เมื่อถูกรวบจะถูกรวบกันหมด มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่หลุดลอดตาข่ายได้
วิกลจริต ทำชั่วสารพัด!
นั่นคือคำแปลแรกที่ถังเจิ้นใช้กำกับกลุ่มโจรพวกนี้ และตอนนี้ไอ้พวกเวรนี่มันก็กำลังหมายหัวเขาอยู่
สายลมอ่อน ๆ พัดผ่านพื้นที่รกร้าง และถังเจิ้นรู้สึกได้ถึงความอยากฆ่าที่สาดเข้ามาได้บาง ๆ
หนึ่งในสมาชิกของกลุ่มโจรดูคุ้นเคย และถังเจิ้นก็จำได้ในทันทีว่าตนเองเคยเห็นหน้าไอ้นี่ที่ร้านของชำมาก่อนนี่หว่า!
‘จะว่าไปตอนนั้นเรากะเฉียนหลงกะลังนับลูกปัดสมองอยู่เลยหนิ แล้วไอ้ห่านี่แม่งก็อยู่ด้วย มาคิด ๆ ดูแล้วมันน่าจะเป็นหน่วยสอดแนมสินะ!’
‘เห็นทีพวกมันจะเล็งเราไว้ก่อนแล้ว พอเห็นพวกเราออกจากเมืองผู้พเนจรมาก็เลยล่วงหน้ามาดักปล้น’
‘ถ้าแม่งปล้นสำเร็จทั้งชีวิตกูกะเฉียนหลงก็จะโดนพวกแม่งเอาไปด้วย พวกเวรนี่ไม่มีทางปล่อยให้เราเอาชีวิตรอดกลับไปได้อยู่แล้ว ไม่งั้นเรื่องของพวกมันคงแดงแล้วจะไปแอบส่องเหยื่อในเมืองผู้พเนจนไม่ได้ง่าย ๆ อีก’
การปล้นแกะอ้วนจากเมืองผู้พเนจรเองก็เป็นหนึ่งในแหล่งรายได้หลักของโจรกลุ่มนี้
แต่น่าเสียดาย!
พวกมันเสือกเข้ามากยุ่งกับลูกปืน!
ในเมื่อเป็นการเอากันถึงตายงั้นก็ไม่มีอะไรต้องลังเล
ก่อนที่ฝ่ายมันจะพูดอะไรเฉียนหลงก็ตะโกนด้วยความโกรธแล้วเงื้อแขนขว้างดอกสว่านยาวหนึ่งฟุตที่โดนเหลาจนแหลมออกไป!
ดอกสว่านเหล็กที่ทั้งหนาและหนักได้พุ่งใส่ไอ้ตัวตรงหน้า
กลายเป็นว่าเจ้าเฉียนหลงนี่ได้เอาอาวุธที่คล้ายเข็มเบอร์ใหญ่นี้ซุกไว้ที่ซองหนังต้นขาซึ่งสามารถชักออกมาปาได้ทันทีที่พบศัตรู
‘อาวุธลับ’ ที่มีน้ำหนักกว่าหนึ่งจินนี้ทรงพลังมากพอที่จะปาทะลุหัวโจรที่อยู่ตรงหน้าได้เลย
ถังเจิ้นเหมือนจะได้ยินเสียง “โผละ” เบา ๆ จากนั้นก็เห็นอาวุธลับเจาะเข้าไปในหัวกะโหลกของโจร ไอ้ตัวที่โดนก็มุมปากกระตุกยิก ๆ แล้วพยายามเงื้อแขนแต่ก็ร่วงลงไปนอนคุยกับรากหญ้าอย่างไม่เหลือเรี่ยวแรง
หลังจากโจมตีสำเร็จเฉียนหลงยังคงเดินวนรอบ ๆ โดยกวัดแกว่งดาบยาวเข้าต่อสู้กับพวกโจร
แต่ละกระบวนท่าที่ใช้ออกล้วนทรงพลัง การควบคุมกำลังทำได้อย่าละเอียดละออแม่นยำ การเคลื่อนไหวไหลลื่นสบายไม่ต่างจากหายใจ รวมกับอาวุธมีคมในมือแล้วสามารถต่อกรกับคนสองคนโดยไม่มีอาการหอบเลยแม้แต่น้อย
แต่เพราะศัตรูมันเยอะกว่าดังนั้นเฉียนหลงจึงถูกตีโต้และตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบในไม่ช้า
ถังเจิ้นซึ่งแต่เดิมอยากเอามีดไปฟันกับพวกมันก็ต้องลังเลเมื่อเห็นฉากนี้ ฝั่งเขาที่ต้องเจอกับสามคนเลยไม่กล้าลังเลต่อจัดการชักปืนพกออกจากเอวแล้วเหนี่ยวไกใส่พวกมันทั้งสามที่พุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว
เขาไม่คิดจะวัดกำลังกับพวกมันอีกต่อไป คิดแค่ว่าต้องให้พวกมันชะงักเพื่อช่วยเฉียนหลงไปพร้อม ๆ กัน
และด้วยระยะห่างที่สั้นมากแถมพวกมันยังไม่รู้ด้วยว่าถังเจิ้นมีปืนดังนั้นถังเจิ้นเลยมีโอกาสยิงใส่พวกมันชนิดที่โดนเข้าเต็ม ๆ
“ปัง ปัง ปัง...!”
เขารัวหมดแม็กในชั่วพริบตาโดยโจรทั้งสามที่ได้ลูกปืนไปกินก็ร่วงลงพื้นในสภาพศพที่โชกไปด้วยเลือด
พลังของลูกปืนนั้นรุนแรงพอที่จะปลิดชีพพวกมันทั้งสามก่อนที่จะมีโอกาสได้เข้าถึงตัวถังเจิ้นซะอีก
และเสียงปืนที่ระเบิดรัวปานเหมือนเม็ดฝนพร้อมพลังสังหารอันกล้าแกร่งก็ทำให้ไอ้พวกโจรที่เหลือต้องนิ่งและมองศพทั้งสามด้วยสายตาตื่นตระหนก
พวกมันรู้ดีว่าอาวุธในมือของถังเจิ้นคือปืน และยังเป็นปืนยิงซ้ำได้ที่มีราคาแพงมาก! พวกมันเคยได้ยินแต่กิตติศัพท์ของอาวุธสังหารชนิดนี้ แต่ไม่คิดว่าไอ้แกะอ้วนสองตัวนี่จะถือครองมันอยู่!
‘กลายเป็นว่าไอ้แกะอ้วนสองตัวนี่ดันไม่ใช่แกะ แต่เป็นปีศาจอ้วนที่รอพวกเรามาเป็นเหยื่อ!’
บังเอิญพวกโจรดันเกิดความคิดนี้แวบเข้ามาในหัวสมองทำให้พวกมันทุนกคนเสียสมาธิไป
เฉียนหลงที่ตาแดงก่ำไม่มีทางพลาดโอกาสนี้อยู่แล้ว เขาฉวยจังหวะนี้ฆ่าไอ้ฝั่งตัวเองไปหนึ่งตัวก่อนจะขยับตัวเข้าไปใกล้ถังเจิ้นอย่างว่องไว
ตอนนี้แม็กเก่าว่างเปล่าถังเจิ้นเลยหยิบแม็กใหม่มาเปลี่ยนอย่างลก ๆ เนื่องจากไม่เคยฝึกฝนมาก่อนทำให้ใส่แม็กใหม่พลาดไปสามรอบจนทำให้วิตกจนเหงื่อแตกไปทั้งตัว
ถ้าไอ้พวกโจรมันบุกเข้ามาตอนนี้เลยล่ะก็เขาคงเสร็จพวกมันไปแล้ว
แต่ก็พวกมันก็ไม่เข้ามาทำให้เขาเสียบแม็กสำเร็จในครั้งที่สี่ และไอ้พวกโจรที่เห็นดังนั้นก็หันหลังหนีกันอย่างไวด้วยความอับอายขายหน้า!
แม้พวกมันจะบ้าแต่ว่าไม่โง่ ย่อมรู้ดีว่าถ้าจะเอาต่อล่ะก็ได้ตายกันตรงนี้แน่นอน ก่อนหน้านี้ทั้งสองคนเป็นแค่แกะอ้วนสองตัวในสายตาพวกมัน ไม่คิดมาก่อนเลยว่าจะกลายเป็นพญามารแบบนี้ ครั้งนี้พวกมันขาดทุนย่อยยับแล้ว
อาวุธของศัตรูทรงพลังมาก ไม่วิ่งตอนนี้แล้วจะวิ่งตอนไหน?
เมื่อเห็นโจรวิ่งหนีไปด้วยความหวาดกลัวทั้งสองก็หันมองหน้ากันและถอนหายใจด้วยความโล่งอก
หลังจากเช็คแอปแผนที่และยืนยันว่าพวกโจรได้หนีไปหมดแล้วถังเจิ้นก็เก็บอาวุธด้วยมือที่สั่นเทาพร้อมกับสบถด้วยความขมขื่น “เชี่ยเอ๊ย...!”
เฉียนหลงนั่งหอบกับพื้นอย่างหนัก เพราะการต่อสู้เมื่อกี้ทำให้เขาหมดพลังงานไปมาก
หลังจากพักผ่อนชั่วครู่เฉียนหลงตรวจดูบาดแผลที่แขนตนเองอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนและเริ่มลอกคราบศพของพวกโจร เพราะไหน ๆ ก็เป็นถึงกลุ่มโจรที่ออกปล้นในแดนทุรกันดารจนมีชื่อเสียขนาดนี้แล้วน่าจะพกของดี ๆ อะไรมาบ้างใช่มั้ยล่ะ?
แต่ก็น่าเสียดายที่เรื่องราวไม่ได้ง่ายอย่างที่หวัง ไอ้พวกนี้มันยากจนข้นแค้นกว่าพวกเขาเยอะ ดังนั้นของที่ได้มาจึงมีแค่ลูกปัดสมองที่หลักสิบเม็ดกับสิ่งของเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น
ในบรรดาอาวุธที่พวกโจรทิ้งไว้บางชิ้นก็ดูดี และเฉียนหลงเป็นคนเก็บมันไปทั้งหมด
ถังเจิ้นไม่ชอบของพวกนี้อยู่แล้วจึงบอกเฉียนหลงให้รีบ ๆ ออกจากที่นี่เร็ว ๆ เพราะไม่อยากรอให้ไอ้พวกโจรมันไปเอาพวกกลับมาฆ่า
หลังจากนี้การเดินทางของทั้งคู่เต็มไปด้วยความระมัดระวังมากยิ่งขึ้น ถังเจิ้นนี่มือไม่ห่างจากปืน ทางด้านเฉียนหลงเองก็อยากรู้เลยถามออกมา ถังเจิ้นเอาปืนให้อีกฝ่ายเล่น หลังจากเล่นจนอิ่มแล้วก็ส่งคืนให้เขา
เดิมทีถังเจิ้นคิดว่าเฉียนหลงจะสนใจอาวุธปืน แต่กลับไม่ใช่ ตอนเอาไปเล่นสีหน้าของอีกฝ่ายดูจะไม่ได้กระตือรือร้นและเหมือนจะสนใจพวกอาวุธทั่วไปมากกว่า
ตลอดทางข้างหน้าโชคดีที่ไม่มีทางคดเคี้ยวใด ๆ และหลังจากหลีกเลี่ยงมอนสเตอร์ที่เดินไปมารอบ ๆ โรงงานร้างแล้วทั้งสองก็มาถึงทางเข้าเข้าช่องใต้ดินที่ซ่อนอยู่อย่างเงียบ ๆ
ถังเจิ้นส่งเสียงเบา ๆ ใส่ไม้กระดานเพื่อยืนยันตัวตน
จากนั้นข้างในก็มีเสียงเสียดสีเบา ๆ ตามด้วยเสียงร้องออกแรงของผู้หญิงและไม้กระดานก็ถูกเลื่อนออกเผยให้เห็นใบหน้าประหลาดใจของมู่หรงจื่อเหยียน
เธอหลีกทางให้ทั้งสองคนเข้ามาและรีบเอาไม้กระดานปิดกลับไปทันที
“พี่ถังกลับมาแล้ว!”
มู่หรงจื่อเหยียนจับแขนของถังเจิ้นด้วยความยินดี
เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ที่อยู่ข้าง ๆ ถือบิสกิตครึ่งชิ้นไว้ในมือพยักหน้าแสดงท่าทาง “อื้ม ๆ!”
ถังเจิ้นตบไหล่มู่หรงจื่อเหยียนด้วยรอยยิ้มและแนะนำเฉียนหลงให้เธอรู้จัก
ไอ้เจ้าเฉียนหลงใช้จังหวะที่มู่หรงจื่อเหยียนหันไปทางอื่นแอบขยิบตาแบบประสาที่ผู้ชายทุกคนรู้ ๆ กันให้ถังเจิ้น
ถังเจิ้นก็หัวเราะเบา ๆ แล้วหันหน้าไปทางอื่นโดยไม่สนใจท่าทีของอีกฝ่าย
ขณะพักผ่อนถังเจิ้นก็บอกมู่หรงจื่อเหยียนถึงความคิดในการสร้างโหลวเฉิงของตน เมื่อเทียบกับความรู้อันจำกัดของเฉียนหลงแล้ว มู่หรงจื่อเหยียนที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นลูกสาวเจ้าเมืองของโหลวเฉิงแห่งหนึ่งน่าจะมีความรู้มากกว่าและให้คำแนะนำที่ถูกต้องแก่เขาได้
หลังจากได้ยินความคิดของถังเจิ้นแล้วมู่หรงจื่อเหยียนก็ตกใจอยู่เหมือนกัน เมื่อได้สติแล้วเธอก็บอกรายละเอียดบางอย่างในการสร้างโหลวเฉินที่เฉียนหลงไม่ได้พูดถึงมาก่อนให้ถังเจิ้นฟัง
เมื่อเทียบกับคำบอกเล่าของเฉียนหลงแล้วข้อมูลจากมู่หรงจื่อเหยียนมีรายละเอียดและแม่นยำกว่ามาก
ปรากฎว่านอกจากศิลาเสาเอกแล้วการสร้างโหลวเฉิงยังต้องใช้ลูกปัดสมองมอนสเตอร์เลเวล 6 ขึ้นไปด้วย!
ในโลกนี้เมื่อเลเวลของผู้พเนจรถึงเลเวล 5 การเลื่อนขั้นของพลังการต่อสู้จะถึงจุดคอขวด มีเพียงการเซ่นไหว้ที่แท่นบูชาของโหลวเฉิงและได้รับพลังวิเศษเท่านั้นถึงจะสามารถเลื่อนขั้นต่อไปเป็นเลเวล 6 ได้
หลังจากเซ่นไหว้เพื่อรับพลังวิเศษแล้วบางคนจะมีความสามารถในการฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ และบางคนจะมีความสามารถในการฝึกฝนศิลปะเวทมนตร์ แต่ไม่ว่าจะเป็นยังไงก็ตามพวกเขาเหล่านั้นล้วนเป็นสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังอย่างมากโดยไม่มีข้อยกเว้น
ผู้ฝึกฝนและมอนสเตอร์ในโลกนี้การแบ่งเกรดกันด้วย อาจกล่าวได้ว่าการนับเลเวลที่แท้จริงของผู้ฝึกฝนจะเริ่มต้นหลังจากได้รับพลังวิเศษก็ไม่ผิด หลังจากเลเวล 6 แล้วทุกครั้งที่ผู้ฝึกฝนเพิ่มขึ้นหนึ่งเลเวลจะมีความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณ
มอนสเตอร์ที่มีเลเวลต่ำกว่า 5 เองก็จะถือว่าเป็นมอนสเตอร์ธรรมดาเท่านั้น หลังจากถึงเลเวล 6 แล้ว พวกมันเองก็สามารถได้รับพลังวิเศษและได้รับการเลื่อนขั้นเป็นปีศาจที่ทรงพลังได้เช่นกัน เมื่อมาถึงตอนนี้ลูกปัดสมองของมอนสเตอร์ชนิดนี้จะมีค่ามากสามารถใช้เป็นเครื่องเซ่นไหว้ได้และยังสามารถใช้ช่วยในการฝึกฝนด้วย ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าประเมินค่าไม่ได้เลยด้วยซ้ำ