ตอนที่ 67 เบ็นและครอบครัว(อ่านฟรี28/02/2566)
ตอนที่ 67 เบ็นและครอบครัว
เรนรีบลงมาจากรถหุ้มเกราะ คนอื่น ๆ ก็ตามลงมาและพากันเดินไปที่รถบรรทุก เพื่อดูว่าคนทั้งสามที่ท้ายรถบรรทุก 6 ล้อเหล่านั้นเป็นอย่างไรบ้าง
“เกิดอะไรขึ้น” รินดาเห็นท่าทางรีบร้อนจึงเข้ามาสอบถาม
“เราเจอคน” หลินหันไปบอกกับเธอ
เรนเปิดประตูท้ายรถบรรทุกออกมา เผยให้เห็นสามพ่อลูกที่นั่งอย่างอ่อนแรง
“พาพวกเขาลงมาก่อน”
ทั้งสามคนถูกพาลงมาและไปยังโรงเลื่อยไม้เพื่อสอบถาม โดยมีเรนและผู้กองเชนทำหน้าที่นี้ ส่วนคนอื่น ๆ ช่วยกันจัดการของบนรถบรรทุก
ตอนนั้นเองไอราก็กล่าวกับเรนว่า “สองคนนั้นยังเป็นเด็กอยู่เลย ให้พวกเขารออยู่ที่นี่ดีไหม”
เรนมองไปที่เด็กหนุ่มอายุ 17-18 กับเด็กชายอายุ 10 กว่าขวบ ก่อนจะพยักหน้าตกลง
“เดี๋ยว พวกคุณคิดจะทำอะไร” ชายผู้เป็นพ่อพยายามจับตัวลูกชายของตนเองไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
“ปล่อยนะพวกแก” ชายหนุ่มอีกคนที่มาด้วยพยายามขัดขืน แต่เพราะอ่อนเพลียจากการขาดน้ำและอาหาร จึงโดนจับล็อกโดยผู้กองเชนอย่างง่ายดาย
“หยุดดิ้นได้แล้วไอ้หนู พวกเราไม่คิดจะทำอะไรเขาหรอก ก็แต่จะสอบถามเขาก็เท่านั้น” ผู้กองเชนกล่าว
“เฮนรี่หยุดดิ้น” ชายผู้เป็นพ่อบอกกับเด็กหนุ่ม
เด็กหนุ่มได้ยินก็แสดงท่าทางไม่พอใจ แต่ก็หยุดดิ้น
ชายผู้เป็นพ่อมองกันอย่างลังเล สุดท้ายก็ยอมให้ลูกคนเล็กด้วย
“ดูน้องให้ดี” เขากล่าวย้ำ ก่อนจะตามเรนและผู้กองเชนไป
ทั้งสามเข้าไปในโรงเลื่อยไม้ ผู้กองเชนปล่อยให้ชายผู้เป็นพ่อนั่งลงที่ท่อนไม้มุมหนึ่ง ส่วนตนและเรนนั้นนั่งฝั่งตรงข้าม
“พวกคุณต้องการรู้อะไร พวกเราก็แค่คนธรรมดาที่ติดอยู่ที่นั่นก็เท่านั้น” ชายผู้เป็นพ่อที่พอมีแรงพูดได้สอบถามเรนและผู้กองเชนด้วยความระมัดระวัง
เรนไม่ถนัดเรื่องการสอบสวนจึงปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้กองเชนที่เป็นตำรวจ ส่วนตนนั้นจะนั่งฟังเท่านั้น
“ผมจะถามคุณแค่ตอบ แน่นอนว่าจะไม่ตอบก็ได้” ผู้กองเชนกล่าวขึ้นมาประโยคหนึ่ง แม้คำพูดจะดูสบาย ๆ แต่ท่าทางนั้นก็จริงจังมากจนทำให้ชายผู้เป็นพ่อรู้สึกกดดันมาก
“ผมจะบอก” ชายผู้เป็นพ่อกล่าวตะกุกตะกักเล็กน้อย
“คุณชื่ออะไร ลูกชายทั้งสองด้วย มาที่นี่ได้ยังไงแล้วทำไมไปที่อยู่ท้ายรถบรรทุก”
“ผมชื่อ...”
ชายผู้เป็นพ่อเริ่มตอบคำถามว่าตนนั้นชื่อ เบ็น และลูกชายคนโตชื่อ เฮนรี่ ส่วนคนเล็กชื่อ อเล็กซ์ พวกเขาทั้งสามคนหนีตายจากพวกผู้ติดเชื้อมาจากเขต 38 เมืองเอราทิส โดยหนีกันมาจากรถไฟเที่ยวสุดท้ายที่ออกจากที่นั่น ซึ่งเมืองนั้นเกิดเรื่องก่อนหน้าเมืองวอริกประมาณ 2 วัน
เรื่องวันเวลาที่เกิดเรื่องทำให้เรนและผู้กองเชนขมวดคิ้วกันอยู่ไม่น้อย
หลังจากมาถึงที่สถานีใกล้ ๆ พวกเขาก็พบว่าบนรถไฟนั้นมีผู้ติดเชื้อมาด้วย จึงพากันหลบหนีออกมา ตอนแรกบนรถไฟมีกันมากกว่า 30 คนที่ยังรอดอยู่ แต่ต่อมาพวกเขาแยกกันหนี โดยคนที่มาเก็บเบ็นและครอบครัวมีอีกสองคน
พวกเขาคิดว่าจะหนีพ้น แต่การระบาดนั้นเร็วมาก สุดท้ายทุกที่ก็เต็มไปด้วยพวกผู้ติดเชื้อ พวกเขาพากันหลบซ่อน แต่ว่าผ่านไปหลายวันอาหารก็หมดลง ด้วยความหิวจึงพากันไปหาอาหาร แต่ว่าสุดท้ายก็ติดอยู่ที่หมู่บ้านนั้น เพราะด้านนอกมีแต่ผู้ติดเชื้อ
พวกเขาพยายามหนี สองคนในกลุ่มภายหลังก็ติดเชื้อ พวกนั้นจึงช่วยให้พวกเขาหลบเข้าไปตู้ท้ายรถบรรทุกและปิดประตูให้ นี่คือเหตุผลที่ทั้งสามไปติดอยู่ที่นั่น
“พวกคุณไม่รู้เหรอว่ามันจะปิดประตูแล้วจะออกมาไม่ได้” ผู้กองเชนเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“เราไม่มีทางเลือก ตอนนั้นถ้าไม่เข้าไปและปิดประตูพวกมันคงตามเข้ามา เพราะมีบางตัวที่มันเปิดประตูได้” เบ็นพูดด้วยท่าทางจนปัญญา
“พวกคุณอยู่ที่นี่กันเหรอ ให้พวกเราอยู่ด้วยได้ไหม” เบ็นถามทันที เพราะเขาดูแล้วที่นี่น่าจะปลอดภัยกว่าข้างนอกมากนัก
“เรื่องนี้” ผู้กองเชนกล่าวมาสองคำและเงียบไป
พอเห็นแบบนั้นเบ็นก็รีบกล่าวทันทีว่า “ผมช่วยพวกคุณได้นะ ด้านนอกผมเห็นว่าพวกคุณกำลังขยายกำแพงและสร้างบ้านพักกันใช่ไหม ผมเป็นช่างรับเหมาก่อสร้าง ให้ผมอยู่ด้วยรับรองว่าผมจะช่วยงานพวกคุณได้แน่นอน”
เบ็นเข้าไปขอร้องผู้กองเชน
“นายควรถามเขา” ผู้กองเชนหันไปมองเรนที่นั่งเงียบ ๆ อยู่ข้าง ๆ
เบ็นประหลาดใจเล็กน้อยที่คนหนุ่มคนนี้สามารถตัดสินใจได้ว่าเขาจะอยู่หรือไปจากที่นี่ นั้นแสดงว่าเขาคือคนนำกลุ่มนี้
เรนขยับเข้ามาตรงหน้าของเบ็น ผู้กองเชนจึงถอยออกมา
“คุณเป็นช่างก่อสร้างสินะ”
“ใช่”
“ผมจะเชื่อคุณ แต่ว่าถ้าคุณมีความคิดเข้ามาสร้างความวุ่นวายผมจะฆ่าคุณแน่นอน” เรนกล่าวด้วยแววตาเย็นชา ทำให้เบ็นรู้สึกกลัวเด็กคนนี้ขึ้นมา
“ฉันไม่คิดจะทำแบบนั้น” เบ็นกล่าว
“ไปด้านนอกกันเถอะ” เรนกล่าวจบก็เดินออกไป
ผู้กองเชนเดินตามมาและถามว่า “ทำไมครั้งนี้นายยอมรับเขาเข้ากลุ่มง่ายนัก”
“ไม่ใช่เข้ากลุ่ม แต่ให้เขามาอยู่ที่นี่เท่านั้น ถ้าจะสร้างบ้านและรั้วแค่ลุงบุญคนเดียวคงไม่พอแน่นอน เราต้องการคนมีความรู้และประสบการณ์มาทำ อีกอย่างที่เขาอยากอยู่ที่นี่ไม่ใช่เพื่อตนเองเท่านั้น แต่เพื่อลูกชายทั้งสองคน คนที่มีห่วงทางครอบครัว ไม่มีทางหักหลังเพื่อทำให้ครอบครัวของตนเองเสี่ยงภัยหรอก แต่ถ้าฉันคิดผิดพวกเขาก็ไม่มีโอโอกาสที่สองอีก”
เรนกล่าวเหตุผลของตนและทิ้งท้ายด้วยคำพูดจริงจัง ซึ่งถ้ากล้าทำเรื่องอย่างการหักหลังเขาและคนที่นี่ เรนไม่ปล่อยชายคนนี้ไว้เหมือนกัน
ผู้กองเชนคิดว่าเหตุผลของเรนนั้นฟังขึ้น
หลังจากออกมาแล้ว เรนก็บอกการตัดสินใจของตนเองนั้นให้กับคนอื่น ๆ ได้ฟัง ส่วนเบ็นเข้าไปพูดกับลูกชายของตนเองถึงเรื่องที่จะพักอยู่ที่นี่
ไม่มีใครคัดค้านอะไร ทุกคนยอมรับสามพ่อลูกให้มาช่วยงานอย่างรวดเร็ว
เบ็นไปพูดคุยกับลุงบุญเรื่องงานก่อสร้างและแผนงานสร้างรั้วกับบ้าน เขาพยายามแสดงให้เห็นว่าตนเองนั้นมีประโยชน์
หลินและรินดาทั้งสองสาวไปแยกของกินที่พากันโยนเข้ามาจนมันปนกันไปหมด โดยมีลีเข้าไปช่วยเป็นคนไปช่วยอีกแรง
หมออลันและไอราก็ช่วยกันแยกยาที่ได้มาจากร้านสะดวกซื้อด้วย ยานั้นมีค่าเป็นอย่างมาก ทำให้หมออย่างอลันนั้นให้ค่ามันสูงมาก
เฮนรี่ไม่รู้ว่าตนเองต้องทำอะไร เพราะเขาพึ่งจะเจอหน้าทุกคนจึงได้แต่นั่งมองดูน้องชายอย่างอเล็กซ์ที่กำลังเดินตามเด็กสาวมินนาอยู่
แต่ผ่านไปสักพักเบ็นก็มาตามเฮนรี่ไปช่วยงานของตนและลุงบุญ
ด้านของเรนและผู้กองเชน ทั้งสองกำลังวางแผนงานวันต่อไปกันอยู่ แน่นอนว่าเรนกำลังมองไปที่เป้าหมายสีแดงบนแผนที่ มันคือปั๊มน้ำมัน
“ไม่อันตรายใช่ไหม” ผู้กองเชนเอ่ยถามอย่างกังวลเล็กน้อย เนื่องจากปั๊มน้ำมันที่ถูกวงไว้ในแผนที่นั่นมันอยู่ใกล้กับเมืองที่เรนและกลุ่มเคยไปปะทะกันที่โรงเรียนมัธยมของที่นั่น ก่อนจะไปค่ายลี้ภัยที่เต็มไปด้วยผู้ติดเชื้อ
“อันตรายอยู่ แต่ถ้าปล่อยไว้นานพวกในเมืองอาจจะกลายเป็นระยะ 2 กันแล้วพวกเราคงไม่มีหวังไปเอาน้ำมันที่ปั๊มเหล่านั้นออกมาแน่” เรนกล่าวและเม้มริมฝีปากเล็กน้อยด้วยท่าทางคิดหนักอยู่เหมือนกัน
“ก็จริงอย่างที่นายว่า ถ้าอย่างนั้นเราควรไปที่นี่ด้วย ตอนที่ขับรถผ่านเส้นนี้ครั้งที่หนีจากค่ายลี้ภัยฉันเจอรถจำนวนมากจอดทิ้งไว้ มันน่าจะมีน้ำมันให้ดูดออกมาและของใช้อื่น ๆ อีก แต่ว่าไว้วันหลังก็ได้” ผู้กองเชนกล่าวแนะนำข้อมูล
“อืม” เรนพยักหน้าและขีดวงกลมถนนเส้นที่ผู้กองเชนบอกไว้อีกจุดหนึ่ง ซึ่งหมายความว่าพวกเขาจะต้องไปที่นี่ต่อ
ตกตอนเย็นลุงบุญก็เรียกเรนและผู้กองเชนให้ไปดูสิ่งที่พวกเขาทำกัน มันเป็นหอคอยสูงประมาณ 3 เมตรมีบันไดปีนขึ้นไป สามารถใช้เป็นจุดเฝ้ายามได้
“ที่นี่มีไม้จำนวนมาก ลุงบุญบอกว่าควรจะสร้างหอคอยเฝ้ายามก่อน” เบ็นกล่าวกับเรน
เรนมองดูด้วยความสนใจ ก่อนจะปีนขึ้นไปด้านบน
หอคอยนี้มี 4 เสาและยึดกันอย่างแน่นหนา ด้านบนยังมีหลังคาไม้และมีพื้นที่ประมาณ 2 เมตร คูณ 2 เมตร ทำให้คนที่ขึ้นไปด้านบนไม่รู้สึกอึดอัดด้วย
“เป็นยังไงบ้าง” ลุงบุญตะโกนถาม
“ดูดีใช้ได้เลย” เรนกล่าว ก่อนจะปีนลงมา
ตอนนี้พวกเขาอยู่กันเป็นกลุ่มมากขึ้นก็ควรจะมีการแบ่งเวรเฝ้ายามกัน ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นจะได้คอยเตือนกันได้
หลังจากตกลงกันแล้วพวกเขาก็แบ่งเวรกันอย่างยุติธรรม โดยทุกคนจะต้องขึ้นไปเฝ้ายาม 6 ชั่วโมงสลับกันไป ตอนนี้จุดเฝ้ามีแค่จุดเดียว คอหอคอยนั้นทำให้
แต่ด้วยความกลัวว่าจะไม่ปลอดภัยโดยเฉพาะกลางคืน จึงเพิ่มคนที่คอยอยู่ตรงกลางค่ายอีกคนจะได้ช่วยเหลือกันได้ถ้าเกิดเรื่องขึ้น
ทำให้มีสองคนที่ต้องเฝ้ายามพร้อมกันในตอนกลางคืน ส่วนกลางวันแค่คนเดียวก็พอ
“ผมต้องการเฝ้ายามด้วย” เฮนรี่เสนอตัวเองขึ้นมาในทันที
“ก็ได้” ผู้กองเชนกล่าว ก่อนจะบอกกับเรนว่า “เดี๋ยวฉันสอนเขายิงปืนเอง”
“อืม” เรนพยักหน้าตกลง หน้าที่สอนยิงปืนเรนยกให้กับผู้กองเชน เพราะเขามีประสบการณ์มากกว่าอยู่แล้ว
เมื่อได้เวรที่ลงตัวกันแล้ว เรนก็เริ่มก่อนเป็นคนแรกในคืนนี้นี้ทันที
“ฉันจะไปเฝ้ายามก่อน” เรนกล่าวกับทุกคน หยิบเอาอาหารและน้ำจากนั้นก็ขึ้นไปที่หอคอย นั่งที่เก้าอี้มองดูนอกกำแพงและแนวป่าอย่างเงียบ ๆ
คนอื่น ๆ แยกย้ายกันไปทำธุระของตนเอง
สองทุ่มกว่าแสงไฟก็เริ่มหรี่ลง พวกเขาต้องระวังในเรื่องของแสงสว่างยามกลางคืน เพราะมันอาจจะดึงดูดสิ่งที่ไม่จำเป็นเข้ามาได้
ไฟจะมีแค่ไม่กี่จุด หนึ่งในนั้นคือกลางลานกว้างด้านหน้าจะมีกองไฟก่อไว้
หลินที่เป็นหนึ่งในสองคนเฝ้ากลางคืนปีนขึ้นมาหาเรนด้านบนหอคอย
“มีอะไรหรือเปล่า” เรนถาม
“เปล่าหรอก ฉันก็แค่จะขึ้นมาสูดอากาศด้านบนดูบ้าง” หลินยืนข้าง ๆ เรนและมองไปด้านนอก
“พอไม่มีแสงไฟจากเมืองแถว ๆ นี้ท้องฟ้าก็มืดมากจนเห็นดาวได้ชัดขึ้น นายว่าไหม” หลินกล่าวพึมพำ ขณะที่สายลมพัดผมของเธอปลิวไปเล็กน้อย
เรนมองฉากตรงหน้าด้วยแววตาเหม่อลอยเล็กน้อย