ตอนที่ 13 จักรวรรดิอยู่ในความโกลาหล
“ฝ่าบาท ข้าว่าตระกูลตูกู่พยายามทดสอบว่าบรรพชนยังมีชีวิตอยู่หรือไม่” ขันทีอาวุโสผู้ยืนอยู่เคียงข้างกล่าว
จักรพรรดิหันกลับมามองสหายของเขา กำลังอ้าปากจะพูดแต่เขากลืนน้ำลายไม่พูดอะไร
ทั้งสองเงียบไปครู่หนึ่ง
ในที่สุดจักรพรรดิก็ตรัสว่า “อัครเสนาบดีที่สมควรตายนั่น…จัดการพวกเขาทีละกลุ่ม…?เรื่องเช่นนี้พูดต่อหน้าผู้คนมากมาย ได้อย่างไร? เขาไม่รู้หรือว่ามีสุนัขเป็นสายลับกี่ตัว ของตระกูลขุนนางอยู่ในราชสำนักกี่คน? หากข้าไม่ยุติการสนทนา เขาคงจะวางแผนว่ากำจัดตระกูลเหล่านั้นอย่างไร สิ่งที่ข้าขาดมากที่สุดในตอนนี้คือเวลา”
“ฝ่าบาท หากบรรพชนผู้ยิ่งใหญ่ยังอยู่ ข้าคิดว่าเรื่องนี้ไม่มีปัญหาหากบรรพชนจะปรากฏตัว”
“อืม ข้าสามารถจัดการกับสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดาย หากข้าอยากให้บรรพชนลงมือ เจ้าไปได้แล้ว สหาย ข้าจะเดินเล่นคนเดียวสักพัก”
ทันทีที่ขันทีอาวุโสจากไป สายตาของจักรพรรดิก็ปรากฏแววมืดมน
“เฒ่าสารเลวนั่น ...ไม่สามารถห้ามตัวเองทดสอบดูว่าบรรพชนยังมีชีวิตอยู่หรือไม่? เขาพยายามสืบความลับของราชวงศ์? ดูเหมือนว่าสหายของข้าจะไม่ใช่สหายที่ดี”
จากนั้นเขาก็ลูบศีรษะ
แววตาของเขาฉายแววสิ้นหวัง
ครั้งหนึ่งเขาเคยคิดว่าเขาสามารถสั่งการผู้แข็งแกร่งหรือมีอำนาจได้อย่างง่ายดายเมื่อเขานั่งบนบัลลังก์
ตอนนี้ เขาได้ตระหนักว่าเขาไร้เดียงสาเพียงใด
ผู้ฝึกยุทธต้องการทรัพยากร
มีเพียงตระกูลขุนนางเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงทรัพยากรมากมาย
นอกจากนี้ยังมีเรื่องของทักษะการฝึกตนที่ถูกผูกขาดเช่นกัน
โดยทั่วไปแล้วผู้ฝึกยุทธระดับต่ำมักจะถูกลดบทบาทให้เป็นแค่อันธพาลรับใช้ตระกูลขุนนาง
เขาซึ่งเป็นจักรพรรดิไม่ได้มีค่าอะไรเลยในสายตาของคนเหล่านั้น
ตระกูลตูกู่ ยังมีความทะเยอทะยานที่จะสนับสนุนเขาในฐานะจักรพรรดิ
ในตอนนี้ เขามีสองทางเลือก เขาสามารถเป็นหุ่นเชิดของ ตระกูลตูกู่ ต่อไปได้
ซึ่งหมายความว่าเขาจะต้องต่อสู้พร้อมความสูญเสียกับตระกูลขุนนางอื่น ๆ ซึ่ง ตระกูลตูกู่จะทำหน้าที่เป็นชาวประมง
หรืออีกทางเลือก ต่อต้านตระกูลตูกู่ แต่ตระกูลขุนนางอื่น ๆ จะได้ประโยชน์จากการต่อสู้ของพวกเขา
สิ่งที่ทำให้เขาหนักใจที่สุดในเวลานี้ก็คือเขาไม่สามารถควบคุมเรื่องนี้ได้
ไม่ว่าเขาจะเห็นด้วยหรือไม่ ราชสำนักอยู่ในมือตระกูลตูกู่ อย่างปฏิเสธไม่ได้
สิ่งต่าง ๆ รุนแรงขึ้นจนแม้แต่สหายคนสนิทของเขาก็ยังวางแผนร้ายลับหลังเขา
ใครจะบอกได้ว่าสถานการณ์เลวร้ายเพียงใด
“หากบรรพชนยังอยู่”
บรรพชน?
เขาหลับตาลง น้ำตาไหลออกมาจากหางตา
นับต้ั้งแต่วันเขาได้ขึ้นเป็นจักรพรรดิ เขาได้รู้ว่าเขามีบรรพชนที่ทรงอำนาจมาก
เป็นเวลากว่าหนึ่งศตวรรษ
เขากลัวว่าบรรพชนคงกลายเป็นขี้เถ้าไปแล้ว
สิ่งที่ทำให้ศัตรูของเขากลัว บรรพชนที่รับใช้จักรวรรดิ
ถ้าแม้แต่สหายของเขายังเริ่มประพฤติตัวเช่นนี้ เขากลัวว่าปรมาจารย์จะแตกแยกกัน
"ถ้าไม่ใช่เพราะขันทีชุดเทาในปีนั้น ข้าคงถูกขับออกจากบัลลังก์ไปนานแล้ว” เขาพึมพำกับตัวเอง
เดี๋ยว
ขันทีชุดเทาคนนั้นอยู่ที่ไหน?
เฮ้อ...
เขาคงไม่สามารถพลิกสถานการณ์ของที่นี่ได้อยู่ดี
“ข้าสมควรได้รับมัน”
เขามองขึ้นไปบนฟ้าขณะที่เขาถอนหายใจ ขณะที่น้ำตาไหลอาบแก้ม
เขาต้องสังหารพี่น้องของเขาเพื่อขึ้นครองบัลลังก์
และในตอนนี้ เขาตัวคนเดียว
เขารู้สึกเศร้าโศกอย่างหาที่สุดมิได้ที่ผุดขึ้นมาจากส่วนลึกของตัวเขาเอง
เขาเริ่มคิดถึงครอบครัวในทันที
“รุ่ยรุ่ยอยู่ที่ไหน?”
คนเดียวที่ทำให้เขามีความสุขในวังได้ก็คือลูกสาวของเขาเอง
ตำหนักจิงหนิง…
ได้ยินเสียงหัวเราะของเด็กและเสียงดนตรีจากเครื่องดนตรี
จักรพรรดิมีรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา
เขาก้าวเข้าไปในตำหนัก
ตำหนักจิงหนิง เงียบลงทันที
จากนั้นเมื่อได้ยินเสียงขลุ่ยไม้ไผ่ วังก็ค่อยๆ มีชีวิตชีวาอีกครั้งและได้ยินเสียงหัวเราะ
เป็นเวลาหลายวันแล้วที่จักรพรรดิมักจะพาองค์หญิงน้อยไปที่ตำหนักจิงหนิงเพื่อฟังดนตรี
หกเดือนต่อมา แผ่นป้ายด้านนอกตำหนักจิงหนิง ถูกเปลี่ยนเป็นป้าย ตำหนักชูหนิง
แม้จะมีการเปลี่ยนชื่อ แต่ยังคงเป็นตำหนักเย็น
ตำหนักชูหนิง…
ชื่อที่สมกับเป็นที่พำนักของพระสนมของจักรพรรดิองค์ก่อน
เนื่องจากสถานะปัจจุบันของเธอ เธอจะไม่ได้รับความสนใจจากคนในวังโดยธรรมชาติ
นอกจากนี้ สิ่งต่าง ๆ เริ่มไม่สงบในโลกภายนอก
ผู้คนเริ่มเป็นปรปักษ์กันมากขึ้น
คอขวดของหลี่มู่ คลายลงเล็กน้อยในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิของปีนี้
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เขาจะฉลอง ก็มีข่าวจากชายแดนแจ้งว่า ผู้บัญชาการหนิง ลุงของจักรพรรดิผู้ซึ่งควรจะเป็นผู้พิทักษ์ชายแดนได้ก่อการกบฏ
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตระกูลขุนนางยังไม่ได้รับการแก้ไข และตอนนี้ญาติของจักรพรรดิเองก็ได้ดำเนินการก่อน
หลี่มู่ รู้สึกตกตะลึง
ทั้งราชสำนักตกตะลึงพอๆ กัน
เกิดอะไรขึ้นที่นี่
ใน วิหารทองคำ…
จักรพรรดิหัวเราะเสียงดัง
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ทำได้ดีมากจริงๆ สงครามที่ดีกำลังต่อสู้แทนข้า เขาหน้าจะบดขยี้ตระกูลขุนนาง”
“ยินดีด้วย ฝ่าบาท”
“มีอะไรให้หน้ายินดี? ลุงของข้าก่อกบฏ และตอนนี้เขาก็กำลังต่อสู้กับข้า จะเป็นการดีที่สุดหากสถานะการณ์บังคับให้สุนัขจิ้งจอกตูกู่ซิน
ลงมือ”
ในราชสำนักวันรุ่งขึ้น เหล่าขุนนางต่างโต้เถียงกัน
ตัวแทนจากตระกูลขุนนางที่อยู่ในเมืองหลวงร้องขอให้จักรพรรดิประหารชีวิต ตูกู่ซินเพื่อระงับความโกรธแค้นของผู้บัญชาการหนิง
ตูกู่ซินสะบัดแขนเสื้อและจากไปในขณะที่การประชุมยังดำเนินอยู่
จักรพรรดิกำลังเล่นกับลูกสาวของเขาในสวนจักรพรรดิ
ทันใดนั้นกองทัพขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นนอกเมืองในทันที
ข่าวที่น่าตกใจแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว
“ตระกูลตูกู่กบฏแล้ว!”
บูม...
กองทหารจำนวนนับไม่ถ้วนโจมตีกำแพงเมืองจากภายนอก
ทุกอย่างดูมืดมนจนสุดสายตา
นายพลที่รักษาเมืองอยู่ที่กำแพงมีสีหน้าเคร่งเครียด
“เราไม่สามารถป้องกันได้นาน เป็นเพียงเรื่องของเวลาก่อนที่กำแพงเมืองจะแตก ทูลฝ่าบาท ข้าจะซื้อเวลาให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ในอีกสองวันข้างหน้า กราบทูลฝ่าบาทให้ทรงพิจารณา”
"ขอรับ"
ความเงียบปกคลุมทั่ว วิหารทองคำ
“ตู่กูซิน เขากล้าดีอย่างไร? ทหารห้าแสนนาย เขาเอามาจากไหน” จักรพรรดิตะโกนขณะที่เขาเดินไปมาในห้องโถง
เขานึกไม่ออกว่า ตระกูลตูกู่ สามารถรวบรวมกองทัพขนาดใหญ่ขนาดนี้ได้อย่างไร
“ฝ่าบาท บัดนี้เราควรคิดหาหนทางหยุดการรุกคืบของกองทัพตระกูลตูกู่” เสนาบดีฝ่ายซ้ายกล่าว
“นั่นคือทหารห้าแสนนาย! เราจะหยุดอะไรแบบนั้นได้อย่างไร” ขุนนางคนหนึ่งพูดด้วยน้ำเสียงที่หวาดกลัว
ขุนนางผู้นั้นไม่เคยไปสนามรบเลยตั้งแต่ยังเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร
เขายืนอยู่ที่หอคอยแห่งหนึ่งของกำแพงในตอนเช้า มองไปข้างนอกด้วยความอยากรู้อยากเห็น
สิ่งที่เขาเห็นทำให้เขาหวาดกลัวไม่สิ้นสุด
“ทหารห้าแสนนายไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวที่สุด สิ่งที่น่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริงคือปรมาจารย์อาณาจักรสวรรค์ชั้นสูงทั้งสี่จากตระกูลตูกู่ ถ้าพวกเขาเคลื่อนไหว ข้าเกรงว่าจะไม่มีใครในเมืองนี้ที่สามารถหยุดพวกเขาได้”
“เจ้าคิดว่ามีเพียงพวกเขารึที่มีปรมาจาย์อาณาจักรสวรรค์ระดับสูง? เราก็มีปรมาจารย์ที่น่าเกรงขามมากมายในเมืองนี้ มันยังมีโอกาสชนะพวกมันได้ ตราบใดที่เรารวบรวมปรมาจารย์เหล่านั้นได้ สิ่งที่ข้ากังวลจริงๆ ก็คืออาจมีปรมาจาย์อาณาจักรควบคุมวิญญาณอยู่ข้างตระกูลตูกู่”
“ตระกูลตูกู่จะไม่กล้าก่อกบฏ โดยไม่มีกำลังมากพอ”
“ตระกูลตูกู่รู้สถานการณ์ต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอกเมืองจากหน้ามือเป็นหลังมือ สุนัขจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ ตูกู่ซิน คงไม่กล้าที่จะก่อกบฏหากเขาไม่แน่ใจว่าเขาจะชนะ ฝ่าบาท ข้าเสนอให้ย้ายเมืองหลวงทันที เราต้องตัดสินใจอย่างเด็ดขาดเกี่ยวกับเรื่องนี้”
……
“ย้ายเมืองหลวง? พูดเหมือนง่าย ข้าจะย้ายเมืองหลวงไปที่ไหน? ดินแดนของตระกูลจ้าว หรือดินแดนของตระกูลหยวน?”
จักรพรรดิกำลังครียด
เมื่อมีการย้ายเมืองหลวง จะไม่สามารถหลีกเลี่ยงพื้นที่ที่ถูกควบคุมโดยตระกูลขุนนาง
ไม่ว่าจะทางซ้ายหรือขวาเป็นทางตัน
“ฝ่าบาท เราใช้คำสังรับใช้จักรพรรดิ บางตระกูลที่ไม่ต้องการเห็นตระกูลตูกู่เป็นใหญ่ จะต้องลงมือเพื่อฝ่าบาทแน่นอน” เสนาบดีฝ่ายซ้ายแนะนำ
“ตอนนี้เราถูกล้อมรอบด้วยทหารห้าแสนนายจากตระกูลตูกู่ เจ้าไม่คิดว่ามันจะสายเกินไปที่จะทำอะไรแบบนั้นตอนนี้?”
……
ภายในตำหนักชูหนิง…
หลี่มู่ รวบรวมใบไม้ที่ร่วงหล่นเข้าด้วยกัน
เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ที่บอบบางนั่งยอง ๆ อยู่ข้างๆเขา
เด็กหญิงตัวเล็ก ดูเหมือนอายุประมาณสี่ขวบและถือใบไม้สีเหลืองไว้ในมือ เธอมีสีหน้าเป็นกังวลที่ไม่ควรปรากฏแก่คนที่อายุน้อยเช่นนี้
นางสนมนั่งอยู่บนบันไดตำหนักข้างหลังเธอ
เธอมองไปที่หญิงสาวและหลี่มู่ที่อยู่ข้างหน้าเธอและยิ้มจาง ๆ บนใบหน้าของเธอ
“เซี่ยวลี่จือ บิดาของข้าไม่มีความสุขมากเมื่อวานนี้ ท่านรู้วิธีที่จะทำให้เขามีความสุขอีกครั้งหรือไม่” สาวน้อยเอ่ยถาม
“บิดาของฝ่าบาทไม่มีความสุขเพราะเวลานี้มีทหารห้าแสนนายล้อมรอบเมือง ข้าเป็นแค่ขันทีอ่อนแอจากวัง ไม่ใช่เรื่องที่ข้าจะทำอะไรได้”
หลี่มู่ส่ายหัวของเขา
“ท่านต้องมีวิธี!” รุ่ยรุยหน้ามุ่ย
"ไม่"
“ท่านมี ท่านทำให้ข้าหัวเราะ ดังนั้นท่านจะทำให้บิดาข้าหัวเราะได้”
“ข้าทำอะไรไม่ได้เลยจริงๆ”
ฮึ่ม...
“ข้าไม่คุยกับท่านแล้ว”
รุ่ยรุยทำหน้าบึ้ง แล้วหันกลับมา ยืนแยกขาออกและทำท่าทางโกรธเอ่ยว่า
“ตอนนี้ข้าโกรธมาก”
“ข้าทำอะไรไม่ได้อยู่ดี”