ตอนที่แล้วตอนที่ 12 ปัญหาในราชสำนัก
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 14

ตอนที่ 13 จักรวรรดิอยู่ในความโกลาหล


“ฝ่าบาท ข้าว่าตระกูลตูกู่พยายามทดสอบว่าบรรพชนยังมีชีวิตอยู่หรือไม่” ขันทีอาวุโสผู้ยืนอยู่เคียงข้างกล่าว

จักรพรรดิหันกลับมามองสหายของเขา กำลังอ้าปากจะพูดแต่เขากลืนน้ำลายไม่พูดอะไร

ทั้งสองเงียบไปครู่หนึ่ง

ในที่สุดจักรพรรดิก็ตรัสว่า “อัครเสนาบดีที่สมควรตายนั่น…จัดการพวกเขาทีละกลุ่ม…?เรื่องเช่นนี้พูดต่อหน้าผู้คนมากมาย ได้อย่างไร? เขาไม่รู้หรือว่ามีสุนัขเป็นสายลับกี่ตัว ของตระกูลขุนนางอยู่ในราชสำนักกี่คน? หากข้าไม่ยุติการสนทนา เขาคงจะวางแผนว่ากำจัดตระกูลเหล่านั้นอย่างไร สิ่งที่ข้าขาดมากที่สุดในตอนนี้คือเวลา”

“ฝ่าบาท หากบรรพชนผู้ยิ่งใหญ่ยังอยู่ ข้าคิดว่าเรื่องนี้ไม่มีปัญหาหากบรรพชนจะปรากฏตัว”

“อืม ข้าสามารถจัดการกับสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดาย หากข้าอยากให้บรรพชนลงมือ เจ้าไปได้แล้ว สหาย ข้าจะเดินเล่นคนเดียวสักพัก”

ทันทีที่ขันทีอาวุโสจากไป สายตาของจักรพรรดิก็ปรากฏแววมืดมน

“เฒ่าสารเลวนั่น ...ไม่สามารถห้ามตัวเองทดสอบดูว่าบรรพชนยังมีชีวิตอยู่หรือไม่? เขาพยายามสืบความลับของราชวงศ์? ดูเหมือนว่าสหายของข้าจะไม่ใช่สหายที่ดี”

จากนั้นเขาก็ลูบศีรษะ

แววตาของเขาฉายแววสิ้นหวัง

ครั้งหนึ่งเขาเคยคิดว่าเขาสามารถสั่งการผู้แข็งแกร่งหรือมีอำนาจได้อย่างง่ายดายเมื่อเขานั่งบนบัลลังก์

ตอนนี้ เขาได้ตระหนักว่าเขาไร้เดียงสาเพียงใด

ผู้ฝึกยุทธต้องการทรัพยากร

มีเพียงตระกูลขุนนางเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงทรัพยากรมากมาย

นอกจากนี้ยังมีเรื่องของทักษะการฝึกตนที่ถูกผูกขาดเช่นกัน

โดยทั่วไปแล้วผู้ฝึกยุทธระดับต่ำมักจะถูกลดบทบาทให้เป็นแค่อันธพาลรับใช้ตระกูลขุนนาง

เขาซึ่งเป็นจักรพรรดิไม่ได้มีค่าอะไรเลยในสายตาของคนเหล่านั้น

ตระกูลตูกู่ ยังมีความทะเยอทะยานที่จะสนับสนุนเขาในฐานะจักรพรรดิ

ในตอนนี้ เขามีสองทางเลือก เขาสามารถเป็นหุ่นเชิดของ ตระกูลตูกู่ ต่อไปได้

ซึ่งหมายความว่าเขาจะต้องต่อสู้พร้อมความสูญเสียกับตระกูลขุนนางอื่น ๆ ซึ่ง ตระกูลตูกู่จะทำหน้าที่เป็นชาวประมง

หรืออีกทางเลือก ต่อต้านตระกูลตูกู่ แต่ตระกูลขุนนางอื่น ๆ จะได้ประโยชน์จากการต่อสู้ของพวกเขา

สิ่งที่ทำให้เขาหนักใจที่สุดในเวลานี้ก็คือเขาไม่สามารถควบคุมเรื่องนี้ได้

ไม่ว่าเขาจะเห็นด้วยหรือไม่ ราชสำนักอยู่ในมือตระกูลตูกู่ อย่างปฏิเสธไม่ได้

สิ่งต่าง ๆ รุนแรงขึ้นจนแม้แต่สหายคนสนิทของเขาก็ยังวางแผนร้ายลับหลังเขา

ใครจะบอกได้ว่าสถานการณ์เลวร้ายเพียงใด

“หากบรรพชนยังอยู่”

บรรพชน?

เขาหลับตาลง น้ำตาไหลออกมาจากหางตา

นับต้ั้งแต่วันเขาได้ขึ้นเป็นจักรพรรดิ เขาได้รู้ว่าเขามีบรรพชนที่ทรงอำนาจมาก

เป็นเวลากว่าหนึ่งศตวรรษ

เขากลัวว่าบรรพชนคงกลายเป็นขี้เถ้าไปแล้ว

สิ่งที่ทำให้ศัตรูของเขากลัว บรรพชนที่รับใช้จักรวรรดิ

ถ้าแม้แต่สหายของเขายังเริ่มประพฤติตัวเช่นนี้ เขากลัวว่าปรมาจารย์จะแตกแยกกัน

"ถ้าไม่ใช่เพราะขันทีชุดเทาในปีนั้น ข้าคงถูกขับออกจากบัลลังก์ไปนานแล้ว” เขาพึมพำกับตัวเอง

เดี๋ยว

ขันทีชุดเทาคนนั้นอยู่ที่ไหน?

เฮ้อ...

เขาคงไม่สามารถพลิกสถานการณ์ของที่นี่ได้อยู่ดี

“ข้าสมควรได้รับมัน”

เขามองขึ้นไปบนฟ้าขณะที่เขาถอนหายใจ ขณะที่น้ำตาไหลอาบแก้ม

เขาต้องสังหารพี่น้องของเขาเพื่อขึ้นครองบัลลังก์

และในตอนนี้ เขาตัวคนเดียว

เขารู้สึกเศร้าโศกอย่างหาที่สุดมิได้ที่ผุดขึ้นมาจากส่วนลึกของตัวเขาเอง

เขาเริ่มคิดถึงครอบครัวในทันที

“รุ่ยรุ่ยอยู่ที่ไหน?”

คนเดียวที่ทำให้เขามีความสุขในวังได้ก็คือลูกสาวของเขาเอง

ตำหนักจิงหนิง…

ได้ยินเสียงหัวเราะของเด็กและเสียงดนตรีจากเครื่องดนตรี

จักรพรรดิมีรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา

เขาก้าวเข้าไปในตำหนัก

ตำหนักจิงหนิง เงียบลงทันที

จากนั้นเมื่อได้ยินเสียงขลุ่ยไม้ไผ่ วังก็ค่อยๆ มีชีวิตชีวาอีกครั้งและได้ยินเสียงหัวเราะ

เป็นเวลาหลายวันแล้วที่จักรพรรดิมักจะพาองค์หญิงน้อยไปที่ตำหนักจิงหนิงเพื่อฟังดนตรี

หกเดือนต่อมา แผ่นป้ายด้านนอกตำหนักจิงหนิง ถูกเปลี่ยนเป็นป้าย ตำหนักชูหนิง

แม้จะมีการเปลี่ยนชื่อ แต่ยังคงเป็นตำหนักเย็น

ตำหนักชูหนิง…

ชื่อที่สมกับเป็นที่พำนักของพระสนมของจักรพรรดิองค์ก่อน

เนื่องจากสถานะปัจจุบันของเธอ เธอจะไม่ได้รับความสนใจจากคนในวังโดยธรรมชาติ

นอกจากนี้ สิ่งต่าง ๆ เริ่มไม่สงบในโลกภายนอก

ผู้คนเริ่มเป็นปรปักษ์กันมากขึ้น

คอขวดของหลี่มู่ คลายลงเล็กน้อยในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิของปีนี้

อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เขาจะฉลอง ก็มีข่าวจากชายแดนแจ้งว่า ผู้บัญชาการหนิง ลุงของจักรพรรดิผู้ซึ่งควรจะเป็นผู้พิทักษ์ชายแดนได้ก่อการกบฏ

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตระกูลขุนนางยังไม่ได้รับการแก้ไข และตอนนี้ญาติของจักรพรรดิเองก็ได้ดำเนินการก่อน

หลี่มู่ รู้สึกตกตะลึง

ทั้งราชสำนักตกตะลึงพอๆ กัน

เกิดอะไรขึ้นที่นี่

ใน วิหารทองคำ…

จักรพรรดิหัวเราะเสียงดัง

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ทำได้ดีมากจริงๆ สงครามที่ดีกำลังต่อสู้แทนข้า เขาหน้าจะบดขยี้ตระกูลขุนนาง”

“ยินดีด้วย ฝ่าบาท”

“มีอะไรให้หน้ายินดี? ลุงของข้าก่อกบฏ และตอนนี้เขาก็กำลังต่อสู้กับข้า จะเป็นการดีที่สุดหากสถานะการณ์บังคับให้สุนัขจิ้งจอกตูกู่ซิน

ลงมือ”

ในราชสำนักวันรุ่งขึ้น เหล่าขุนนางต่างโต้เถียงกัน

ตัวแทนจากตระกูลขุนนางที่อยู่ในเมืองหลวงร้องขอให้จักรพรรดิประหารชีวิต ตูกู่ซินเพื่อระงับความโกรธแค้นของผู้บัญชาการหนิง

ตูกู่ซินสะบัดแขนเสื้อและจากไปในขณะที่การประชุมยังดำเนินอยู่

จักรพรรดิกำลังเล่นกับลูกสาวของเขาในสวนจักรพรรดิ

ทันใดนั้นกองทัพขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นนอกเมืองในทันที

ข่าวที่น่าตกใจแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว

“ตระกูลตูกู่กบฏแล้ว!”

บูม...

กองทหารจำนวนนับไม่ถ้วนโจมตีกำแพงเมืองจากภายนอก

ทุกอย่างดูมืดมนจนสุดสายตา

นายพลที่รักษาเมืองอยู่ที่กำแพงมีสีหน้าเคร่งเครียด

“เราไม่สามารถป้องกันได้นาน เป็นเพียงเรื่องของเวลาก่อนที่กำแพงเมืองจะแตก ทูลฝ่าบาท ข้าจะซื้อเวลาให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ในอีกสองวันข้างหน้า กราบทูลฝ่าบาทให้ทรงพิจารณา”

"ขอรับ"

ความเงียบปกคลุมทั่ว วิหารทองคำ

“ตู่กูซิน เขากล้าดีอย่างไร? ทหารห้าแสนนาย เขาเอามาจากไหน” จักรพรรดิตะโกนขณะที่เขาเดินไปมาในห้องโถง

เขานึกไม่ออกว่า ตระกูลตูกู่ สามารถรวบรวมกองทัพขนาดใหญ่ขนาดนี้ได้อย่างไร

“ฝ่าบาท บัดนี้เราควรคิดหาหนทางหยุดการรุกคืบของกองทัพตระกูลตูกู่” เสนาบดีฝ่ายซ้ายกล่าว

“นั่นคือทหารห้าแสนนาย! เราจะหยุดอะไรแบบนั้นได้อย่างไร” ขุนนางคนหนึ่งพูดด้วยน้ำเสียงที่หวาดกลัว

ขุนนางผู้นั้นไม่เคยไปสนามรบเลยตั้งแต่ยังเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร

เขายืนอยู่ที่หอคอยแห่งหนึ่งของกำแพงในตอนเช้า มองไปข้างนอกด้วยความอยากรู้อยากเห็น

สิ่งที่เขาเห็นทำให้เขาหวาดกลัวไม่สิ้นสุด

“ทหารห้าแสนนายไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวที่สุด สิ่งที่น่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริงคือปรมาจารย์อาณาจักรสวรรค์ชั้นสูงทั้งสี่จากตระกูลตูกู่ ถ้าพวกเขาเคลื่อนไหว ข้าเกรงว่าจะไม่มีใครในเมืองนี้ที่สามารถหยุดพวกเขาได้”

“เจ้าคิดว่ามีเพียงพวกเขารึที่มีปรมาจาย์อาณาจักรสวรรค์ระดับสูง? เราก็มีปรมาจารย์ที่น่าเกรงขามมากมายในเมืองนี้ มันยังมีโอกาสชนะพวกมันได้ ตราบใดที่เรารวบรวมปรมาจารย์เหล่านั้นได้ สิ่งที่ข้ากังวลจริงๆ ก็คืออาจมีปรมาจาย์อาณาจักรควบคุมวิญญาณอยู่ข้างตระกูลตูกู่”

“ตระกูลตูกู่จะไม่กล้าก่อกบฏ โดยไม่มีกำลังมากพอ”

“ตระกูลตูกู่รู้สถานการณ์ต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอกเมืองจากหน้ามือเป็นหลังมือ สุนัขจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ ตูกู่ซิน คงไม่กล้าที่จะก่อกบฏหากเขาไม่แน่ใจว่าเขาจะชนะ ฝ่าบาท ข้าเสนอให้ย้ายเมืองหลวงทันที เราต้องตัดสินใจอย่างเด็ดขาดเกี่ยวกับเรื่องนี้”

……

“ย้ายเมืองหลวง? พูดเหมือนง่าย ข้าจะย้ายเมืองหลวงไปที่ไหน? ดินแดนของตระกูลจ้าว หรือดินแดนของตระกูลหยวน?”

จักรพรรดิกำลังครียด

เมื่อมีการย้ายเมืองหลวง จะไม่สามารถหลีกเลี่ยงพื้นที่ที่ถูกควบคุมโดยตระกูลขุนนาง

ไม่ว่าจะทางซ้ายหรือขวาเป็นทางตัน

“ฝ่าบาท เราใช้คำสังรับใช้จักรพรรดิ บางตระกูลที่ไม่ต้องการเห็นตระกูลตูกู่เป็นใหญ่ จะต้องลงมือเพื่อฝ่าบาทแน่นอน” เสนาบดีฝ่ายซ้ายแนะนำ

“ตอนนี้เราถูกล้อมรอบด้วยทหารห้าแสนนายจากตระกูลตูกู่ เจ้าไม่คิดว่ามันจะสายเกินไปที่จะทำอะไรแบบนั้นตอนนี้?”

……

ภายในตำหนักชูหนิง…

หลี่มู่ รวบรวมใบไม้ที่ร่วงหล่นเข้าด้วยกัน

เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ที่บอบบางนั่งยอง ๆ อยู่ข้างๆเขา

เด็กหญิงตัวเล็ก ดูเหมือนอายุประมาณสี่ขวบและถือใบไม้สีเหลืองไว้ในมือ เธอมีสีหน้าเป็นกังวลที่ไม่ควรปรากฏแก่คนที่อายุน้อยเช่นนี้

นางสนมนั่งอยู่บนบันไดตำหนักข้างหลังเธอ

เธอมองไปที่หญิงสาวและหลี่มู่ที่อยู่ข้างหน้าเธอและยิ้มจาง ๆ บนใบหน้าของเธอ

“เซี่ยวลี่จือ บิดาของข้าไม่มีความสุขมากเมื่อวานนี้ ท่านรู้วิธีที่จะทำให้เขามีความสุขอีกครั้งหรือไม่” สาวน้อยเอ่ยถาม

“บิดาของฝ่าบาทไม่มีความสุขเพราะเวลานี้มีทหารห้าแสนนายล้อมรอบเมือง ข้าเป็นแค่ขันทีอ่อนแอจากวัง ไม่ใช่เรื่องที่ข้าจะทำอะไรได้”

หลี่มู่ส่ายหัวของเขา

“ท่านต้องมีวิธี!” รุ่ยรุยหน้ามุ่ย

"ไม่"

“ท่านมี ท่านทำให้ข้าหัวเราะ ดังนั้นท่านจะทำให้บิดาข้าหัวเราะได้”

“ข้าทำอะไรไม่ได้เลยจริงๆ”

ฮึ่ม...

“ข้าไม่คุยกับท่านแล้ว”

รุ่ยรุยทำหน้าบึ้ง แล้วหันกลับมา ยืนแยกขาออกและทำท่าทางโกรธเอ่ยว่า

“ตอนนี้ข้าโกรธมาก”

“ข้าทำอะไรไม่ได้อยู่ดี”

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด