ตอนที่แล้วตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 193 วัวเคี้ยวดอกโบตั๋น
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 195 ร่ำสุราใต้แสงจันทร์ (อ่านฟรี)

ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 194 กับดักของพยัคฆ์และอสรพิษ


ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 194 กับดักของพยัคฆ์และอสรพิษ

แปลโดย iPAT  

กลิ่นมักเป็นสิ่งที่จอมยุทธ์พลาดมากที่สุด หลี่ฉิงซานมีประสาทสัมผัสรับกลิ่นที่ดีกว่าสัตว์ป่าทั่วไปนับร้อยเท่า เมื่อรวมกับสัญชาตญาณของเขา มันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะถูกซุ่มโจมตีอย่างง่ายดาย

เขาปกปิดกลิ่นอายทั้งหมดและจับดาบวายุไว้อย่างแน่นหนา เขาเตรียมยันต์และเข้าใกล้ที่อยู่ของนักพรตผีดิบอย่างช้าๆ เขาสูดดมกลิ่นที่ลอยอบอวลอยู่ในอากาศอย่างต่อเนื่องและพยายามอย่างเต็มที่เพื่อค้นหาตำแหน่งของฝ่ายตรงข้าม

นิกายเมฆาพิรุณตั้งใจมาเพื่อเขา แล้วเขาจะหนีทันทีที่พบพวกเขาได้อย่างไร แน่นอนว่ากลยุทธ์ของเขาคือล่าถอยหากมีคนมากเกินไป อย่างไรก็ตามหากมันมีเพียงไม่กี่คน เขาจะฆ่าฝ่ายตรงข้าม ด้วยความร่วมมือจากเสี่ยวอัน เขามั่นใจว่าสามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขั้นเก้า

เมื่อเขาก้าวเท้าเข้าไป ภายในกลับว่างเปล่า มันเหลือทิ้งไว้เพียงกลิ่นที่กำลังจางหายไปอย่างช้าๆ

เหตุใดจอมยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่ต้องอยู่ใต้ดินเพื่อรอการมาถึงของลูกเจียบ พวกเขารอเพียงไม่กี่วันก่อนจะออกจากสถานที่แห่งนี้และค้นหาเบาะแสของเว่ยอิงเจีย

หลี่ฉิงซานรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ดูเหมือนเขาจะต้องใช้ความพยายามมากขึ้น

กลางดึก หลี่ฉิงซานปีนขึ้นไปบนภูเขาของผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์และมาถึงบ้านพักหลังเดิมของเขา ดังคาด มีกลิ่นอายของบางคนอยู่ภายใน มันเป็นกลิ่นอายที่แข็งแกร่งกว่าที่เขาคาดไว้ แน่นอนว่านี่คือเฉียนหรงจื่อที่ทะลวงเข้าสู่ขั้นห้าเรียบร้อยแล้ว นางรวดเร็วกว่าเขามาก

เสี่ยวอันรออยู่ด้านนอกขณะที่หลี่ฉิงซานเข้าไปในบ้านผ่านทางหน้าต่างเพียงลำพัง เขาเห็นเฉียนหรงจื่อนั่งสมาธิอยู่ในห้องอย่างเคร่งขรึม

เฉียนหรงจื่อเปิดเปลือกตาขึ้นเมื่อได้ยินเสียงหน้าต่างเปิด นางลุกขึ้นคว้าอาวุธและตั้งท่าป้องกันตัวแต่นางกลับต้องประหลาดใจ “เป็นเจ้า?”

หลี่ฉิงซานกล่าว “ข้าเอง”

เฉียนหรงจื่อผ่อนคลายลง นางไม่ได้ถามว่าเหตุใดหลี่ฉิงซานจึงอยู่ในรูปลักษณ์เช่นนี้ ดวงตาของนางส่องประกายขณะที่นางเปิดปากกล่าว “เจ้าบรรลุขั้นสามแล้ว เจ้าเป็นอัจฉริยะจริงๆ!” นางพบหลี่ฉิงซานครั้งแรกเมื่อไม่กี่เดือนก่อน ย้อนกลับไปในเวลานั้นเขายังเป็นจอมยุทธ์ขั้นหนึ่ง

หลี่ฉิงซานกล่าว “การบ่มเพาะของเจ้าทำให้ข้าประหลาดใจมากกว่า”

เฉียนหรงจื่อกล่าว “คนไร้ค่ามีวิธีที่ไร้ค่าของตนเอง น่าเสียอาย มันยังไม่เพียงพอที่จะเอาชนะเจ้า”

หลี่ฉิงซานหรี่ตามอง “หากเจ้าสามารถเอาชนะข้า เจ้าจะทำเช่นไร?”

เฉียนหรงจื่อเผยรอยยิ้มบาง “เจ้าจะได้รู้เมื่อมันเกิดขึ้น!”

หลี่ฉิงซานเลิกสนใจเรื่องนี้ เขากล่าวต่อ “เกิดสิ่งใดขึ้นกับนิกายเมฆาพิรุณ? ผู้ใดเป็นผู้ดูแลหอเมฆาพิรุณในเวลานี้?”

“อย่าถามข้า ข้าถูกลากเข้ามาเพราะการหายตัวไปของเว่ยอิงเจีย ข้าถูกไล่ออกจากนิกายเมฆาพิรุณแล้ว ข้าคุกเข่าอ้อนวอนพวกเขาเป็นเวลานานแต่มันยังไร้ประโยชน์ ข้าถูกทดสอบตลอดเวลา ทั้งหมดเพื่อสิ่งใด ข้าไม่ได้รับวิธีการบ่มเพาะใดๆจากพวกเขาเลย ข้าช่างน่าสงสารนัก” เฉียนหรงจื่อกล่าวด้วยความขมขื่นราวกับนางไม่ใช่คนที่ทำร้ายเว่ยอิงเจีย

“ถูกลากเข้ามางั้นหรือ?” หลี่ฉิงซานหัวเราะเย้ยหยัน “เหมือนเดิม หากเจ้าสามารถล่อยายประจิมออกมาเพียงลำพัง ทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับนิกายเมฆาพิรุณในกระเป๋าร้อยสมบัติของนางจะตกเป็นของเจ้า”

เฉียนหรงจื่อเบิกตากว้าง “เจ้าสามารถสังหารจอมยุทธ์ขั้นเก้าแล้วงั้นหรือ?” นางไม่รู้ว่าหลี่ฉิงซานมีไพ่ตายใด แต่มันย่อมทรงพลังพอที่จะสังหารจอมยุทธ์ขั้นหก อย่างไรก็ตามนางไม่เคยคิดว่าเขาจะมาถึงระดับนี้แล้ว

เดิมทีนางเชื่อว่าการไล่ตามหลี่ฉิงซานเป็นเรื่องของเวลาเท่านั้น แต่ตอนนี้ความมั่นใจของนางหายไปอย่างสมบูรณ์แล้ว ความแตกต่างระหว่างนางกับหลี่ฉิงซานไม่ได้ลดลง ตรงข้าม มันกลับขยายออกไปอย่างทวีคูณ

นางเข้าใจทันทีว่าเหตุใดเขาจึงไม่จริงจังกับนางในฐานะภัยคุกคามมากนัก เขามีความมั่นใจในตัวเองอย่างสมบูรณ์ ด้วยความแข็งแกร่งที่เหนือกว่าอย่างท่วมท้น แผนการหรือกลยุทธ์ใดๆก็จะกลายเป็นไร้ประโยชน์ ชายผู้นี้แตกต่างจากชายคนอื่นๆที่นางเคยพบมา เขารับมือได้ยากอย่างน่าประหลาดใจ

“นั่นเป็นเหตุผลที่เจ้าควรกลัวข้าบ้าง มันจะเป็นผลดีต่อเราทั้งคู่!”

เฉียนหรงจื่อหยุดยิ้ม “ข้าเข้าใจ รองผู้นำนิกายเมฆาพิรุณและสี่ยายไม่พบสิ่งใดในถ้ำผีดิบ ดังนั้นพวกเขาจึงแยกกันออกตามหาเจ้า หอเมฆาพิรุณกระจายไปทั่วแผ่นดิน ตราบเท่าที่เจ้าปรากฏตัว พวกเขาจะพบเจ้าอย่างรวดเร็ว”

หลี่ฉิงซานกล่าว “เจ้าส่งพวกเขาไปที่ถ้ำผีดิบใช่หรือไม่?”

เฉียนหรงจื่อตอบ “ข้าบอกพวกเขาว่าเว่ยอิงเจียไปที่นั่นเพื่อตามหาเจ้า แต่ข้าไม่ได้บอกว่าเจ้าฆ่าเขา เจ้าตัดขาดกับนิกายเมฆาพิรุณไปแล้ว ดังนั้นมันจึงไม่ต่างกันไม่ว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวกับเจ้าหรือไม่ อย่าบอกข้าว่าเจ้าโง่พอที่จะไปซ่อนตัวที่นั่นจริงๆ?”

หลี่ฉิงซานรู้สึกเหมือนถูกตบหน้า เขากล่าวอย่างกล้าหาญ “ไม่อย่างแน่นอน พูดต่อ”

เฉียนหรงจื่อยิ้ม “หอเมฆาพิรุณสูญเสียผู้ดูแลสองคนไปในช่วงเวลาไม่นาน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้ส่งคนใหม่มา หากเจ้าต้องการจัดการนิกายเมฆาพิรุณ ข้าขอแนะนำให้เจ้าพุ่งเป้าไปที่เว่ยจงหยวน ตอนนี้เขากำลังเสียใจกับการสูญเสียบุตรชาย เขากลายเป็นคนไร้เหตุผล ดังนั้นเขาจึงควบคุมได้ง่าย”

“การบ่มเพาะของเขาคือ?”

“ขั้นสิบ”

“ข้าขอปฏิเสธ” หลี่ฉิงซานตอบโดยไม่ต้องคิดมาก จอมยุทธ์ขั้นสิบแตกต่างจากจอมยุทธ์ขั้นเก้ามาก เขามั่นใจในความแข็งแกร่งของตนแต่เขาจะไม่กระทำการใดๆเหมือนคนตาบอดเพราะมัน

เฉียนหรงจื่อรู้สึกผิดหวัง แผนการที่จะใช้เว่ยจงหยวนทะลวงขอบเขตของนางล้มเหลว แต่มันก็ทำให้นางสบายใจขึ้น อย่างน้อยที่สุดหลี่ฉิงซานก็ยังไม่แข็งแกร่งพอที่จะจัดการจอมยุทธ์ขั้นสิบในเวลานี้

“เช่นนั้นก็ยายประจิม แต่ข้าต้องการเวลา ข้าต้องการเวลาในการวางแผนและข้าก็ต้องการเวลาในการอธิบายเกี่ยวกับการบ่มเพาะของข้า นอกจากนั้นพวกเขาจะส่งผู้บัญชาการหมาป่าทมิฬคนใหม่มาในไม่ช้า!”

“แล้วอย่างไร?”

“ข้าจะชิงตำแหน่งผู้บัญชาการหมาป่าทมิฬ หากข้าได้เลื่อนตำแหน่ง นิกายเมฆาพิรุณจะไม่แตะต้องข้า แม้พวกเขาจะสงสัยข้า แต่ตราบเท่าที่พวกเขาไม่มีหลักฐาน พวกเขาก็ไม่สามารถทำสิ่งใด ข้าต้องขอบคุณเจ้าที่ช่วงเปิดเส้นทางให้ข้า”

นางมักวางแผนกับคนอื่นแต่กับหลี่ฉิงซาน นางจะซื่อสัตย์เสมอ นี่ไม่ใช่เพราะนางมีความปรารถนาดีต่อเขาแต่นางเพียงปรับตัวไปตามสถานการณ์เท่านั้น นางรู้ว่านี่เป็นวิธีเดียวที่นางจะสามารถร่วมมือกับหลี่ฉิงซานเพื่อประโยชน์สูงสุดต่อตัวนางเอง

ตอนนี้นางกลายเป็นจอมยุทธ์ขั้นห้าแล้ว นางมีสิทธิ์เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการหมาป่าทมิฬ พวกเขาเข้ามาพร้อมกันแต่โดยไม่รู้ตัว นางกลับมาถึงขั้นนี้แล้ว นางเป็นผู้หญิงที่ไม่สามารถประเมินได้จริงๆ

เฉียนหรงจื่อมอบยันต์สื่อสารให้เขา “ข้าจะใช้เวลาหนึ่งถึงสามเดือน ข้าจะส่งยายประจิมให้เจ้าอย่างแน่นอน”

หลี่ฉิงซานพยักหน้า เขาต้องการใช้เวลานี้กำจัดเม็ดยาที่เหลือเช่นกัน นี่จะเป็นการเพิ่มโอกาสในการได้รับชัยชนะ เมื่อเขาได้รับชัยชนะ เขาจะใช้เม็ดยาในกระเป๋าร้อยสมบัติของยายประจิมเพื่อรักษาความเร็วในการบ่มเพาะของเขาต่อไป

จอมยุทธ์เจ้าแผนการทั้งสองทำข้อตกลง มันเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับการวางกับดักจอมยุทธ์ขั้นเก้า

หลี่ฉิงซานกล่าว “ถูกต้อง ช่วยข้าประเมินเม็ดยาหน่อย” เขามีเม็ดยาหลายสิบขวดแต่เขาไม่รู้ว่าพวกมันเป็นสิ่งใด เฉียนหรงจื่อเติบโตขึ้นมาในกองกำลัง นางเรียนรู้หลายสิ่งมาจากเฉียนเยี่ยนเหนิง ดังนั้นนางควรจะสามารถประเมินเม็ดยาเหล่านั้น

ดังคาด ดวงตาของเฉียนหรงจื่อส่องประกายขึ้นเมื่อนางเห็นเม็ดยา นางบอกชื่อและอธิบายผลกระทบทั้งหมดของพวกมันด้วยความคุ้นเคย ส่วนใหญ่ให้ผลลัพธ์คล้ายกับไข่มุกน้ำค้าง พวกมันมีไว้สำหรับการบ่มเพาะ

อย่างไรก็ตามมีเม็ดยาสองขวดที่สามารถปลดปล่อยศักยภาพของร่างกายมนุษย์ออกมาได้ทันที นอกจากนั้นยังมีเม็ดยาที่ช่วยปกปิดกลิ่นอายและยารักษาอาการบาดเจ็บภายใน

หากเขากินพวกมันอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า มันจะเป็นการสูญเปล่า

ในที่สุดหลี่ฉิงซานก็หยิบเม็ดยาขนาดเท่าไข่ห่านออกมาสามเม็ด “แล้วพวกมัน?” เขาไม่รู้จักพวกมันแต่เขาสัมผัสได้ว่าพวกมันเต็มไปด้วยพลังงานที่บริสุทธิ์มาก

เฉียนหรงจื่อกล่าว “นี่คือโอสถปราณแรกกำเนิด! พวกมันมีค่ามากกว่าไข่มุกน้ำค้างมาก แต่พวกมันไม่เหมาะกับจอมยุทธ์”

หลี่ฉิงซานเข้าใจถึงคุณค่าของเม็ดยาไข่มุกน้ำค้างเป็นอย่างดี พวกมันเพียงพอที่จะทำให้จอมยุทธ์จำนวนนับไม่ถ้วนต่อสู้แย่งชิง อย่างไรก็ตามตั้งแต่โอสถปราณแรกกำเนิดไม่ได้มีไว้เพื่อจอมยุทธ์ พวกมันก็ควรมีไว้เพื่อคนทั่วไป “อย่าบอกว่าพวกมัน...”

เฉียนหรงจื่อกล่าว “ถูกต้อง พวกมันเป็นเม็ดยาที่ทำให้คนธรรมดาสามารถบ่มเพาะพลังปราณ อย่างไรก็ตามมันไม่ได้รับประกันความสำเร็จ มันจะขึ้นอยู่กับความสามารถของพวกเขาเอง ในอดีต เฉียนเยี่ยนเหนิงใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อนำมันมาให้บุตรชายสุดที่รักของเขา เขากินมัน แต่สุดท้ายเขาก็ยังไม่สามารถบ่มเพาะพลังปราณ มีเพียงกองกำลังใหญ่เท่านั้นจึงจะสามารถหลอมสร้างเม็ดยาชนิดนี้”

หลี่ฉิงซานเข้าใจว่ามีเพียงกองกำลังใหญ่ที่มีความมั่งคั่งมากพอเท่านั้นจึงจะให้ความสนใจเม็ดยาชนิดนี้ มิฉะนั้นมันจะดีกว่าที่จะพวกเขาจะเก็บรวบรวมเม็ดยาเช่นไข่มุกน้ำค้างเพื่อการบ่มเพาะของตนเอง เขาเก็บโอสถปราณแรกกำเนิดก่อนกล่าว “เลือกหนึ่งขวดเป็นค่าตอบแทน”

เฉียนหรงจื่อเลือกขวดยาโดยปราศจากความลังเล มันยังเป็นประเภทที่หลี่ฉิงซานต้องการน้อยที่สุด หลังจากนั้นเขาก็เก็บขวดยาทั้งหมด

เฉียนหรงจื่อเปิดปากถาม “เด็กคนนั้นยังอยู่กับเจ้าหรือไม่?”

“หือ?”

เฉียนหรงจื่อกล่าวต่อ “ข้าอยากพบนาง” นางเห็นหลี่ฉิงซานลังเล ดังนั้นนางจึงหยิบขวดยารวบรวมพลังปราณออกมา

หลี่ฉิงซานกล่าว “ข้าจะไม่ทำข้อตกลงใดๆเกี่ยวกับนาง”

มันเหมือนการปรบมือเสียงดังข้างหูของเฉียนหรงจื่อ นางเริ่มรู้สึกละอายใจ นางฝืนยิ้ม “พวกเจ้าช่างโชคดีนัก” รอยยิ้มของนางแสดงให้เห็นถึงความอิจฉาอย่างที่สุดเช่นเดียวกับความโศกเศร้า

หลี่ฉิงซานเปลี่ยนใจ เขาเรียกเสี่ยวอัน แต่เฉียนหรงจื่อปฏิเสธ “ลืมมันไปซะ เจ้าควรไปได้แล้ว”

เมื่อหลี่ฉิงซานจากไป เฉียนหรงจื่อยืนพิงขอบหน้าต่าง ประกายในดวงตาของนางหายไปเล็กน้อย ความปรารถนาที่ไม่อาจบรรยายปรากฏขึ้นในใจของนาง นางต้องการให้บางคนพูดกับนางเช่นนั้นบ้าง เพียงครั้งเดียวก็พอแล้ว แต่ผู้ใดจะพูด? และนางจะเชื่อมันได้หรือไม่?

นางหัวเราะเย้ยหยันตนเอง ในความคิดของนาง คำว่า เชื่อใจ ไม่มีอีกแล้ว

คนโชคร้ายต้องหลีกเลี่ยงการเข้าใกล้คนที่โชคดีมากเกินไป มิฉะนั้นพวกเขาจะสูญเสียทุกสิ่ง พวกเขาจะไม่เหลือสิ่งใดเลย แต่นางเลิกพึ่งโชคไปนานแล้ว การคุกเข่าอ้อนวอนอยู่บนพื้นหรือการขอทานเป็นเรื่องไร้ประโยชน์ มันมีเพียงจะทำให้ฝ่ายตรงข้ามยิ้มกว้างกว่าเดิมเท่านั้น นางต้องได้ทุกอย่างมาด้วยมือของนางเอง

นางมองมือขวาของนาง มันซีดและเรียวยาว จิตใจของนางค่อยๆสงบลง มุมปากของนางโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มเย็นชาขณะที่นางยื่นมือขึ้นไปบนท้องฟ้า ‘ข้าจะฉีกรอยยิ้มของพวกเจ้าให้แหลกสลาย!’

‘ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า’