ตอนที่ 5 ผู้ฝึกยุทธที่น่าเกรงขาม
ใช้เวลาเพียงครู่ ร่างที่สวมชุดดำก็รู้ว่าตนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของขันทีตรงหน้า
“เจ้าต้องการที่จะหนี? ถามไม้กวาดในมือข้ารึยัง?”
หลี่มู่ เหวี่ยงไม้กวาดของเขาในขณะที่เขาเคลื่อนไหว ไปปรากฎต่อหน้าร่างนั้นราวกับสายฟ้า สกัดกั้นไม่ให้ชายชุดดำถอยหนี ชายชุดดำหลบไม้กวาดได้อย่างชิวเชียดแต่ชุดคลุมและผ้าปิดหน้าโดนไม้กวาดจนหลุดออก เผยให้เห็นใบหน้าของชายชุดดำ
มันเป็นเป็นขันทีอาวุโสในชุดสีม่วงใบหน้าไร้หนวดเครา
“เจ้าเป็นใคร?” ขันทีชุดม่วงถามด้วยเสียงสั่นเครือ
มีเพียงไม่กี่คนที่สามารถเอาชนะเขาได้ในการต่อสู้ เมื่อพิจารณาจากขอบเขตความสามารถของเขา
เขารู้ด้วยว่าคนเหล่านั้นมีใครบ้าง
“เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้…” หลี่มู่พูดขณะที่โจมตีด้วยไม้กวาดอีกครั้ง
ข้าต้องกำจัดขันทีชุดม่วง
เขาจะไม่ปล่อยให้ใครมาขัดขวางวันเวลาอันสงบสุขของเขาในการลงชื่อเข้าใช้ที่ ตำหนักจิงหนิง
โฉบ~
ขันทีชุดคลุมสีม่วงยกกระบี่ป้องกันทันที
แฮ่ก~
ดาบของเขาถูกปัดออกจากมือ
ตอนนี้เสื้อผ้าของเขาขาดรุ่งริ่ง
ผู้ชายคนนี้เร็วเกินไป! ขันทีชุดม่วงตะโกนในใจ
เขาไม่มีโอกาสตอบโต้เลย
พับ~
ขันทีชุดม่วงโดนไม้กวาดฟาดเข้าที่หน้าอกในวินาทีนั้น ร่างของเขากระเด็นสองสามก้าว
อั้ก…~
เลือดไหลออกจากปากของเขา
“มันจบแล้ว”
ขันทีชุดม่วงรู้ว่าเขารอดยากแล้ว
แม้ว่าเขาจะรอดจากการโจมตีครั้งนี้ เขาก็ยังคงต้องตายเหมือนเดิม
ตุ้บ~
ขันทีชราถูกส่งออกไปนอกตำหนักจิงหนิง เขาลอยอยู่ในอากาศอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะชนเข้ากับอาคาร
"ใคร…?"
ทหารที่กำลังลาดตระเวนในขณะนั้นสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง
สุ่ม~
สุ่ม~
กลุ่มคนมากมายพากันเข้าไปยังที่เกิดเหตุ
หลี่มู่ ยืนอยู่บนยอดตำหนักและเฝ้าดูอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะหายตัวไปและกลับไปที่ห้องของเขาเพื่อบ่มเพาะ
แม้จะได้รับพลังและโอสถจากการลงชื่อเข้าใช้มากมาย แต่เขาก็ยังขยันหมั่นเพียรกับการบ่มเพาะตลอดเวลา
ทั้งวังตกตะลึงเมื่อทราบข่าวขันทีถูกสังหาร
ทหารกลุ่มใหญ่เดินทางไปที่ ตำหนักจิงหนิง ในเช้าวันรุ่งขึ้น
พวกเขามองไปที่หลี่มู่ซึ่งกวาดพื้นอยู่และเข้าไปพูดคุยกับหญิงชราเล็กน้อย
จำนวนทหารที่ตรวจตราพื้นที่เพิ่มขึ้นในหลายวันต่อมา ทั้งกลางวันและกลางคืน
ในตอนกลางคืน เมื่อหลี่มู่กำลังบ่มเพาะอยู่ เขาสามารถได้ยินการสนทนาระหว่างขันทีและสาวใช้ในพระราชวังจากระยะไกล
“ข้าได้ยินมาว่าจักรพรรดิโกรธมาก”
“ข้าสงสัยว่ามีปรมาจารย์กี่คนที่ซ่อนตัวอยู่ในพระราชวัง”
“คนที่ตายเป็นขันทีจากตำหนักจ้าวชุน เขาอยู่ในระดับเก้าของอาณาจักรสวรรค์ที่รับใช้จักรพรรดิ หมอหลวงตรวจสอบศพแล้วพบว่าเขาถูกสังหารโดยการโจมตีเพียงครั้งเดียว คนลงมือ น่าจะอยู่ในอาณาจักรควบคุมวิญญาณ..”
“อาณาจักรควบคุมวิญญาณ ระดับดังกล่าวมีแค่ผู้อาวุโสของตระกูลขุนนางชั้นสูง”
“เราไม่สามารถแม้แต่ทะลวงผ่านการหลอมร่างกาย ได้ และยังมี อาณาจักรก่อกำเนิด และ อาณาจักรสวรรค์ ระดับสูงกว่านั้นเฮ้อ...”
“ว่าแต่ ทำไมขันทีของจักรพรรดิถึงใส่ชุดดำล่ะ? ด้วยสถานะสูงสู่งเช่นนี้ ทำไมต้องทำลับๆล่อๆ”
“จุ๊…ไปนอนได้แล้ว!”
……
ดังนั้น ชายคนนั้นอยู่ระดับเก้าของอาณาจักรสวรรค์?
นั่นไม่ใช่ว่าข้าก็เป็นผู้เชี่ยวชาญอาณาจักรควบคุมวิญญาณ?
มีระดับบ่มเพาะแตกต่างกันในผู้ฝึกยุทธในโลกนี้
หลอมร่างกาย, ก่อกำเนิด , สวรรค์, ควบคุมวิญญาณ, เหนือมนุษย์
มีระดับหนึ่งถึงเก้าในแต่ละอาณาจักร
ขันทีรู้เพียงเล็กน้อยเกี่ยวกับอาณาจักรที่สูงยิ่งกว่า
ในที่สุด หลี่มู่ก็ได้รู้ว่าระดับบ่มเพาะของเขาอยู่ในอาณาจักรไหน
ภาระที่เขาแบกไว้บนบ่าเบาบางลงเล็กน้อย
ถ้าข้ามีดาบอยู่กับตัว
ตำหนักจิงหนิง ยังคงเงียบสงบเป็นเวลาหลายเดือนหลังจากที่ขันทีชุดม่วงถูกสังหาร
หลี่มู่ลงชื่อเข้าใช้ตลอดช่วงเวลานั้น แต่เขาไม่เคยได้รับอาวุธที่เหมาะสม
เขากำลังเรียนรู้เทคนิคการใช้ดาบ แต่เขาไม่มีแม้แต่ดาบ
ถ้าขันทีสีม่วงคนนั้นมีดาบติดตัว หลี่มู่คงเชือดคอเขาแล้วขโมยมัน
น่าเสียดายที่สิ่งที่เขาได้รับจากการลงชื่อเข้าใช้เมื่อสองปีที่ผ่านมาคือของเล็กน้อยมากมาย
เขาไม่เคยได้ดาบเลยสักครั้ง
ไม่มีแม้แต่ชิ้นเดียว
...
องค์ชายเก้าเสด็จเข้าวังอีกครั้ง
เขาสูงขึ้นมากในการมาเยือนครั้งนี้
ในที่สุดใบหน้าที่ไร้เดียงสาของเขาก็เริ่มมีความคล้ายคลึงกับผู้ใหญ่
“เจ้าไปหาอะไรให้มารดาข้ากิน”
ได้ยินเสียงดังในตำหนัก
แม้จะมีน้ำเสียงที่ดูไร้เดียงสา แต่ความแข็งแกร่งของเสียงของเขาก็ไม่อาจปฏิเสธได้
“ไปเถิด ไปที่ครัวจักรพรรดิแล้วนำอาหารมาให้มารดาข้าหน่อย”
"พะยะค่ะฝ่าบาท."
ขันทีข้างองค์ชายเก้ากำลังจะจากไป
“เดี๋ยวก่อน” หญิงชราเรียกขันทีที่กำลังจะออกไป
“หืม...ต้องการอะไรเพิ่มรึ?” เจ้าชายถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“ให้เซียวลี่จื่อไปกับเขา”
“อืม…ก็ได้”
หลี่มู่ไม่สามารถมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงภายในห้อง
อย่างไรก็ตาม เขาสามารถบอกได้ว่าหญิงชราได้ส่งสัญญาณบางอย่างไปยังองค์ชายเก้า
สนมจิงก็คงพยักหน้าเช่นกัน
หลี่มู่รู้ว่าหญิงชรากังวลว่าจะมีใครวางยาพิษ
คนคนเดียวที่หญิงชราไว้วางใจได้ในขณะนี้คือหลี่มู่ ซึ่งไม่ได้เป็นผู้ฝึกยุทธและดูเหมือนเขาจะเป็นคนดี ซึ่งเธอได้เรียนรู้หลังจากอยู่กับเขามากว่าสองปี
หากหลี่มู่มีแรงจูงใจซ่อนเร้น บางสิ่งคงจะเกิดขึ้นกับนางสนมไปแล้ว
ในที่สุดหลี่มู่ก็มีโอกาสออกไปนอกตำหนักจิงหนิงหลังจากรอมาสองปี
เขาถูกเรียกตัวอย่างรวดเร็วและได้รับคำสั่งให้ไปที่ห้องครัวพร้อมกับขันทีอีกคน โดยถือตราผ่านทางที่องค์ชายเก้ามอบให้
ระหว่างทางเขาลงชื่อเข้าใช้
เมื่อถึงครัวของจักรพรรดิ หลี่มู่รับอาหารและของว่างจำนวนหนึ่ง
“ลงชื่อเข้าใช้ ครัวของจักรพรรดิ เรียบร้อยแล้ว ได้รับรางวัล โอสถหวนคืนชั้นยอด”
โอสถหวนคืนชั้นยอด รางวัลจากครัวของจักรพรรดิ?
เหตุใดรางวัลที่ตำหนักโอสถจักรพรรดิจึงเป็นเพียงรางวัลรองลงมา? หรือเป็นเพราะห้องครัวมีชื่อเสียงหรือความสำคัญมากกว่า
ตำหนักโอสถหรือไม่? เขาเกิดคำถามเหล่านี้กับตัวเขาเอง
หากเป็นตัวเขาเอง เขาคงให้ความสำคัญกับห้องครัวเป็นลำดับต้นๆ
อาหารเป็นสิ่งจำเป็นพื้นฐานและมีคุณค่ายิ่งขึ้นเมื่ออยู่ต่อหน้าประชาชน
ยิ่งกว่านั้น ในสายตาของผู้คน ครัวของจักรพรรดิเป็นที่ซึ่งมีอาหารที่ดีที่สุดจำนวนมากที่สุดในโลก
ตำหนักโอสถของจักรพรรดิเป็นเพียงสถานที่สำหรับเก็บโอสถเท่านั้น และมันก็มีชื่อเสียงน้อยกว่าสำนักแพทย์ของจักรพรรดิมาก
โอสถหวนคืนชั้นยอดจะมอบการบ่มเพาะเป็นเวลา 60 ปี
เป็นเรื่องธรรมดาที่หลี่มู่จะมีความสุข
จากนั้นเขาก็นำอาหารกลับไปที่ ตำหนักจิงหนิง
เขาทดสอบอาหารแล้วยืนยันว่าไม่มีพิษ ก่อนจะยื่นให้หญิงชราในตำหนัก
องค์ชายเก้าทรงสั่งอาหารเลิศรสมากมายจากในครัวระหว่างเสด็จเยือน
นั่นก็หมายความว่าหลี่มู่ได้กินอาหารที่ดีมากมายเช่นกัน
ดูเหมือนว่า นางสนมจิง จะไม่ได้อยู่ในตำหนักเย็นแบบนี้ได้อีกหลายปีแล้ว
ข้าสงสัยว่านางสนมคนอื่น ๆจะยังสบายใจอยู่หรือไม่?
ยาพิษล้มเหลว!
การลอบสังหารล้มเหลว!
พวกเขาจะพยายามทำอะไรต่อไป?
ข้าเดาว่าการกดดันบางอย่างก็คงไม่มีประโยชน์อะไรมาก
มิฉะนั้นจักรพรรดิคงไม่มอบอำนาจให้กับองค์ชายเก้ามากขนาดนี้
นี้เป็นสิ่งที่หลี่มู่ คาดเดา
เขาพอใจที่รู้ว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับนางสนมในอนาคตอันใกล้นี้
“เจ้าคือเซียวลิจือ?”
องค์ชายพบหลี่มู่ในขณะที่เขากำลังจะจากไป
“ใช่ ฝ่าบาท” หลี่มู่คำนับและตอบ
“ทำได้ดีมาก”
องค์ชายหันกลับมาและจากไปหลังจากที่เขาพูดเช่นนั้น
“เอ่อ…”
หลี่มู่ตกตะลึง
เขาตกตะลึงที่องค์ชายเรียนรู้วิธีชมเชยผู้อื่นตั้งแต่อายุยังน้อย
ถ้าเป็นขันทีคนอื่นพวกเขาคงปลื้มใจจนเนื้อเต้น
แต่ในฐานะคนที่ได้รับการยกย่องจากสถานที่ซึ่งมีการปฏิบัติตามสิทธิเท่าเทียมกันในสังคม เขาพบว่ามันค่อนข้างน่าหัวเราะแทน
เขาเป็นแค่เด็ก
ไม่ต้องไปใจอ่อนกับเขา
แล้วกลับไปกวาดลานบ้านต่อ
เขาคิดว่าระดับบ่มเพาะของเขาจะสูงขึ้นไปอีกอย่างแน่นอน เนื่องจากเขาได้รับ โอสถหวนคืนชั้นยอด
สองปีผ่านไป..
เวลานี้เขาอายุ 17 ปี ในโลกนี้
ถ้าไม่ใช่เพราะเขามีสถานะเป็นขันที เขาคงเป็นชายหนุ่มที่หล่อเหลา
โอสถหวนคืนชั้นยอดที่เขาได้รับเมื่อสองปีก่อนได้ยกระดับการฝึกของเขาไปสู่จุดสูงสุดของระดับที่สองของ คัมภีร์กายาอมตะ ในทันที
เขาทะลวงระดับเมื่อปีที่แล้ว
ขณะนี้เขาอยู่ระดับที่สาม
คัมภีร์กายาอมตะ จะช่วยให้เขาสร้างร่างกายของเขาขึ้นใหม่ได้หลังจากไปถึงระดับที่ห้า
นั่นหมายความว่าเขาจะเข้าใกล้การปลดปล่อยตัวเองจากสถานะขันทีอีกก้าวหนึ่ง
“ข้าไม่รู้ว่าตนเองแข็งแกร่งมากแค่ไหนแล้ว อาณาจักรควบคุมวิญญาณทั่วไปไม่สามารถเป็นคู่ต่อสู้ของข้าได้อย่างแน่นอน ผู้ฝึกยุทธที่ดีที่สุดในวังหลวงมีระดับบ่มเพาะอยู่ในอาณาจักรควบคุมวิญญาณขั้นสูงเท่านั้น ข้าสังสัยว่าพวกเขาพอจะเป็นคู่ต่อสู้ได้รึไม่”
หลี่มู่ยืนอยู่ที่ใจกลางของตำหนักพร้อมกับไม้กวาดของเขา
ใบไม้ที่อยู่บนพื้นดินก็เคลื่อนไหวได้เองทั้งที่ไม่มีลมพัด และมันก็รวมตัวกันรอบตัวเขา
“องค์ชายเก้ามาแล้ว!”
หลี่มู่มุ่งหน้าไปที่ประตูทันทีที่ได้ยินเสียงเรียก เขาโค้งคำนับเพื่อทักทาย
“ตามสบาย เซียวลี่จือ” สามารถได้ยินเสียงขององค์ชายเก้า
หลี่มู่ยืดตัวตรง
องค์ชายได้มาเยี่ยมหลายครั้งในช่วงสองปีที่ผ่านมา
ด้วยการปรากฏตัวบ่อยครั้งขององค์ชายเก้า ตำหนักจิงหนิง จึงค่อนข้างวุ่นวาย
ขันทีและสตรีในราชสำนักเดินผ่านไปมาไม่หลบเลี่ยงพื้นที่นี้อีกต่อไป
อาหารจากครัวของจักรพรรดิก็ฟุ่มเฟือยมากขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน
ดูเหมือนว่าวันที่ตำหนักจิงหนิง จะถูกถอนชื่อออกจากการเป็นตำหนักเย็นใกล้ขึ้นแล้ว
วันเวลาแห่งความสงบสุขกำลังจะจบลง
ดูเหมือนว่าคืนนี้ข้าต้องเสี่ยง เขาต้องการหาสถานที่ลงชื่อเข้าใช้อื่นบ้าง