ตอนที่แล้วบทที่ 66: เพิ่มมูลค่าของเกมให้สูงที่สุด!
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 68: โปรโมชั่นน้ำผึ้งสมุนไพร! เครื่องดื่มราคาสูงเสียดฟ้า?

บทที่ 67: ข้าวนี่ซื้อที่ไหน? จะไปหาซื้อมาไว้ซักสิบจิน?


จ้าวโม่ชิงจอดรถในละแวกใกล้ ๆ

โดยละแวกใกล้ ๆ ดังกล่าวนั้นเก่าและรกเล็กน้อย  แต่ก็มีที่จอดรถว่างมากมายซึ่งส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ให้เช่า  เจ้าของที่ไม่อยากจะอยู่  และคนที่นี่ก็มีน้อยคนนักที่มีกำลังพอจะซื้อรถ

“พ่อ  แม่  พี่  พี่สะใภ้  ขึ้นไปกันเถอะ!” จ้าวโม่ชิงปิดประตูรถและนำครอบครัวเข้าไปในอาคาร

ทางเดินสลัวเล็กน้อยและสภาพแวดล้อมก็ไม่ดีอย่างเห็นได้ชัด

เมื่อพวกเขามาถึงห้องอพาร์ทเมนต์เช่าของฉินหลินจ้าวโม่ชิงก็หยิบกุญแจออกมาเปิดประตู  ภายในห้องเป็นห้องเล็ก ๆ และมีสภาพห่วยแตกไม่แพ้ภายนอก

ในอดีตเมื่อเฉินเสี่ยวกับจ้าวเซียนหงเห็นสภาพนี้ล่ะก็จะต้องคิดว่าลูกสาวตนต้องมากัดก้อนเกลือชัวร์ ๆ ร้อยเปอร์เซ็นต์  แต่ตอนนี้ทั้งคู่กลับพึงพอใจในตัวฉินหลินมาก

เพราะครอบครัวเขาเป็นหนี้ก้อนโต  พ่อแม่จะช่วยซับพอร์ทก็ไม่มี  แต่กลับสามารถพลิกสถานการณ์จากลำบากสุดกู่กลายมาเป็นเถ้าแก่บ้านไร่ที่ร่ำรวยได้ในเวลาอันสั้นในสภาพแวดล้อมแบบนี้นี่คือสุดยอดแล้ว

ขอแค่ประสบความสำเร็จ  ความขมขื่นในอดีตก็จะกลายเป็นเกียร์ติยศอย่างหนึ่ง  และยังเป็นตัวช่วยบอกถึงระดับความสำเร็จว่าสูงไม่สูงอีกด้วย  ไม่อย่างนั้นบรรดาคนที่ประสบความสำเร็จมากมายคงไม่ชอบเล่าแต่เรื่องความยากลำบากในอดีตของตหรอก

ในห้องรับแขก

ฉินหลินกับหลินเฟินกำลังยุ่งอยู่เลย  ส่วนเจ้าหมามันก็นอนมองอยู่บนเบาะนุ่ม ๆ ตรงมุมห้อง

เบาะนั้นเป็นหลินเฟินซื้อให้มันใช้นอนโดยเฉพาะ

เมื่อเห็นว่าจ้าวโม่ชิงกับครอบครัวเธอมาถึงแล้วฉินหลินก็ไปต้อนรับทันที “พ่อ  แม่  พี่  พี่สะใภ้  หวัดดีครับ  เข้ามาข้างในก่อน”

“อ้าว ๆ ๆ ฉินหลิน  นี่เลี้ยงมะหมาตั้งกะเมื่อหร่ายจ๊า~” หลี่เจียเหวินเห็นเจ้าหมาก็เข้าไปหามันพร้อมกับพูดจาเสียงหวานใส่มันด้วยประโยคที่เหมือนจะพูดกับฉินหลินและยื่นมือไปจะลูบหัวมัน

วืด...

แต่เห็นได้ชัดว่าเจ้าหมามันไม่อยากให้เธอแตะเลยเอียงคอหลบ

ท่าทีของมันแตกต่างจากตอนแรกที่ได้เจอกับหลินเฟินและจ้าวโม่ชิงชัดเจนสุด ๆ

“…” ลี่เจียเหวิน

“พ่อดอง  แม่ดอง  เชิญนั่งก่อน” หลินเฟินทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อยเพราะยังกังวลเรื่องเจ้าลูกชายแอบไปเอาลูกสาวเขามาเป็นเมียแบบแอบจดทะเบียนสมรสลับหลังอีกฝ่าย

หลังจากที่เชิญเฉินเสี่ยว  จ้าวเซียนหง  จ้าวโม่หยุน  และหลี่เจียเหวินนั่งเสร็จแล้วเธอก็บอกว่า “เอ่อ...  เดี๋ยวฉันไปเตรียมอาหารก่อน”

จ้าวโม่ชิงดึงหลินเฟินกลับมาและให้เธอนั่งลง “แม่  วันนี้เด๋วหนูกับฉินหลินจะทำให้เอง  แม่รออยู่เฉย ๆ ดีกว่า”

“ใช่แล้วครับ  เด๋วผมกับโม่ชิงทำให้เองเพื่อเป็นการขอบคุณที่ให้พวกเราเกิดมาไปพร้อม ๆ กันเลย” ฉินหลินยิ้มพร้อมดึงจ้าวโม่ชิงเข้าไปในครัว

บรรยากาศข้างนอกดูจะอึดอัดเล็กน้อย

หลินเฟินก็ค่อนข้างละอายใจ  เพราะคิดว่าสิ่งที่ลูกชายทำมันมากเกินไปจริง ๆ และก็กลัวจะถูกอีกฝ่ายตำหนิเอาด้วย

เฉินเสี่ยวเองก็ละอายใจเหมือนกัน  เพราะก่อนหน้านี้เธอเอาแต่กันท่าลูกสาวบอกว่าถ้าแต่งกับฉินหลินแล้วจะต้องลำบาก

เธอชำเลืองมองสามี  ลูกชาย  และลูกสะใภ้ที่ปกติพูดจาไพเราะโดยหวังว่าทั้งสามคนจะช่วยคลายบรรยากาศน่าละอายใจนี้ลงได้

ส่วนทางด้านจ้าวเซียนหง  จ้าวโม่หยุน  และหลี่เจียเหวินกลับนั่งเงียบสงบเสงี่ยมเฉยเลย  เพราะรอให้เฉินเสี่ยวรับบทแสดงเองในฐานะหัวหน้าครอบครัว

บรรยากาศหน้าอึดอัดนี่แม้แต่หมามันยังรู้สึกได้จนเงยหน้าขึ้นมามองพวกนุด ๆ ทั้งหลายอย่างงุนงง

“เอ่อ...  แม่ดองดูทีวีมั้ย?” ในฐานะเจ้าบ้านหลินเฟินเลยตัดสินใจพูดก่อนแล้วหยิบรีโมทเปิดทีวี

ทันทีที่เปิดทีวีก็เป็นละครซีรีส์ที่มีผู้หญิงสองคนชี้หน้าด่ากัน  ดราม่าเลือดสาดบนดาดฟ้าตึก

“แม่ดองเองก็ดูเรื่องนี้ด้วยเหรอ?” เฉินเสี่ยวรู้สึกประหลาดใจ

หลินเฟินพยักหน้า “จ้ะ  ตอนนี้ดูเหมือนฆาตกรจะถูกเปิดเผยแล้ว  ฉันเดาว่าผู้หญิงคนที่สามนั่นน่าจะเป็นฆาตกรนะ”

“ฉันก็ว่างั้น  แม่นี่มีโอกาสสูงสุดแล้ว!” เฉินเสี่ยวก็พยักหน้าเห็นด้วยอย่างบ้าคลั่ง

ทันใดนั้นทั้งสองก็เริ่มคุยกันอย่างมีความสุขแถมยังนั่งติดกันราวกับว่าคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีมาเป็นเวลายาวนานซะอย่างนั้น

“…” จ้าวโม่หยุน!

“…” จ้าวเซียนหง!

เมื่อชายสองคนเห็นเหตุการณ์ตรงหน้าอย่าว่าแต่จะพูดอะไรเลย  ขนาดคิดยังคิดไม่ออก

มีแต่หลี่เจียเหวินเท่านั้นแหล่ะที่มองทั้งสองคนและลังเล  เพราะเธอเองก็คิดว่าคนร้ายน่าจะเป็นแม่สาวเบอร์สามเหมือนกัน  ทว่าวันนี้เป็นวันพิเศษและสองย่ายายกำลังคุยกันอย่างออกรสเธออยากจะเข้าไปร่วมเม้ามอยด้วยแต่ก็ไม่กล้า  ทำให้ได้แต่นั่งอึดอัดอยู่แบบนี้

...................................................…

กลิ่นหอมของข้าวอบอวลไปทั่วครัวแล้วทำให้คนที่ได้กลิ่นต้องมึนเมา

“หอมจังเลย  วันนี้เธอใช้ข้าวพิเศษอะไรด้วยเหรอ?” จ้าวโม่ชิงถามด้วยความประหลาดใจ

“อืม  ข้าวนี่จัดมาให้พ่อแม่เราได้กินเป็นพิเศษเลยเชียวนา  ขอบอกเลยว่าเป็นของที่ต่อให้มีเงินก็ซื้อไม่ได้” ฉินหลินยิ้มและเลี่ยงไม่ตอบตรง ๆ

เพราะนี่คือข้าวหลวงเสียงสุ่ยเลเวล 2 จากเกม  ไม่ใช่แค่เลเวล 1 แบบที่เคยขายให้กับพวกหม่าเลี่ยเหวิน  โบนัสคุณสมบัติอุดมไปด้วยสารอาหาร +2, รสสัมผัส +2, กลมกล่อม +2, อร่อย +2, และวิตามิน VPP ชะลอวัย +2

ในช่วงสองวันมานี้เขาได้ข้าวหลวงเสียงสุ่ยมาเป็นจำนวนมากทั้งเลเวล 1 และ 2 ทว่ามันดันไม่ใช่ของที่จะเอาออกมาขายหรือโชว์ได้ทีละเยอะ ๆ เขาเลยไม่ได้เอาออกมาอีก

ก็ไม่แปลก  เพราะถ้าจู่ ๆ ควักเอาข้าวที่แม้แต่มหาเศรษฐีทีเงินยังซื้อกินไม่ได้ออกมากินบ่อย ๆ ล่ะก็เรื่องราวไม่วุ่นวายใหญ่โตเลยเหรอ?

ยิ่งข้าวหลวงเสียงสุ่ยเลเวล 2 ยิ่งแล้วใหญ่  เป็นสิ่งที่เอาออกมากินได้เฉพาะกับคนในครอบครัวเพียงอย่างเดียวเท่านั้น  ส่วนเลเวล 1 เอาเก็บไว้กินเองได้แค่นิดเดียว  ส่วนที่เหลือยังไงก็เอาออกมาไม่ได้  จะตุนไว้ไปก็ไม่มีประโยชน์  ดังนั้นจึงได้แค่ขายทิ้งในเกมเท่านั้น

ซึ่งการจะแก้สภาพการณ์แบบนี้ได้คงมีแต่ต้องเอาเมล็ดจากเกมออกมาปลูกในอำเภอโหยวเฉิงแล้วทำให้สามารถปลูกได้อย่างแพร่หลายเท่านั้น  เขาจึงจะสามารถเอามันออกมาขายในปริมาณมากได้ (เหมือนสร้างป่าเพื่อซ่อนต้นไม้)

ข้าง ๆ เขามีหัวปลาเฉาป่า  ปลาตะเพียนป่า  กระเจี๊ยบเขียว  ห่วยซัว  และบรอกโคลีซึ่งทั้งหมดเป็นเลเวล 2

อาจกล่าวได้ว่ามื้อนี้ 90% ของมหาเศรษฐีในประเทศแม้จะมีเงินเท่าไหร่ก็หาซื้อมากินไม่ได้

ส่วนอาหารทะเลธรรมดา ๆ นั้นเป็นแค่เครื่องประดับ

“เธอเอาแตงโมกับสตรอว์เบอร์รี่ไปเสิร์ฟก่อนไป  เด๋วฉันทำอาหารเอง” จ้าวโม่ชิงพูดพร้อมกับหยิบหัวปลาเฉาป่ามาจะทำซุป

ทักษะการทำอาหารของเธอไม่สามารถเทียบกับเชฟตัวจริงได้  แต่แค่ทำกับข้าวบ้าน ๆ ไม่ใช่ปัญหาอะไร  แถมวัตถุดิบยังชั้นยอด  ขอแค่รู้วิธีปรุงคร่าว ๆ ทำยังไงก็อร่อยชัวร์  เพราะมีโบนัสอร่อย +2 กับเนื้อสัมผัส +2 รองรับไว้อยู่แล้ว

ฉินหลินจัดการผ่าแตงโมเป็นชิ้น ๆ พอดีคำและจัดสตรอว์เบอร์รี่ลงชามจากนั้นก็เอาไปเสิร์ฟ

เมื่อมาถึงห้องรับแขกก็ต้องตะลึงเพราะเห็นแม่ตัวเองกับแม่ยายกำลังคุยกันอย่างออกรสออกชาติ

‘หา?  พวกแม่ ๆ สนิทกันขนาดนี้ตั้งแต่ตอนไหน?’

ทันทีที่แตงโมกับสตรอว์เบอร์รี่เลเวล 2 มาเสิร์ฟ  จ้าวโม่หยุนกับหลี่เจียเหวินก็หันมาจ้องเขม็ง

เพราะทั้งสองได้กินแตงโมกับสตรอว์เบอร์รี่พันธุ์พิเศษนี้ที่บ้านไร่มาแล้ว

หลี่เจียเหวินรีบจกสตรอว์เบอร์รี่ใส่ปากด้วยความเร็วที่ตาแทบจะมองไม่ทัน  แล้วความอร่อยก็ซ่านอยู่ในปาก ‘อื้อหือ~  ยังอร่อยเหมือนเดิม~’

จ้าวโม่หยุนเอาไม้จิ้มฟันจิ้มแตงโมใส่ปาก

หลังจากที่ได้กินเมื่อครั้งก่อนจนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่ลืมรสชาติที่ติดอยู่ในปาก

หลินเฟินยังพูดกับเฉินเสี่ยวและจ้าวเซียนหงว่า “บ้านดอง  มาลองแตงโมกับสตรอว์เบอร์รี่พันธุ์พิเศษที่ขายในบ้านไร่ของเสี่ยวหลินหน่อย  อร่อยมากเลยนะ”

พูดพลางยื่นแตงโมกับสตรอว์เบอร์รี่ให้ทั้งคู่

เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็เลยลองกินดูและก็ต้องตาโต  เพราะมันอร่อยมากอย่างที่อีกฝ่ายว่าจริง ๆ

ทั้งคู่อายุปูนนี้ย่อมเคยได้กินแตงโมกับสตรอว์เบอร์รี่มามากมายอยู่แล้ว  แต่ก็ไม่มีอันไหนอร่อยเท่ากับที่อยู่ในปากนี้เลย

หลังจากนั้นไม่นาน

อาหารก็เสร็จ

เมื่อหลินเฟินเชิญให้ครอบครัวนั่งลงที่โต๊ะกินข้าว  ฉินหลินยกหม้อข้าวออกมาวาง  และทันทีที่เปิดฝาหม้อกลิ่นข้าวหอมฉุยก็ตลบอบอวลอยู่ในห้อง

เจ้าหมาที่ได้กลิ่นก็น้ำลายแตกลุกขึ้นยืนตามสัญชาตญาณ

“ข้าวอะไรหอมจัง?” หลี่เจียเหวินถาม

ในฐานะนักชิมแล้วเธอย่อมอยากรู้

“ข้าวหลวงเสียงสุ่ยน่ะ  บังเอิญได้มาพอดี” ฉินหลินตอบ

“ข้าวหลวงเสียงสุ่ย?  ไม่เห็นจะเคยได้ยิน  แต่แค่ชื่อก็ฟังดูหรูแล้ว” หลี่เจียเหวินหยิบมือถือออกมาเสิร์จ  เพราะแค่ชื่อก็น่าค้นหา

แต่เมื่อเธอเห็นข้อความที่เด้งขึ้นมาก็ตกตะลึง “ข้าวนี่ไม่เกินไปหน่อยเหรอ?”

วันนี้เธอได้เรียนรู้อะไรมากมาย

ข้าวหลวงนั้นแสนหายาก  เป็นข้าวที่แม้แต่เศรษฐีมีเงินก็ซื้อไม่ได้  ขนาดของปลอมยังขายกันเป็นหมื่น…

เรื่องนี้น่าตกใจเกินไป

“มีไรเหรอ?” จ้าวโม่หยุนเห็นหน้าตาเหยเกของภรรยาเลยถามอย่างสงสัย

หลี่เจียเหวินไม่ตอบแต่เอามือถือให้อ่านเอง

“เชี่ย…” จ้าวโม่หยุนสบถ  ไม่นึกเลยว่าจะมีข้าวแพงขนาดนี้ในโลก

ไม่แปลกที่เรียกว่าข้าวหลวง

ชิบหายแท้ ๆ ขนาดเขาที่เปิด KTV พ่วงด้วยร้านชานมก็ต้องถือว่าเป็นคนวัย 20 ที่เจ๋งสุด ๆ แล้วจริงป่าว?  แต่คนที่เจ๋งสุด ๆ อย่างเขาพอเห็นข้อมูลดังกล่าวแล้วกลับรู้สึกกระเดือกข้าวไม่ลงเลยทีเดียว

“สบถหยาบคายอะไรแบบนั้น  ไม่สุภาพเลย” จ้าวเซียนหงเป็นครูจึงใส่ใจเรื่องมารยาทมาก

จ้าวโม่หยุนไม่เถียงแต่ส่งมือถือต่อให้พ่อตัวเองอ่าน

เมื่อจ้าวเซียนหงอ่านแล้วก็ต้อง... ‘เชี่ย!’ อยู่ในใจ

“แม่ดองลองข้าวนี่สิ” ตอนนี้หลินเฟินสนิทกับเฉินเสี่ยวมากเลยบริการตักข้าวให้อย่างดี

“ข้าวที่เสี่ยวหลินเอามาอร่อยมากเลยนะ  ขนาดไม่มีเครื่องเคียงยังกินได้สบายเลย”

เมื่อเฉินเสี่ยวได้ยินก็เลยรับชามข้าวมาลองคีบกินด้วยความอยากรู้อยากเห็น  และในชั่วพริบตานั้นเองกลิ่นหอมอันกลมกล่อมก็อบอวลอยู่ในปาก  เนื้อสัมผัสและความอร่อยทำให้เธอพูดว่า “ข้าวนี่อร่อยจริง ๆ ซื้อที่ไหนเหรอ  เดี๋ยวพรุ่งนี้เราไปหาซื้อมาไว้ซักสิบจินบ้าง”

“…” จ้าวเซียนหง

“…” จ้าวโมหยุน

“…” หลี่เจียเหวิน

ทั้งสามต่างมองเฉินเสี่ยวอย่างว่างเปล่า

สิบจิน?

คิดว่าซื้อกะหล่ำปลีอยู่เหรอ?

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด