บทที่ 67: ข้าวนี่ซื้อที่ไหน? จะไปหาซื้อมาไว้ซักสิบจิน?
จ้าวโม่ชิงจอดรถในละแวกใกล้ ๆ
โดยละแวกใกล้ ๆ ดังกล่าวนั้นเก่าและรกเล็กน้อย แต่ก็มีที่จอดรถว่างมากมายซึ่งส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ให้เช่า เจ้าของที่ไม่อยากจะอยู่ และคนที่นี่ก็มีน้อยคนนักที่มีกำลังพอจะซื้อรถ
“พ่อ แม่ พี่ พี่สะใภ้ ขึ้นไปกันเถอะ!” จ้าวโม่ชิงปิดประตูรถและนำครอบครัวเข้าไปในอาคาร
ทางเดินสลัวเล็กน้อยและสภาพแวดล้อมก็ไม่ดีอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อพวกเขามาถึงห้องอพาร์ทเมนต์เช่าของฉินหลินจ้าวโม่ชิงก็หยิบกุญแจออกมาเปิดประตู ภายในห้องเป็นห้องเล็ก ๆ และมีสภาพห่วยแตกไม่แพ้ภายนอก
ในอดีตเมื่อเฉินเสี่ยวกับจ้าวเซียนหงเห็นสภาพนี้ล่ะก็จะต้องคิดว่าลูกสาวตนต้องมากัดก้อนเกลือชัวร์ ๆ ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ตอนนี้ทั้งคู่กลับพึงพอใจในตัวฉินหลินมาก
เพราะครอบครัวเขาเป็นหนี้ก้อนโต พ่อแม่จะช่วยซับพอร์ทก็ไม่มี แต่กลับสามารถพลิกสถานการณ์จากลำบากสุดกู่กลายมาเป็นเถ้าแก่บ้านไร่ที่ร่ำรวยได้ในเวลาอันสั้นในสภาพแวดล้อมแบบนี้นี่คือสุดยอดแล้ว
ขอแค่ประสบความสำเร็จ ความขมขื่นในอดีตก็จะกลายเป็นเกียร์ติยศอย่างหนึ่ง และยังเป็นตัวช่วยบอกถึงระดับความสำเร็จว่าสูงไม่สูงอีกด้วย ไม่อย่างนั้นบรรดาคนที่ประสบความสำเร็จมากมายคงไม่ชอบเล่าแต่เรื่องความยากลำบากในอดีตของตหรอก
ในห้องรับแขก
ฉินหลินกับหลินเฟินกำลังยุ่งอยู่เลย ส่วนเจ้าหมามันก็นอนมองอยู่บนเบาะนุ่ม ๆ ตรงมุมห้อง
เบาะนั้นเป็นหลินเฟินซื้อให้มันใช้นอนโดยเฉพาะ
เมื่อเห็นว่าจ้าวโม่ชิงกับครอบครัวเธอมาถึงแล้วฉินหลินก็ไปต้อนรับทันที “พ่อ แม่ พี่ พี่สะใภ้ หวัดดีครับ เข้ามาข้างในก่อน”
“อ้าว ๆ ๆ ฉินหลิน นี่เลี้ยงมะหมาตั้งกะเมื่อหร่ายจ๊า~” หลี่เจียเหวินเห็นเจ้าหมาก็เข้าไปหามันพร้อมกับพูดจาเสียงหวานใส่มันด้วยประโยคที่เหมือนจะพูดกับฉินหลินและยื่นมือไปจะลูบหัวมัน
วืด...
แต่เห็นได้ชัดว่าเจ้าหมามันไม่อยากให้เธอแตะเลยเอียงคอหลบ
ท่าทีของมันแตกต่างจากตอนแรกที่ได้เจอกับหลินเฟินและจ้าวโม่ชิงชัดเจนสุด ๆ
“…” ลี่เจียเหวิน
“พ่อดอง แม่ดอง เชิญนั่งก่อน” หลินเฟินทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อยเพราะยังกังวลเรื่องเจ้าลูกชายแอบไปเอาลูกสาวเขามาเป็นเมียแบบแอบจดทะเบียนสมรสลับหลังอีกฝ่าย
หลังจากที่เชิญเฉินเสี่ยว จ้าวเซียนหง จ้าวโม่หยุน และหลี่เจียเหวินนั่งเสร็จแล้วเธอก็บอกว่า “เอ่อ... เดี๋ยวฉันไปเตรียมอาหารก่อน”
จ้าวโม่ชิงดึงหลินเฟินกลับมาและให้เธอนั่งลง “แม่ วันนี้เด๋วหนูกับฉินหลินจะทำให้เอง แม่รออยู่เฉย ๆ ดีกว่า”
“ใช่แล้วครับ เด๋วผมกับโม่ชิงทำให้เองเพื่อเป็นการขอบคุณที่ให้พวกเราเกิดมาไปพร้อม ๆ กันเลย” ฉินหลินยิ้มพร้อมดึงจ้าวโม่ชิงเข้าไปในครัว
บรรยากาศข้างนอกดูจะอึดอัดเล็กน้อย
หลินเฟินก็ค่อนข้างละอายใจ เพราะคิดว่าสิ่งที่ลูกชายทำมันมากเกินไปจริง ๆ และก็กลัวจะถูกอีกฝ่ายตำหนิเอาด้วย
เฉินเสี่ยวเองก็ละอายใจเหมือนกัน เพราะก่อนหน้านี้เธอเอาแต่กันท่าลูกสาวบอกว่าถ้าแต่งกับฉินหลินแล้วจะต้องลำบาก
เธอชำเลืองมองสามี ลูกชาย และลูกสะใภ้ที่ปกติพูดจาไพเราะโดยหวังว่าทั้งสามคนจะช่วยคลายบรรยากาศน่าละอายใจนี้ลงได้
ส่วนทางด้านจ้าวเซียนหง จ้าวโม่หยุน และหลี่เจียเหวินกลับนั่งเงียบสงบเสงี่ยมเฉยเลย เพราะรอให้เฉินเสี่ยวรับบทแสดงเองในฐานะหัวหน้าครอบครัว
บรรยากาศหน้าอึดอัดนี่แม้แต่หมามันยังรู้สึกได้จนเงยหน้าขึ้นมามองพวกนุด ๆ ทั้งหลายอย่างงุนงง
“เอ่อ... แม่ดองดูทีวีมั้ย?” ในฐานะเจ้าบ้านหลินเฟินเลยตัดสินใจพูดก่อนแล้วหยิบรีโมทเปิดทีวี
ทันทีที่เปิดทีวีก็เป็นละครซีรีส์ที่มีผู้หญิงสองคนชี้หน้าด่ากัน ดราม่าเลือดสาดบนดาดฟ้าตึก
“แม่ดองเองก็ดูเรื่องนี้ด้วยเหรอ?” เฉินเสี่ยวรู้สึกประหลาดใจ
หลินเฟินพยักหน้า “จ้ะ ตอนนี้ดูเหมือนฆาตกรจะถูกเปิดเผยแล้ว ฉันเดาว่าผู้หญิงคนที่สามนั่นน่าจะเป็นฆาตกรนะ”
“ฉันก็ว่างั้น แม่นี่มีโอกาสสูงสุดแล้ว!” เฉินเสี่ยวก็พยักหน้าเห็นด้วยอย่างบ้าคลั่ง
ทันใดนั้นทั้งสองก็เริ่มคุยกันอย่างมีความสุขแถมยังนั่งติดกันราวกับว่าคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีมาเป็นเวลายาวนานซะอย่างนั้น
“…” จ้าวโม่หยุน!
“…” จ้าวเซียนหง!
เมื่อชายสองคนเห็นเหตุการณ์ตรงหน้าอย่าว่าแต่จะพูดอะไรเลย ขนาดคิดยังคิดไม่ออก
มีแต่หลี่เจียเหวินเท่านั้นแหล่ะที่มองทั้งสองคนและลังเล เพราะเธอเองก็คิดว่าคนร้ายน่าจะเป็นแม่สาวเบอร์สามเหมือนกัน ทว่าวันนี้เป็นวันพิเศษและสองย่ายายกำลังคุยกันอย่างออกรสเธออยากจะเข้าไปร่วมเม้ามอยด้วยแต่ก็ไม่กล้า ทำให้ได้แต่นั่งอึดอัดอยู่แบบนี้
...................................................…
กลิ่นหอมของข้าวอบอวลไปทั่วครัวแล้วทำให้คนที่ได้กลิ่นต้องมึนเมา
“หอมจังเลย วันนี้เธอใช้ข้าวพิเศษอะไรด้วยเหรอ?” จ้าวโม่ชิงถามด้วยความประหลาดใจ
“อืม ข้าวนี่จัดมาให้พ่อแม่เราได้กินเป็นพิเศษเลยเชียวนา ขอบอกเลยว่าเป็นของที่ต่อให้มีเงินก็ซื้อไม่ได้” ฉินหลินยิ้มและเลี่ยงไม่ตอบตรง ๆ
เพราะนี่คือข้าวหลวงเสียงสุ่ยเลเวล 2 จากเกม ไม่ใช่แค่เลเวล 1 แบบที่เคยขายให้กับพวกหม่าเลี่ยเหวิน โบนัสคุณสมบัติอุดมไปด้วยสารอาหาร +2, รสสัมผัส +2, กลมกล่อม +2, อร่อย +2, และวิตามิน VPP ชะลอวัย +2
ในช่วงสองวันมานี้เขาได้ข้าวหลวงเสียงสุ่ยมาเป็นจำนวนมากทั้งเลเวล 1 และ 2 ทว่ามันดันไม่ใช่ของที่จะเอาออกมาขายหรือโชว์ได้ทีละเยอะ ๆ เขาเลยไม่ได้เอาออกมาอีก
ก็ไม่แปลก เพราะถ้าจู่ ๆ ควักเอาข้าวที่แม้แต่มหาเศรษฐีทีเงินยังซื้อกินไม่ได้ออกมากินบ่อย ๆ ล่ะก็เรื่องราวไม่วุ่นวายใหญ่โตเลยเหรอ?
ยิ่งข้าวหลวงเสียงสุ่ยเลเวล 2 ยิ่งแล้วใหญ่ เป็นสิ่งที่เอาออกมากินได้เฉพาะกับคนในครอบครัวเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ส่วนเลเวล 1 เอาเก็บไว้กินเองได้แค่นิดเดียว ส่วนที่เหลือยังไงก็เอาออกมาไม่ได้ จะตุนไว้ไปก็ไม่มีประโยชน์ ดังนั้นจึงได้แค่ขายทิ้งในเกมเท่านั้น
ซึ่งการจะแก้สภาพการณ์แบบนี้ได้คงมีแต่ต้องเอาเมล็ดจากเกมออกมาปลูกในอำเภอโหยวเฉิงแล้วทำให้สามารถปลูกได้อย่างแพร่หลายเท่านั้น เขาจึงจะสามารถเอามันออกมาขายในปริมาณมากได้ (เหมือนสร้างป่าเพื่อซ่อนต้นไม้)
ข้าง ๆ เขามีหัวปลาเฉาป่า ปลาตะเพียนป่า กระเจี๊ยบเขียว ห่วยซัว และบรอกโคลีซึ่งทั้งหมดเป็นเลเวล 2
อาจกล่าวได้ว่ามื้อนี้ 90% ของมหาเศรษฐีในประเทศแม้จะมีเงินเท่าไหร่ก็หาซื้อมากินไม่ได้
ส่วนอาหารทะเลธรรมดา ๆ นั้นเป็นแค่เครื่องประดับ
“เธอเอาแตงโมกับสตรอว์เบอร์รี่ไปเสิร์ฟก่อนไป เด๋วฉันทำอาหารเอง” จ้าวโม่ชิงพูดพร้อมกับหยิบหัวปลาเฉาป่ามาจะทำซุป
ทักษะการทำอาหารของเธอไม่สามารถเทียบกับเชฟตัวจริงได้ แต่แค่ทำกับข้าวบ้าน ๆ ไม่ใช่ปัญหาอะไร แถมวัตถุดิบยังชั้นยอด ขอแค่รู้วิธีปรุงคร่าว ๆ ทำยังไงก็อร่อยชัวร์ เพราะมีโบนัสอร่อย +2 กับเนื้อสัมผัส +2 รองรับไว้อยู่แล้ว
ฉินหลินจัดการผ่าแตงโมเป็นชิ้น ๆ พอดีคำและจัดสตรอว์เบอร์รี่ลงชามจากนั้นก็เอาไปเสิร์ฟ
เมื่อมาถึงห้องรับแขกก็ต้องตะลึงเพราะเห็นแม่ตัวเองกับแม่ยายกำลังคุยกันอย่างออกรสออกชาติ
‘หา? พวกแม่ ๆ สนิทกันขนาดนี้ตั้งแต่ตอนไหน?’
ทันทีที่แตงโมกับสตรอว์เบอร์รี่เลเวล 2 มาเสิร์ฟ จ้าวโม่หยุนกับหลี่เจียเหวินก็หันมาจ้องเขม็ง
เพราะทั้งสองได้กินแตงโมกับสตรอว์เบอร์รี่พันธุ์พิเศษนี้ที่บ้านไร่มาแล้ว
หลี่เจียเหวินรีบจกสตรอว์เบอร์รี่ใส่ปากด้วยความเร็วที่ตาแทบจะมองไม่ทัน แล้วความอร่อยก็ซ่านอยู่ในปาก ‘อื้อหือ~ ยังอร่อยเหมือนเดิม~’
จ้าวโม่หยุนเอาไม้จิ้มฟันจิ้มแตงโมใส่ปาก
หลังจากที่ได้กินเมื่อครั้งก่อนจนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่ลืมรสชาติที่ติดอยู่ในปาก
หลินเฟินยังพูดกับเฉินเสี่ยวและจ้าวเซียนหงว่า “บ้านดอง มาลองแตงโมกับสตรอว์เบอร์รี่พันธุ์พิเศษที่ขายในบ้านไร่ของเสี่ยวหลินหน่อย อร่อยมากเลยนะ”
พูดพลางยื่นแตงโมกับสตรอว์เบอร์รี่ให้ทั้งคู่
เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็เลยลองกินดูและก็ต้องตาโต เพราะมันอร่อยมากอย่างที่อีกฝ่ายว่าจริง ๆ
ทั้งคู่อายุปูนนี้ย่อมเคยได้กินแตงโมกับสตรอว์เบอร์รี่มามากมายอยู่แล้ว แต่ก็ไม่มีอันไหนอร่อยเท่ากับที่อยู่ในปากนี้เลย
หลังจากนั้นไม่นาน
อาหารก็เสร็จ
เมื่อหลินเฟินเชิญให้ครอบครัวนั่งลงที่โต๊ะกินข้าว ฉินหลินยกหม้อข้าวออกมาวาง และทันทีที่เปิดฝาหม้อกลิ่นข้าวหอมฉุยก็ตลบอบอวลอยู่ในห้อง
เจ้าหมาที่ได้กลิ่นก็น้ำลายแตกลุกขึ้นยืนตามสัญชาตญาณ
“ข้าวอะไรหอมจัง?” หลี่เจียเหวินถาม
ในฐานะนักชิมแล้วเธอย่อมอยากรู้
“ข้าวหลวงเสียงสุ่ยน่ะ บังเอิญได้มาพอดี” ฉินหลินตอบ
“ข้าวหลวงเสียงสุ่ย? ไม่เห็นจะเคยได้ยิน แต่แค่ชื่อก็ฟังดูหรูแล้ว” หลี่เจียเหวินหยิบมือถือออกมาเสิร์จ เพราะแค่ชื่อก็น่าค้นหา
แต่เมื่อเธอเห็นข้อความที่เด้งขึ้นมาก็ตกตะลึง “ข้าวนี่ไม่เกินไปหน่อยเหรอ?”
วันนี้เธอได้เรียนรู้อะไรมากมาย
ข้าวหลวงนั้นแสนหายาก เป็นข้าวที่แม้แต่เศรษฐีมีเงินก็ซื้อไม่ได้ ขนาดของปลอมยังขายกันเป็นหมื่น…
เรื่องนี้น่าตกใจเกินไป
“มีไรเหรอ?” จ้าวโม่หยุนเห็นหน้าตาเหยเกของภรรยาเลยถามอย่างสงสัย
หลี่เจียเหวินไม่ตอบแต่เอามือถือให้อ่านเอง
“เชี่ย…” จ้าวโม่หยุนสบถ ไม่นึกเลยว่าจะมีข้าวแพงขนาดนี้ในโลก
ไม่แปลกที่เรียกว่าข้าวหลวง
ชิบหายแท้ ๆ ขนาดเขาที่เปิด KTV พ่วงด้วยร้านชานมก็ต้องถือว่าเป็นคนวัย 20 ที่เจ๋งสุด ๆ แล้วจริงป่าว? แต่คนที่เจ๋งสุด ๆ อย่างเขาพอเห็นข้อมูลดังกล่าวแล้วกลับรู้สึกกระเดือกข้าวไม่ลงเลยทีเดียว
“สบถหยาบคายอะไรแบบนั้น ไม่สุภาพเลย” จ้าวเซียนหงเป็นครูจึงใส่ใจเรื่องมารยาทมาก
จ้าวโม่หยุนไม่เถียงแต่ส่งมือถือต่อให้พ่อตัวเองอ่าน
เมื่อจ้าวเซียนหงอ่านแล้วก็ต้อง... ‘เชี่ย!’ อยู่ในใจ
“แม่ดองลองข้าวนี่สิ” ตอนนี้หลินเฟินสนิทกับเฉินเสี่ยวมากเลยบริการตักข้าวให้อย่างดี
“ข้าวที่เสี่ยวหลินเอามาอร่อยมากเลยนะ ขนาดไม่มีเครื่องเคียงยังกินได้สบายเลย”
เมื่อเฉินเสี่ยวได้ยินก็เลยรับชามข้าวมาลองคีบกินด้วยความอยากรู้อยากเห็น และในชั่วพริบตานั้นเองกลิ่นหอมอันกลมกล่อมก็อบอวลอยู่ในปาก เนื้อสัมผัสและความอร่อยทำให้เธอพูดว่า “ข้าวนี่อร่อยจริง ๆ ซื้อที่ไหนเหรอ เดี๋ยวพรุ่งนี้เราไปหาซื้อมาไว้ซักสิบจินบ้าง”
“…” จ้าวเซียนหง
“…” จ้าวโมหยุน
“…” หลี่เจียเหวิน
ทั้งสามต่างมองเฉินเสี่ยวอย่างว่างเปล่า
สิบจิน?
คิดว่าซื้อกะหล่ำปลีอยู่เหรอ?