ตอนที่แล้วตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 192 ปีศาจกิ้งกือ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 194 กับดักของพยัคฆ์และอสรพิษ

ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 193 วัวเคี้ยวดอกโบตั๋น


ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 193 วัวเคี้ยวดอกโบตั๋น

แปลโดย iPAT  

ปีศาจกิ้งกือพิจารณาคำถามอย่างจริงจังขณะที่หลี่ฉิงซานรู้สึกกระวนกระวาย เขาเกรงว่าขุนพลปีศาจตนนี้จะพูดทำนองว่า “เจ้า!” หากเป็นเช่นนั้นเขาคงจบสิ้น

แต่โชคดีที่ปีศาจกิ้งกือกล่าวว่า “เมล็ดสีเหลือง เมล็ดสีขาว”

หลี่ฉิงซานใช้เวลาสักครู่เพื่อทำความเข้าใจและตระหนักว่ามันกำลังพูดถึงข้าวฟ่างและข้าวสาลี แท้จริงแล้วมันเป็นสัตว์กินพืช!

แน่นอนนว่าปีศาจส่วนใหญ่ไม่เป็นเช่นนี้ แม้พวกมันจะเคยเป็นแพะที่กินหญ้ามาตลอดชีวิต แต่มันจะกินเนื้อและดื่มสุราเมื่อมันกลายเป็นขุนพลปีศาจ บางทีขุนพลปีศาจตนนี้อาจโง่เขลาถึงจุดที่ไม่ยอมเปลี่ยนอาหารของมัน

“ข้าจะขึ้นไปนำพวกมันลงมา!” หลี่ฉิงซานกำลังจะกระโดดออกไปพร้อมกับเสี่ยวอัน

“เดี๋ยว!”

หัวใจของหลี่ฉิงซานจมดิ่งลงก่อนที่เขาจะได้ยินคำกล่าวต่อไปของปีศาจกิ้งกือ “น้ำที่ไม่มีสีนั่นด้วย!”

“น้ำ? เจ้าหมายถึงสุรางั้นหรือ?”

“น่าจะเป็นสิ่งนั้น...”

“ตกลง ข้าจะไปนำมา!”

ดังคาด ปีศาจกิ้งกือไม่ได้หยุดเขา มันไม่แม้แต่จะจับตัวเสี่ยวอันไว้เป็นตัวประกัน “เร็วเข้า! เร็วเข้า!”

หลี่ฉิงซานกระโจนออกมาจากหลุม มันเกิดขึ้นเหนือสวนหลังบ้านซึ่งเป็นสาเหตุที่ตัวบ้านไม่พังลงมา เขารีบวิ่งออกไปพร้อมกับเสี่ยวอันก่อนจะทรุดตัวลงบนพื้นและหอบหายใจอย่างหนักหน่วง

เขารู้สึกราวกับไปตกปลาแต่สิ่งที่จับได้คือฉลาม มันอันตรายเกินไป โชคดีที่ฉลามตัวนี้ไม่ฉลาดนักและไม่สามารถขึ้นมาจากน้ำ มิฉะนั้นเขาคงต้องเสียชีวิตในครั้งนี้

เสี่ยวอันนอนอยู่ด้านข้างและมองท้องฟ้ายามค่ำคืน ก้อนเมฆลอยผ่านไปแต่นางดูหดหู่เล็กน้อย

หลี่ฉิงซานยืนขึ้น คว้านาง และช่วยให้นางลุกขึ้นยืน เขากล่าว “เจ้าไม่เชื่อฟังข้าเลย ข้าบอกให้ไป เจ้าก็ต้องไป เหตุใดเจ้าจึงกลับมา?”

เสี่ยวอันโบกมือและพยายามโต้แย้ง

หลี่ฉิงซานจ้องนาง “หือ เจ้าพึ่งหัดพูดแต่ตอนนี้กลับต่อว่าข้าแล้วงั้นหรือ? มันเป็นโชคดีที่เรารอดมาได้ แต่หากข้าบอกว่าเจ้าผิด เจ้าก็ต้องผิด ข้าทำทั้งหมดนี้เพื่อประโยชน์ของเจ้า!”

ขอบตาของเสี่ยวอันแดงก่ำด้วยความโกรธ นางก้มหน้าลงและไม่พูดสิ่งใดอีก

หลี่ฉิงซานกล่าว “เจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้ร้องไห้!”

นั่นทำให้น้ำตาไหลลงมาจากดวงตาของนางทันที

หลี่ฉิงซานรู้สึกเจ็บปวดแต่เขายังสะกดข่มมันเอาไว้ “การร้องไห้ไม่ได้ช่วยอะไร เจ้าต้องเรียนรู้มัน!”

เสี่ยวอันเงยหน้าขึ้นและมองหลี่ฉิงซานด้วยสายตาที่ไม่เคยแสดงมาก่อน หน้าอกของนางกระเพื่อมอย่างแรง นางรู้สึกเหมือนภูเขาไฟกำลังปะทุอยู่ในอกของนางขณะที่นางเปิดปากกล่าว “ท่านต้องทิ้งข้าอีกกี่ครั้งถึงจะพอใจ!?” เสียงของนางทั้งดังและชัดเจนมากขณะที่ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความโศกเศร้า เมื่อกล่าวจบำประโยค นางก็หันหลังและรีบเข้าไปในบ้าน

“เจ้า...” หลี่ฉิงซานตกตะลึงไปอย่างสมบูรณ์ราวกับเขาถูกโจมตีด้วยยันต์สายฟ้าฟาด

ในที่สุดเสี่ยวอันก็พูดได้ นี่เป็นสิ่งที่น่าเฉลิมฉลองแต่ประโยคนั้นกลับทำให้หัวใจของหลี่ฉิงซานเจ็บปวด เขาล้มตัวลงนอนบนพื้นอย่างสูญสิ้นเรี่ยวแรง เขารู้สึกกังวลมาก

ปีศาจกิ้งกือถามขึ้นมาจากหลุมในสวน “มีหรือไม่?”

“ไม่มี!” หลี่ฉิงซานตะโกนตอบ

“เหตุใดเจ้าต้องเสียงดัง?” ปีศาจกิ้งกืองุนงง

“มันไม่เกี่ยวกับเจ้า!” หลี่ฉิงซานตะโกนตอบกลับไปอีกครั้ง “รอต่อไป!”

“ตกลง”

นี่เป็นครั้งแรกที่หลี่ฉิงซานตระหนักถึงความรุนแรงของปัญหา เสี่ยวอันกำลังเติบโตขึ้นอยางช้าๆ นางเริ่มมีความคิดเป็นของตนเอง บางทีนางอาจอยู่ในช่วงวัยที่กำลังต่อต้านครอบครัว ไม่ อาจกล่าวได้ว่ายิ่งพวกเขาใกล้ชิดกันมากเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งขัดแย้งกันได้ง่ายเท่านั้น

ในฐานะหัวหน้าครอบครัว เขาต้องพิจารณาว่าเขาควรสื่อสารกับนางอย่างไร เขาต้องชี้แนะนางอย่างอดทนแต่เขาจะทำอย่างไร

เขารู้สึกว่าว้าวุ่นใจ เรื่องนี้ซับซ้อนมากกว่าการบ่มเพาะ เขานอนอยู่ที่นั่นเป็นเวลานาน เขานึกถึงวิธีที่พ่อแม่ปฏิบัติต่อเขา เขานึกถึงวิธีที่ผู้เชี่ยวชาญมักแนะนำเมื่อพวกเขาออกรายการโทรทัศน์

หลี่ฉิงซานผุดลุกขึ้นนั่ง “ถูกต้อง ข้าต้องปฏิบัติต่อนางอย่างเท่าเทียม” เขาเดินไปที่ประตูก่อนจะยกมือขึ้นเคาะ แต่ก่อนที่เขาจะเคาะประตู ประตูก็เปิดออกขณะที่ร่างเล็กโผเข้าสู่อ้อมแขนของเขา

หลี่ฉิงซานตกตะลึงเล็กน้อยก่อนที่จะหัวเราะออกมา เขาลูบศีรษะของนาง “ข้าขอโทษ ก่อนหน้านี้ข้าเอาแต่ใจเกินไป ข้าไม่เคยต้องการละทิ้งเจ้า ข้าเพียงอยากปกป้องเจ้า”

“ข้า...อยาก...ปกป้อง...ท่านเช่นกัน...” เสี่ยวอันยังพูดไม่คล่อง

การแสดงออกของนางดูน่ารักมาก มันทำให้เขารู้สึกอยากปกป้องนางมากขึ้น เขายิ้ม “เอาล่ะ ผู้ยิ่งใหญ่เสี่ยวอัน ข้าน้อยอยู่ภายใต้การคุ้มครองของท่าน มา ให้ข้าหอมหน่อย” จากนั้นเขาก็จูบหน้าผากของนางอย่างแรง

ปีศาจหนุ่มร่างกายใหญ่โตกับเด็กหญิงตัวน้อยที่อ่อนโยนสร้างฉากที่ดูค่อนข้างแปลกตา “นี่เหมือนวัวเคี้ยวดอกโบตั๋นและทำให้คุณค่าของดอกโบตั๋นสูญเสียไป”

ใบหน้าของเสี่ยวอันกลายเป็นสีแดง นางยกส้นเท้าขึ้นและหอมแก้มสีดำของปีศาจหนุ่ม

หลี่ฉิงซานลูบแก้มของตนและรู้สึกถึงความอบอุ่น เขาอดที่จะหัวเราะออกมาเบาๆไม่ได้

ในหลุม ปีศาจกิ้งกือส่งเสียงออกมาอีกครั้ง “ข้าหิวแล้ว!”

หลี่ฉิงซานยกริมฝีปากขึ้น “หาทางจัดการกับเขาก่อน”

เสี่ยวอันปิดปากเพื่อซ่อนรอยยิ้มของนางเอาไว้

หลี่ฉิงซานไม่ต้องการละทิ้งสถานที่บ่มเพาะที่เขาพึ่งสร้างขึ้นและปีศาจกิ้งกือก็ดูเหมือนจะไม่มีอันตรายเช่นกัน

เมื่อเขานึกถึงนิสัยของกิ้งกือ เขาจำได้ว่ากิ้งกือมันจะแกล้งตายหากผู้คนเล่นกับมัน จากนั้นมันจะปล่อยพิษที่ทำให้ระคายเคืองออกมา

อย่างไรก็ตามดูเหมือนควันสีชมพูของขุนพลปีศาจกิ้งกือจะไม่ได้เป็นเพียงสารพิษที่ทำให้ระคายเคืองแต่เป็นกรดที่สามารถละลายหินหรือโลหะ

หากคนของนิกายเมฆาพิรุณมาหาเขาในเวลานี้ สิ่งที่เขาต้องทำก็คือล่อพวกเขาลงไปในหลุมและรอเก็บศพของพวกเขา จอมยุทธ์ขั้นเก้าหรือขั้นสิบงั้นหรือ? พวกมันต่างไร้ประโยชน์ต่อหน้าขุนพลปีศาจ แม้ผู้นำนิกายเมฆาพิรุณจะมาด้วยตนเอง มันก็มีเพียงความพ่ายแพ้ที่รออยู่

หลังจากครุ่นคิด หลี่ฉิงซานก็แบกตะกร้าไม้ไผ่และพาเสี่ยวอันไปด้วย เขามาที่เมืองภูเขาเกลือและพบกับอวี๋ฉูกวง “ข้าจะออกเดินทางสักพัก อย่าให้ผู้ใดเข้าใกล้บ้านของข้า”

นี่คือสิ่งที่เขาตัดสินใจ ขุนพลปีศาจอันตรายเกินไป เขาอาจกลายเป็นตัวตลกที่ถูกล้อเล่นหรือใช้งาน หากเขาทำให้มันโกรธโดยไม่ได้ตั้งใจ ชะตากรรมของเขาจะน่าสังเวชมาก

จากมุมหนึ่ง ปีศาจกิ้งกืออันตรายกว่าซวนเยว่ อย่างน้อยที่สุดหลี่ฉิงซานก็รู้ว่าซวนเยว่ต้องการสิ่งใด เขาสามารถเจรจากับนาง แม้นางจะโกรธ แต่นางก็จะไม่ฆ่าเขา

การเดิมพันชีวิตด้วยอารมณ์ไม่ใช่ทางเลือกที่ฉลาด ก่อนที่เขาจะได้รับพลังในการป้องกันตัวเอง เขาตัดสินใจที่จะรักษาระยะห่างจากตัวตนที่เขาไม่สามารถยั่วยุ

อวี๋ฉูกวงสะดุ้ง “ท่านหนิวผู้ยิ่งใหญ่ ท่านจะไปที่ใด?”

“นั่นไม่ใช่เรื่องที่เจ้าต้องกังวล” เห็นได้ชัดว่าเขากำลังจะไปยั่วยุคนที่เขาสามารถยั่วยุ

อวี๋ฉูกวงกล่าว “เช่นนั้นก็เชิญ” ก่อนที่เขาจะกล่าวจบประโยค หลี่ฉิงซานก็หายตัวไปแล้ว

อวี๋ฉูกวงรู้สึกโล่งอกที่เสือร้ายจากไปแล้ว แต่เขาก็ยังยินดีต้อนรับผู้สนับสนุนที่เขาสามารถพึ่งพาผู้นี้ หากเขาสามารถช่วยเหลือหลี่ฉิงซานและได้รับเม็ดยาเพิ่มเติม ความหวังในการทะลวงขอบเขตของเขาจะมีมากขึ้น

เขาปีนลงจากเตียงและหยิบซองจดหมายออกมาจากลิ้นชัก เขาอ่านมันอย่างระมัดระวังภายใต้แสงตะเกียง

จดหมายจากบุตรสาวของเขาระบุว่านางได้กินเม็ดยาในตำนานและสามารถบ่มเพาะพลังปราณแล้ว

ขอบจดหมายค่อนข้างเปราะบาง เห็นได้ชัดว่าเขาอ่านมันมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว แต่เมื่อใดที่เขาเห็นมัน เขาก็ยังเผยรอยยิ้มอย่างมีความสุขทุกครั้ง เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆที่เคยพิงแขนเขาเติบโตขึ้นแล้ว นางกระทั่งก้าวนำบิดาของนาง

อย่างไรก็ตามสิ่งที่ตามมาจากความสุขคือความสิ้นหวังและไม่สบายใจ

โลกของจอมยุทธ์พลังปราณแตกต่างจากโลกของคนธรรมดาในยุทธภพอย่างสิ้นเชิง ในยุทธภพของคนธรรมดา เขาเป็นวีรบุรุณที่ยิ่งใหญ่ อย่างไรก็ตามต่อหน้าจอมยุทธ์พลังปราณแม้จะเป็นจอมยุทธ์ระดับต่ำที่สุด เขาก็ยังต้องโค้งคำนับและประจบประแจงพวกเขา

มีเพียงคนโง่เขลาเท่านั้นที่คิดว่าจอมยุทธ์พลังปราณเป็นเหมือนพระเจ้า ในความเป็นจริงไม่ว่าที่ใด ธรรมชาติของมนุษย์ล้วนเลวทรามไม่ต่างกัน เขาทำได้เพียงกล่าวโทษตนเองที่เพลิดเพลินกับสายตาที่เคารพบูชาของนางและทำให้นางเชื่อในหนทางแห่งความยุติธรรมมากเกินไป นั่นจะทำให้นางต้องพบกับความทุกข์ทรมานในที่สุด

เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เขาก็ไม่สามารถข่มตาหลับ ตอนนี้เขาไม่สามารถช่วยเหลือนางได้อีกต่อไป

เขาอายุสามสิบปลายๆแต่เขากลับรู้สึกว่าตนเองแก่ลงมาก เขาเก็บจดหมายอย่างระมัดระวังและต้องการทะลวงเข้าสู่ขอบเขตจอมยุทธ์มากกว่าก่อนหน้า

แสงดาวทะลุผ่านช่องไม้และส่องลงไปในหลุม ดวงตาของปีศาจกิ้งกือเบิกกว้าง น้ำลายไหลออกมาจากปากของมัน

“เหตุใดจึงช้านัก!?”

หลี่ฉิงซานออกจากเมืองภูเขาเกลือ เขาเดินทางไม่กี่สิบกิโลเมตรเพื่อไปยังถ้ำแห่งหนึ่งและเข้าไป เขาเดินทางใต้ดินและหยุดอยู่ด้านหน้าที่พักของนักพรตผีดิบ จมูกของเขาได้กลิ่นบางอย่าง สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันที

มันจางมากแต่เป็นกลิ่นที่คุ้นเคย มันเป็นกลิ่นเครื่องสำอางของยายประจิม!

นอกจากนั้นยังมีกลิ่นอื่นๆ ดูเหมือนอย่างน้อยที่สุดสี่ยายของนิกายเมฆาพิรุณก็อยู่ที่นี่ กล่าวอีกนัยก็คือมีจอมยุทธ์ขั้นเก้าสี่คน

เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าพวกนางจะมาที่นี่เพื่อตามหาเขาจริงๆ เขารู้สึกเหมือนตนเองยังประมาทเกินไป หากเขาถูกคนเหล่านี้จับกุม ผลที่ตามมาจะไม่สามารถคาดเดา