บทที่ 910 (31) ความสำเร็จอันแพรวพราว (ตอนฟรี)
บทที่ 910 (31) ความสำเร็จอันแพรวพราว
การกระทำของหรงเป่ากังในครั้งนี้ทำให้พี่สาวและพ่อของเขาโกรธมาก หรงซูเยี่ยนตัดสินใจบินไปเจียงโจวเป็นการส่วนตัวเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดจากพฤติกรรมอันสิ้นคิดของน้องชายของเธอ
ในเวลาเดียวกัน ในหยานจิงที่ห่างไกลออกไปทางตอนเหนือ ก็มีคนที่กำลังโกรธเกรี้ยวอยู่เช่นกัน
ในวิลล่าสุดหรูแห่งหนึ่งในหยานจิง อู๋จื้อเหอกำลังคุยโทรศัพท์ด้วยท่าทางนอบน้อม ไม่รู้ว่าคนในโทรศัพท์พูดอะไร แต่มันทำให้หน้าผากของอู๋จื้อเหอเต็มไปด้วยเหงื่อเย็นๆเม็ดใหญ่ เขาคอยปาดเหงื่ออยู่ตลอดเวลาที่คุยโทรศัพท์ ซึ่งนั่นทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งที่ยืนอยู่ใกล้ๆเขาอดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปช่วยซับเหงื่อให้แก่เขา แต่เขาจ้องมองเธอด้วยสายตาดุดันและผลักเธอออกไป
“อู๋จื้อเหอ นายมันโง่เง่า!”
เสียงคนในโทรศัพท์ดังมาก และคนที่พูดก็โกรธมากอย่างเห็นได้ชัด “องครักษ์ฝ่ายในไปที่นั่นเพื่อลักพาตัวคนมาให้นายงั้นเหรอ? มันจะไม่เป็นไรเลยถ้านายรู้จักเล่นเกมให้ฉลาดพอ แต่การที่นายถูกจับได้แบบนี้ นายคิดว่ามันเป็นเรื่องสนุกงั้นเหรอ?”
“พี่ใหญ่ ฉันรู้ว่ามันไม่สนุก และมันก็เป็นปัญหา” อู๋จื้อเหอรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูกจริงๆ เขาได้แต่โต้แย้งอย่างหมดแรง “พี่ใหญ่ ฉันไม่รู้จริงๆว่าน้องชายของหรงซูเยี่ยนจะไร้ความสามารถขนาดนี้ และก็ไม่คิดว่าเขาจะทำเรื่องโง่ๆแบบนี้ด้วย...”
“นายไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เรื่องนี้อาจทำให้คุณปู่ไม่พอใจ แต่ยังไงนายก็ต้องไปหาคุณปู่เพื่อยอมรับความผิดพลาดของตัวเองก่อนที่อะไรๆมันจะแย่ไปกว่านี้!” เสียงในโทรศัพท์พูดแทรกขัดจังหวะ
“ไม่ๆๆ! พี่ใหญ่! ฉันทำแบบนั้นไม่ได้ ถ้าฉันไปหาคุณปู่ ท่านต้องให้ฉันไปอยู่ชายแดนแน่ๆ!” ใบหน้าของอู๋จื้อเหอแสดงความหวาดกลัวออกมาทันที
“นั่นเป็นปัญหาของนายที่จะต้องแก้เอง!” เสียงในโทรศัพท์ตะคอกเป็นครั้งสุดท้ายและวางสายทันที
“ตู้ด... ตู้ด...”
อู๋จื้อเหอยืนฟังเสียงโทรศัพท์ที่ถูกตัดสายทิ้งด้วยใบหน้าที่เหมือนคนหมดอาลัยตายอยาก
“จื้อเหอ เป็นยังไงบ้าง?” ในเวลานี้ ผู้หญิงที่ยืนมองอยู่ห่างๆอย่างห่วงๆเดินเข้ามาและถามอย่างระมัดระวัง “พี่เขาบอกว่าไงบ้าง? สถานการณ์ร้ายแรงหรือเปล่า?!”
ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเจิ้งหยูซิ่ว คู่หมั้นของอู๋จื้อเหอ
“เธอมันสิ้นคิด!”
เมื่ออู๋จื้อเหอได้ยินคำพูดของเจิ้งหยูซิ่วเขาก็โมโหขึ้นมาทันทีและตวาดใส่หน้าของเธอว่า “เธอไปเอาความกล้ามาจากไหนถึงได้ระดมองครักษ์ฝ่ายในเพื่อทำการลักพาตัวแบบนั้น? สมองของเธอมันหายไปไหน?!”
หัวใจของเจิ้งหยูซิ่วสั่นสะท้านทันทีเมื่อถูกด่า แต่เธอยังคงทำใจดีสู้เสือและพูดว่า “จื้อเหอ ใจเย็นๆก่อน มันเป็นเรื่องของการระดมเจ้าหน้าที่ภายในโดยไม่ได้รับอนุญาต หากมีปัญหา ฉันจะรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว ไม่ให้เดือดร้อนไปถึงตระกูลอู๋อย่างแน่นอน… จื้อเหอ ที่เราต้องคิดกันตอนนี้คือจะทำยังไงไม่ให้เรื่องนี้กลายเป็นคดีความขึ้นมาจริงๆ?”
ต้องขอบอกเลยว่า ผู้หญิงที่ชื่อเจิ้งหยูซิ่วคนนี้อาจทำอย่างอื่นได้ไม่ดี แต่สำหรับฝีปากแล้ว เรียกได้ว่าคมคายแน่นอน ในอดีต หากเธอทำผิดพลาด เธอก็ใช้แค่คำพูดง่ายๆไม่กี่คำเพื่อเกลี้ยกล่อมอู๋จื้อเหอและเบี่ยงเบนความสนใจของเขา ดังนั้นครั้งนี้เธอจึงใช้วิธีเดียวกันนี้เพื่อปัดความผิดพลาดให้จบๆไปและเปลี่ยนเรื่อง
อย่างไรก็ตาม วิธีการของเธอในครั้งนี้ไม่ได้ผล
เมื่ออู๋จื้อเหอได้ยินสิ่งนี้ เขาก็โกรธยิ่งกว่าเดิมและตะคอกอย่างเกรี้ยวกราด “เธอจะรับผิดชอบ? นี่เธอแพร่มไร้สาระอะไรอยู่? เจิ้งหยูซิ่ว! ฉันเพิ่งจะเห็นก็วันนี้ว่าเธอมันโง่เง่าขนาดไหน! องครักษ์ฝ่ายในพวกนั้นเป็นใคร? พวกเขามาจากตระกูลอู๋! ถ้าไม่มีการอนุญาตจากฉัน เธอจะสั่งการพวกเขาได้เหรอ? ต่อให้เธอออกไปป่าวประกาศปาวๆว่าทั้งหมดนี้เป็นความคิดของเธอแค่เพียงผู้เดียว ฉันไม่รู้ไม่เห็นด้วย แต่ขอถามหน่อยเถอะ! ใครมันจะเชื่อเธอ ห๊ะ?!”
“นี่...” เจิ้งหยูซิ่วตกใจและงุนงง เธอรีบพูดทันที “จื้อเหอ ฉันรู้ว่านี่เป็นการใช้อำนาจในแบบที่ไม่เหมาะสมเท่าไหร่นัก แต่เรื่องแบบนี้ใครๆก็ทำกันไม่ใช่เหรอ? แล้วก็ไม่ใช่ว่าเราทำอะไรแบบนี้เป็นครั้งแรกสักหน่อย มันเป็นไปได้มั้ยที่มีคนกำลังเพ่งเล็งมาที่ตระกูลอู๋? แต่จะมีใครกล้าขนาดนั้น?”
“เจิ้งหยูซิ่ว! เธอนี่มันโง่อย่างที่ฉันพูดจริงๆด้วยสินะ! หยานจิงเต็มไปด้วยกองกำลังที่แข็งแกร่งมากมาย มีหลายตระกูลที่ยิ่งใหญ่ แล้วตระกูลอู๋จะสามารถปกคลุมท้องฟ้าด้วยมือข้างเดียวได้ยังไง?” อู๋จื้อเหออดไม่ได้ที่จะส่ายหัวเล็กน้อยด้วยสีหน้าหมองคล้ำ “มันก็ใช่ที่เรื่องนี้มันเหมือนจะเป็นแค่เรื่องเล็กน้อย ใช้สิทธิพิเศษนิดๆหน่อยๆใครๆเขาก็ทำกัน ก็แค่ปิดปากคนไม่กี่คนก็จบ! แต่เธอเคยคิดมั้ยว่าเบื้องหลังเหตุการณ์นี้มีอะไรซ่อนอยู่?”
“ห๊ะ? อะไรนะ?” เจิ้งหยูซิ่วถามอย่างตะกุกตะกัก
“หากใช้เรื่องนี้เป็นประเด็น ผลกระทบมันจะเลวร้ายมาก ฉันไม่กล้าคิดถึงผลที่จะตามมาด้วยซ้ำ!”
อู๋จื้อเหอพูดด้วยความโกรธ “โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องนี้เกิดขึ้นในเจียงโจวภายใต้การดูแลของตระกูลจี้ คิดว่าระดับพวกเขาจะใช้เรื่องนี้ทำอะไรได้บ้างล่ะ? นอกจากนี้ ว่ากันว่าคนที่เข้าจับกุมเป็นทหารจากเขตทหารเจียงโจว แม้แต่ทหารก็เข้ามาเกี่ยวข้อง เธอไม่คิดเหรอว่ามันต้องมีอะไรซ่อนอยู่เบื้องหลัง? คราวนี้มันอาจส่งผลกระทบต่อการย้ายของพ่อฉัน!”
“อ่า.. !!” เจิ้งหยูซิ่วหน้าซีดด้วยความตกใจ “มันร้ายแรงขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“ฉันกลัวว่ามันจะร้ายแรงมากกว่านั้น!” อู๋จื้อเหอโบกมือและพูดว่า “คราวนี้ฉันตายด้วยน้ำมือของเธอนี่แหละ... เอาเถอะ ลืมมันไปซะ มันไม่มีประโยชน์ที่จะบอกเธอเรื่องนี้ ฉันควรกลับไปยอมรับความผิดพลาดของฉันกับคุณปู่โดยตรง ไม่ว่าอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด!”
“จื้อเหอ!” เจิ้งหยูซิ่วอุทาน
“ตอนนี้เราแก้ไขอะไรด้วยตัวเองไม่ได้แล้ว ฉันทำได้เพียงแค่บอกคุณปู่โดยเร็วที่สุด บางทีเขาอาจจะพอมีวิธีจัดการ...” อู๋จื้อเหออดไม่ได้ที่จะส่ายหัวเล็กน้อย “ครั้งนี้เธอหางานได้ดีจริงๆ! อ้อ! ไอ้เจ้าหรงเป่ากังนั่นอีกคน เรื่องชิบหายนี่ขอให้บอก!”
เมื่อมองไปยังด้านหลังของอู๋จื้อเหอที่กำลังเดินจากไป เจิ้งหยูซิ่วก็อดไม่ได้ที่จะมึนงง คราวนี้เธอสร้างปัญหาใหญ่ขึ้นมาจริงๆเหรอ? แค่จับกุมประชาชนตัวเล็กๆคนเดียว มันจะเป็นเรื่องใหญ่ไปได้ยังไง?
...............
“โอเค! โอเค! ฮ่าๆๆ...” จี้เฟิงนั่งคุยโทรศัพท์อยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่น และจากรอยยิ้มกับเสียงหัวเราะของเขาก็รู้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องไม่ดีแน่นอน
อันที่จริงมันเป็นเรื่องที่ดีทีเดียว จี้เฟิงกำลังคุยโทรศัพท์กับจี้เจิ้นหัวพ่อของเขา และพ่อของเขาก็กล่าวชมเขาอีกครั้ง ซึ่งทำให้เขามีความสุขมาก ช่วงหลังๆมานี่ ดูเหมือนว่าเขาจะได้รับคำชมอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งพิสูจน์ได้ว่าเขาเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“เสี่ยวเฟิง ครั้งนี้ลูกทำได้ดีมาก โดยเฉพาะในช่วงเวลาวิกฤติอย่างนี้ สงสัยลูกของพ่อจะเป็นอัจฉริยะ!” จี้เจิ้นหัวชื่นชมการกระทำของจี้เฟิงในครั้งนี้มากจริงๆ
จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะและพูดว่า “ทั้งหมดนี้ล้วนได้มาจากคำสั่งสอนของพ่อทั้งนั้นแหละครับ”
“เจ้าลูกคนนี้!” จี้เจิ้นหัวอารมณ์ดีอย่างเห็นได้ชัด “เข้าใจสรรหาคำพูด ถ้าแม่ของเจ้ารู้คงได้บ่นอีกแน่ๆ!”
จี้เฟิงหัวเราะและถามว่า “พ่อครับ ในเมื่อคราวนี้งานออกมาดี แล้วเราได้รับประโยชน์อะไรบ้างหรือเปล่าครับ?”
“ไอ้หนู! รูปแบบของเจ้ายังเล็กเกินไป” จี้เจิ้นหัวพูดด้วยรอยยิ้ม “เสี่ยวเฟิง สร้างผลงานได้ดีแน่นอนว่าเป็นเรื่องดี แต่อย่าให้มันมาทำให้เจ้าหลงละเลิง ยิ่งมาถึงจุดนี้ยิ่งต้องคิดให้มากขึ้น เรียนรู้ให้มากขึ้น เข้าใจมั้ย?”
“ครับพ่อ ผมเข้าใจแล้ว” จี้เฟิงพยักหน้า
“ดีมาก!” จี้เจิ้นหัวพยักหน้าอย่างพึงพอใจแล้ววางสาย
“พ่อเดี๋ยว! พ่อ!?” จี้เฟิงตะโกนเรียกพ่อของเขาในโทรศัพท์สองสามครั้งก่อนจะพบว่าพ่อของเขาวางสายไปแล้ว เขาอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวและยิ้มอย่างขมขื่น “หมายความว่ายังไงกันนะ? รูปแบบยังเล็กเกินไป? ทำไมพวกผู้ใหญ่ชอบพูดอะไรลึกลับชวนให้คิดทุกครั้งเลย... ก็ใช่ว่าฉันจะตีความได้ซะทุกครั้งมั้ยล่ะ! เฮ้อ~!”
อย่างไรก็ตาม การบ่นก็เป็นเพียงแค่การบ่น จี้เฟิงยังคงรู้สึกได้ถึงความตั้งใจของพ่อเขาในการปลูกฝังสิ่งดีๆให้แก่เขา มันทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะยิ้ม ดูเหมือนว่าทุกอย่างกำลังจะพัฒนาไปในทิศทางที่ดี
‘พูดกันตามหลัก ฉันควรจะไปที่โรงงานยา ไปจัดการเรื่องยุ่งยากให้เสร็จๆ แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมเลยจริงๆ มันจะดีกว่าถ้าจะไม่ทำให้อะไรให้บุคคลภายนอกค้นพบความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับโรงงานเซียว ไม่อย่างนั้นอาจส่งผลกระทบที่เลวร้ายก็ได้...’ จี้เฟิงคิดกับตัวเองอยู่ในใจ และสุดท้ายก็ตัดสินใจโทรหาซูหยวนและคนอื่นๆตามลำดับ
ซูหยวนรายงานสถานการณ์ในช่วง 2-3 วันที่ผ่านทางโทรศัพท์ให้จี้เฟิงฟัง แน่นอนว่าเธอไม่ลืมที่จะแสดงความรักความคิดถึงของเธอที่มีต่อจี้เฟิงก่อนจะวางสาย ซึ่งทำให้จี้เฟิงรู้สึกใจเต้นและละอายใจในเวลาเดียวกัน
แต่จี้หยินหงนั้นต่างออกไป ทันทีที่เธอรับสายของจี้เฟิง เธอรู้สึกตื่นเต้นและรู้สึกขอบคุณมาก เธอรู้ดีว่าทั้งหมดนี้เป็นเพราะจี้เฟิงที่ทำให้สามีของเธอรอดพ้นจากอันตราย และแน่นอนว่าคังหยวนได้บอกเธอเกี่ยวกับเรื่องนี้
หลังจากนั้นจี้เฟิงก็ติดต่อเพื่อนซี้ของเขาทีละคน และโทรหาเซียวหยูซวนเพื่อบอกว่าเขามาถึงเจียงโจวแล้ว
เซียวหยูซวนบอกแค่ว่าเธอรู้แล้วและไม่ได้พูดอะไร ซึ่งทำให้จี้เฟิงงงมาก
ทำไมทุกคนดูทำตัวลึกลับจัง?
ในอีกไม่กี่วันต่อมา จี้เฟิงยังคงติดต่อกับเซียงหยงซานอยู่เรื่อยๆและในขณะเดียวกัน เขาก็ไม่ลืมที่จะโทรหาเลขาของพ่อเขาในช่วงเวลาที่เหมาะสมเพื่อติดตามข่าวล่าสุด
หลังจากนั้นอีกสองวัน ในที่สุดข่าวที่แน่นอนก็มาถึง และเลขาของพ่อก็เป็นคนที่บอกเขา
ทันทีที่จี้เฟิงได้ยินข่าวนี้เขาก็ตกตะลึง
เขาพูดออกมาโดยไม่รู้ตัวว่า “ให้ตายเถอะ! ฉันทำเรื่องใหญ่ขนาดนี้ไปจริงๆน่ะเหรอ?!”
....จบบทที่ 910~