ตอนที่แล้วตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 190 จอมยุทธ์ขั้นสาม (อ่านฟรี)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 192 ปีศาจกิ้งกือ

ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 191 เสี่ยวอันพูด


ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 191 เสี่ยวอันพูด

แปลโดย iPAT  

บนรถม้า ชายหนุ่มทั้งสองพูดคุยกัน “พี่ใหญ่ ข้าได้ยินว่าท่านหนิวผู้ยิ่งใหญ่สูงเกือบสามเมตร ร่างกายของเขาแข็งแกร่งราวกับก้อนหิน”

ชายที่ดูอ่อนโยนสงสัย “เขาสูงขนาดนั้นจริงหรือ? ข้ารู้สึกว่ามันค่อนข้างแปลกที่โลกนี้มีจอมยุทธ์แซ่หนิว”

“แซ่หนิวผิดงั้นหรือ? แซ่ของข้าคือหม่า!”

“ข้าไม่ได้พูดถึงเจ้า เจ้าจะโวยวายเพื่อสิ่งใด? เห้อ...เด็กผู้หญิงคนนั้นต้องกลายเป็นหญิงงามเมื่อโตขึ้นอย่างแน่นอน น่าเสียดายที่นางเป็นใบ้ น่าเสียดายนัก”

รถม้าเคลื่อนที่ไปไกลมากแล้ว มันไกลเกินกว่าความสามารถในการได้ยินของจอมยุทธ์ขั้นหนึ่ง อย่างไรก็ตามเสี่ยวอันได้ยินทั้งหมด ขณะที่นางกำลังขนย้ายอาหาร ใบหน้าของนางก็มืดลงเล็กน้อย

นางวางกล่องทั้งหมดไว้ในห้องลับใต้ดินเพื่อให้หลี่ฉิงซานสามารถกินพวกมันได้ทันทีหลังตื่นขึ้นจากการบ่มเพาะ อย่างไรก็ตามหลี่ฉิงซานไม่เคยตื่น

เสี่ยวอันนั่งอยู่บนขั้นบันไดหินเพียงลำพังท่ามกลางสายลมฤดูใบไม้ร่วงและใบไม้ที่ร่วงหล่นลงมาจากต้น นางเปิดปาก กำหมัด และใช้ทุกสิ่งที่มีพยายามพูด

แม้นางจะมีร่างกายแต่นางยังไม่สามารถพูด ความผิดหวังบนใบหน้าของหลี่ฉิงซานยังฝังอยู่ในใจของนาง แม้เขาจะปลอบโยนนางโดยบอกว่าไม่เป็นไร แต่นางก็ไม่ต้องการทำให้เขาผิดหวัง ดังนั้นนางจึงฝึกพูดทุกครั้งเมื่อเขาไม่เห็น

เสียงของนางถูกพรากไปโดยหมอผีเฒ่าและดูเหมือนนางจะไม่สามารถเรียกมันกลับมาได้

นางล้มเหลวอีกครั้ง นางรู้สึกผิดหวังจนถึงจุดที่อยากจะร้องไห้ ‘สวรรค์คิดว่าข้าโลภเกินไปงั้นหรือ? เมื่อข้าสามารถอยู่เคียงข้างเขาและสัมผัสถึงความอบอุ่นของเขาแล้ว ข้าก็ไม่ควรปรารถนาสิ่งใดมากไปกว่านี้งั้นหรือ!?’

เมื่อเวลาผ่านไป หลี่ฉิงซานค่อยๆเปิดเปลือกตาและส่ายศีรษะเบาๆก่อนจะเงยหน้าขึ้น เขาเห็นเสี่ยวอันควงไม้กวาดที่ยาวกว่าตัวนางและใช้มันกวาดใบไม้แห้งออกไป เขายิ้มให้กับตนเองและคิดว่านางคงไม่มีสิ่งใดที่น่าสนใจกว่านี้ทำแล้ว นอกจากนั้นเขายังรู้สึกเสียใจเล็กน้อยที่ทำให้นางอยู่ในสภาพนี้

เขาถาม “เสี่ยวอัน มันนานเท่าใดแล้ว?”

เสี่ยวอังกำลังคิดเกี่ยวกับการพูด แต่นางกลับได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นอย่างกะทันหัน นางรีบหันกลับไป “เอิ๊ก!”

หลี่ฉิงซานหาว “ว่าไงนะ...เดี๋ยว!” ดวงตาของเขาเบิกกว้างด้วยความไม่อยากจะเชื่อขณะที่เขาชี้นิ้วไปที่เสี่ยวอัน “จะ...เจ้า...” เขากลายเป็นพูดติดอ่าง

เสี่ยวอันปิดปากของตนแต่นางยังล้มเหลวอีกครั้ง

หลังจากฝึกหนักมาหลายเดือน นางยังไม่ประสบความสำเร็จ

หลี่ฉิงซานคุกเข่าข้างหนึ่งลงและยื่นมือออกไปข้างหน้า “ผ่อนคลาย...แล้วลองใหม่อีกครั้ง!”

เสี่ยวอันวางไม้กวาดลง แยกริมฝีปากและลอง “เอิ๊ก!”

หลี่ฉิงซานยิ้มอย่างมีความสุข “อัศจรรย์นัก อีกครั้ง!”

เสี่ยวอันที่ได้รับกำลังใจสูดหายใจเข้าและ “เอิ๊ก....” มันเป็นเสียงลากยาวมากขึ้น

หลี่ฉิงซานก้าวไปข้างหน้าและโอบกอดนางเอาไว้ “วิเศษมาก! ข้ารู้ว่าเจ้าทำได้!”

เสี่ยวอันขยี้ตาขณะที่น้ำตาไหลอาบใบหน้า

หลี่ฉิงซานเช็ดน้ำตาให้นาง “อย่าร้องไห้ หากเจ้าร้องไห้ ข้าก็จะร้องไห้เช่นกัน!” เขาหยิกแก้มของนาง “มา มา มา พูดกับข้าให้มากกว่านี้!”

ภายใต้สายตาที่จ้องมองมาของหลี่ฉิงซาน ใบหน้าของเสี่ยวอันกลายเป็นสีแดง นางพยายามอย่างหนัก ในที่สุดนางก็สามารถปล่อยคำอื่นออกมาจากปาก “อา...”

“เอาอีก!”

“เอิ๊ก!”

“เอ่อ...”

“อา...”

หลี่ฉิงซานลูบศีรษะของนาง “ลืมมันไปซะ เราจะค่อยเป็นค่อยไปเหมือนกับการบ่มเพาะ” เมื่อกล่าวถึงการบ่มเพาะ เขาก็ตรวจสอบแก่นปีศาจและพบว่าปราณปีศาจของเขาเติบโตขึ้นเล็กน้อย แม้ปราณจิตวิญญาณธรรมชาติจะมีอยู่มากมาย แต่เขาพบว่าตนเองสามารถดูดซับมันได้เพียงส่วนเล็กๆ

หากเปรียบเทียบ การกินเม็ดยายังให้ผลลัพธ์ที่รวดเร็วกว่า อย่างไรก็ตามเขาพลันสังเกตเห็นบางสิ่ง “หือ ข้าบรรลุขั้นสามตั้งแต่เมื่อใด?” แผนเดิมของเขาคือทะลวงเข้าสู่ขั้นสามหลังจากนี้ อย่างไรก็ตามตอนนี้เขากลับทะลวงผ่านมันไปได้โดยไม่รู้ตัว เขารู้สึกตกใจเล็กน้อย

เสี่ยวอันขยับแขนของนางเพื่ออธิบายให้เขาฟังว่าเกิดสิ่งใดขึ้น นางอยู่ข้างกายหลี่ฉิงซานตลอดเวลา ดังนั้นนางจึงเข้าใจว่าเกิดสิ่งใดขึ้น

“ข้าเข้าใจแล้ว!” หลี่ฉิงซานลูบคางของตน

การทำสมาธิของเขาเหมือนการจำศึล เขาไม่รู้สึกถึงสิ่งใดในสภาวะดังกล่าว เขาจะตื่นเพียงเมื่อสัมผัสได้ถึงอันตรายเท่านั้น ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่เคยใช้วิธีนี้

ปราณจิตวิญญาณธรรมชาติเหมือนสุราเลิศรสที่มีเพียงไหเดียวขณะที่เม็ดยารวบรวมพลังปราณเหมือนตะกอนก้นไหสุรา แต่ตราบเท่าที่เขามีเสบียงมากพอ เขาสามารถกินมันได้มากเท่าที่ต้องการและทำให้ปราณปีศาจของเขาเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว

อย่างไรก็ตามเขาไม่เคยคิดว่าการบ่มเพาะปราณปีศาจจะมีผลที่น่าอัศจรรย์ต่อการบ่มเพาะพลังปราณของเขา มันยอดเยี่ยมกว่าความพยายามในการทะลวงฝ่าอุปสรรคทั้งหมดด้วยตัวเขาเองมาก

ผลลัพธ์นี้ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจ มันกลายเป็นว่าการใช้วิธีของปีศาจในการบ่มเพาะพลังปราณของมนุษย์และการใช้วิธีของมนุษย์ในการบ่มเพาะปราณปีศาจกลับเป็นทางเลือกที่เหมาะสมที่สุด

ตอนนี้เขาต้องทำตัวเหมือนจอมยุทธ์ทั่วไปที่รวบรวมเม็ดยาให้ได้มากที่สุดเพื่อบ่มเพาะปราณปีศาจ หลังจากนั้นเขาก็ต้องทำตัวเหมือนปีศาจโดยค้นหาถ้ำและดูดซับปราณจิตวิญญาณธรรมชาติเพื่อบ่มเพาะพลังปราณ

เส้นทางที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงนี้กลับสนุนเสริมซึ่งกันและกัน แรกเริ่ม เขารู้สึกเหมือนการบ่มเพาะทั้งปราณปีศาจและพลังปราณเป็นเรื่องที่น่าอนาถมาก แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกตรงข้าม

หลี่ฉิงซานราวกับตรัสรู้บางสิ่ง เขาหัวเราะเสียงดัง เขายกเสี่ยวอันขึ้นและหมุนไปรอบๆ “ข้ารู้แล้วว่าข้าต้องทำอย่างไรต่อไป!”

ทันใดนั้นเสียงบางอย่างจากใต้ดินก็ดังเข้าหูของหลี่ฉิงซาน

“แผ่นดินไหวงั้นหรือ?” เขารู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนเล็กน้อยจากใต้ดิน การกระทืบของเขาก่อนหน้านี้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างกับแผ่นเปลือกโลกงั้นหรือ?

หลังจากไม่นาน แรงสั่นสะเทือนก็หยุดลง หลี่ฉิงซานไม่ได้สนใจมันมากนัก วันนี้มีข่าวดีมากมาย เขาอารมณ์ดีมาก เขาวางเสี่ยวอันไว้บนเข่าและแกล้งนาง หลังจากพูดคุยกันสักพัก ท้องของเขาก็ส่งเสียงร้องอีกครั้ง เขาลูบท้องของตน “เจ้ามีอาหารหรือไม่?”

เสี่ยวอันดึงมือของเขาไปที่ห้องลับใต้ดิน แต่สิ่งที่นางพบคือกล่องอาหารทั้งหมดถูกเปิดออกขณะที่ทุกอย่างภายในหายไปในอากาศ นางตกตะลึง

หลี่ฉิงซานยิ้ม “เจ้ากินเก่งเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด?”

เสี่ยวอันเร่งโบกไม้โบกมือและรู้สึกเอือมระอา

หลี่ฉิงซานเข้าใจรหัสมือของนางและสามารถตีความได้อย่างแม่นยำ เขาตะลึง “ผู้ใดกล้าปล้นของๆข้า!” เขาเดินไปดูอีกห้องหนึ่ง ธัญพืชและอาหารแห้งที่เก็บไว้ถูกนำออกไปเช่นกัน

เสี่ยวอันค่อนข้างแปลกใจ นางไม่เคยเห็นผู้ใดเข้ามา ดังนั้นหลี่ฉิงซานจึงนึกถึงความน่าจะเป็นบางอย่างและเริ่มตรวจสอบรูที่เขาเปิดไว้ทันที เขาสูดดมกลิ่นอย่างระมัดระวัง ดังคาด เขาตรวจพบปราณปีศาจ มีร่องรอยการเคลื่อนไหวอยู่ใต้ดิน ปรากฏว่าแขกที่ไม่ได้รับเชิญพึ่งจากไป

เสี่ยวอันวิเคราะห์อย่างรอบคอบ

หลี่ฉิงซานเห็นด้วย “ถูกต้อง ข้าก็คิดว่ามันเป็นสัตว์ปีศาจ มนุษย์จะลอบเข้ามากินอาหารที่นี่งั้นหรือ? ข้าสงสัยนักว่าสัตว์ปีศาจที่โง่เขลาตนใดกล้าขโมยของๆเรา!” หลังจากนั้นเขาก็เผยรอยยิ้ม “มันนานมาแล้วที่เจ้าไม่ได้บ่มเพาะ ไปเอามันมาเป็นอาหารค่ำกันเถอะ เราจะจัดงานเลี้ยง บางทีมันอาจมีแก่นปีศาจ!”

เสี่ยวอันรู้สึกกังวลเล็กน้อย

หลี่ฉิงซานกล่าวด้วยความมั่นใจ “อย่ากังวล ข้ามีความคิดดีๆแล้ว”

ท้องฟ้าสลัวขณะที่ห้องลับถูกเติมเต็มด้วยสุราหนึ่งร้อยไห กระดาษปิดฝาไหสุราทุกใบถูกเปิดออกเพื่อให้กลิ่นหอมลอยไปทุกหนทุกแห่ง

ในสุรามีทั้งพิษและสารเสพติดทุกชนิดที่หลี่ฉิงซานหรือกล่าวให้ถูกต้องกว่านั้นก็คืออวี๋ฉูกวงจะสามารถหาได้ นี่เป็นแผนการของหลี่ฉิงซานที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากชีวิตก่อนหน้าของเขา เขาเคยได้ยินเรื่องราวมากมายที่ผู้คนใช้สุราเพื่อเอาชนะปีศาจหรือสัตว์ประหลาด

หลี่ฉิงซานและเสี่ยวอันรออยู่ในห้องตำรา เขายิ้ม “เจ้าคิดอย่างไรกับแผนการของข้า”

“เอิ๊ก!” เสี่ยวอันยกนิ้วโป้งขึ้นเพื่อชื่นชม

“ฮ่าฮ่า มันก็ไม่ได้ยอดเยี่ยมถึงเพียงนั้น”

อย่างไรก็ตามแม้ทั้งสองจะรอถึงกลางดึกแต่มันยังไม่เกิดสิ่งใดขึ้น หลี่ฉิงซานเริ่มสงสัย “อย่าบอกว่าไอ้สารเลวนี่ไม่ชอบสุรา!”

เสี่ยวอันพูด “อี อา อือ อา อา อึ อา อา อา อา...” มันแปลความได้ว่า “มันไม่ควรเป็นเช่นนั้น ฝาไหถูกเปิดออกแล้ว อาจต้องใช้เวลาอีกเล็กน้อย”

หลี่ฉิงซานตอบ “งั้นรอดูกันต่อไป”

ก่อนที่เขาจะพูดจบ ใต้ดินก็เกิดการสั่นสะเทือนอีกครั้ง ดวงตาของหลี่ฉิงซานส่องประกายขึ้น “ดูเหมือนปีศาจตัวนี้จะค่อนข้างใหญ่ เจ้ากำลังจะได้เห็ความฉลาดของมนุษย์ว่าน่ากลัวเพียงใด!” เขาแนบหูลงบนพื้นและได้ยินเสียงไหสุราแตก

เขารออย่างอดทนเพื่อให้สุราออกฤทธิ์ก่อนจะโจมตีศัตรู หนึ่งชั่วโมงต่อมา เสียงใต้ดินก็เงียบลง

หลี่ฉิงซานพยักหน้าส่งสัญญาณให้เสี่ยวอันดึงกลไก ชั้นหนังสือเปิดออกและเผยให้เห็นบันไดที่ซ่อนอยู่ด้านหลัง

เสี่ยวอันหยุดหลี่ฉิงซานเอาไว้และปล่อยผีดิบเหล็กไหลเข้าไปก่อน จากนั้นทั้งสองก็พุ่งตามเข้าไป

หลี่ฉิงซานเตรียมยันต์ระดับกลางไว้หลายแผ่นรวมถึงยันต์สายฟ้าฟาด กล่าวได้ว่าเขาเตรียมตัวมาอย่างเพียงพอ

พวกเขาพุ่งเข้าไปในห้องลับ แต่เมื่อหลี่ฉิงซานเห็นภาพที่อยู่ภายใน ใบหน้าของเขากลับแข็งค้างทันที เขาคว้าเสี่ยวอันมาด้านข้าง ปิดปากนาง และยืนอยู่ตรงนั้นโดยไม่ขยับเขยื้อน