ตอนที่ 955 เกาะกลาง ทะเลสันติและตุลาการ
เกาะกลางบึงหยุดลม
เกาะกลางไม่ใช่เกาะธรรมดา แต่มีขนาดใหญ่โตกว้างขวางคาดว่ามีขนาดใหญ่โตมากกว่าเมืองลู่หลิวถึงร้อยเท่า
บนเกาะไม่มีไม้ดอกไม้ต้นงอกงามให้เห็นแม้จะมองจนสุดหูสุดตาก็ตาม ในพื้นที่มีรอยฉีกขาดให้เห็น นี่คือความพินาศยุ่งเหยิงสับสน ในอดีตควรจะมีอารยธรรมที่เจริญก้าวหน้าไม่น้อยซากปรักหักพังที่มีกำแพงล้อมหลายแห่งยังมีร่องรอยอารยธรรมให้เห็นอยู่บ้างอารยธรรมที่สาบสูญล่มสลายไปนี้ดูเหมือนว่าจะก้าวหน้าสูงส่งมากมาย อย่างน้อยก็ในแง่ของการสร้างวงเวทอักขระรูนที่ใช้ควบคุมพลังงานดูเหนือกว่าอาณาจักรล่างๆ ในปัจจุบัน
หลังจากมีกลุ่มอาคันตุกะเข้ามาเยี่ยมชมเมื่อพวกเขาแหงนหน้ามองดูเหนือใจกลางเกาะจะมีทะเลแห่งหนึ่ง
เป็นทะเลที่ขัดกับความรู้สึกทั่วไปทะเลเล็กและเงียบสงบ
นักสู้ปราณฟ้าทั่วไปเมื่อได้เห็นทะเลนี้อดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้
อย่างไรก็ตามคณะองครักษ์ที่ปลอมตัวคุ้มกันเย่ว์หยางลอบสะท้านใจ...ทะเลนี้สงบเยือกเย็นมากเกินไป พวกเขาไม่เลยพบกับความเยือกเย็นสงบแบบนี้มาก่อน แต่เย่ว์หยางไม่รู้สึกแปลก
สิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งคล้ายคลึงกับทะเลนี้
นั่นคือกุ่ยหยินไฟ
เพียงแต่ทำลายสมดุลพลังงานเพียงเล็กน้อยมันอาจปล่อยพลังยิ่งกว่ากุ่ยหยินไฟถึงพันเท่า
กุ่ยหยินไฟที่คล้ายกับทะเลนี้แทบจะคล้ายกันมากเพียงแต่คุณสมบัติธาตุพลังงานแตกต่างกัน กุ่ยหยินที่เขาพบก่อนนั้นเป็นธาตุไฟ ส่วนกุ่ยหยินนี้เป็นธาตุน้ำพลังทั้งหมดนี้เป็นของใคร? ในใจของเย่ว์หยางปรากฏคำถามนี้ขึ้น ถ้าสามารถได้รับวิธีการควบคุมเจ้าสิ่งนี้ได้จากนั้นการดูดซับพลังกุ่ยหยินไฟจะทำได้ง่าย ในอนาคตเมื่อเข้าแดนล่มสลายแห่งทวยเทพก็จะมีหลักประกันเพิ่มเติม แน่นอนว่าไม่ใช่แค่ทะเลที่สงบอย่างแปลกประหลาดข้างหน้าเท่านั้นแต่ทั่วทั้งเกาะเย่ว์หยางคิดว่ามีหลายสิ่งหลายอย่างที่คุ้มแก่การขุดลึกตรวจสอบ
อารยธรรมโบราณที่มีความก้าวหน้าชั้นสูงนี้จำเป็นต้องได้รับการฟื้นฟูให้เหมือนเดิม เพื่อตัวเขาเอง
ทั้งยังจะเกิดประโยชน์อย่างมาก
“ทะเลแห่งนี้เรียกว่าทะเลสันติ ทะเลบนนี้ไม่สามารถเอาเรือมาแล่นได้ไม้ไม่อาจลอยน้ำได้ แม้แต่ขนนกก็ยังจมลงได้” หมิงลี่ฮ่าวยืนอยู่ด้านข้างและอธิบายให้เขาฟังเบาๆ
“พลังหยุดลมบวกกับพลังน้ำอ่อนหยุ่นที่นี่คือกับดักมรณะชัดๆ” เย่ว์หยางลอบระมัดระวัง สมรภูมิต่อสู้ที่ศัตรูเลือกนั้นยอดเยี่ยมเกินไป
“เจ้าพูดถูก เหนือทะเลสันติมีแต่เพียงต้องใช้ความสามารถพิเศษหรือใช้พลังสมบัติวิเศษช่วยสนับสนุนมิฉะนั้นนักสู้ปราณฟ้าที่มีพลังต่ำกว่าระดับสามที่ติดตามมาจะพลาดท่าจมน้ำตายได้” หมิงลี่ฮ่าวเปลี่ยนวิธีส่งข้อมูลเปิดเผยเฉพาะคนที่รู้จักและเย่ว์หยาง “ต่อไปพวกเจ้าต้องระมัดระวังข้ามีลางสังหรณ์ไม่ดี อย่างน้อยมีคนหนึ่งที่แข็งแกร่งระดับเดียวกับข้ามาถึงแล้วระดับพลังที่รองลงมาจากพวกเขามีหลายคนที่มีพลังใกล้เคียง... สถานการณ์ที่ดีที่สุดของเราก็คือคนพวกนี้เป็นศัตรูถ้าไม่ใช่ ศัตรูเป็นกลุ่มเดียวกันการโจมตีครั้งนี้จะต้องประสบความสูญเสียอย่างหนักแน่นอน!”
“ศัตรูวางกำลังลอบทำร้าย ต่อให้หนีแต่จะหนีได้ง่ายดายนักหรือ?” เย่ว์หยางแค่นเสียงเย็นชา
เขาเห็นด้วยกับสิ่งที่หมิงลี่ฮ่าวพูด
ลากศัตรูกลับมา
ต่อสู้เสี่ยงเป็นตายนั่นไม่ใช่เรื่องฉลาดเลย
อย่างไรก็ตามหลังจากศัตรูลอบวางแผนลอบฆ่าเป็นระลอกทำให้กระตุ้นโทสะเย่ว์หยาง
เกี่ยวกับคนดื้อด้านดึงดันเย่ว์หยางไม่ยอมหลบอยู่แล้ว เพราะเขาเชื่อลึกๆ ว่าคนที่กระดูกแข็งที่สุดจะได้หัวเราะในท้ายที่สุด
การล่าถอยมองในแง่ดีก็คือการเปลี่ยนแปลงทางกลยุทธ์ แต่ถ้ามองในแง่ร้ายก็คือหนี แม้ว่าบางครั้งจำเป็นต้องมีการยักย้ายทางยุทธวิธี แต่ก็เป็นนักยุทธวิธีเท่านั้นยังไม่สามารถยืนยันการทดสอบที่แท้จริงนักรบที่สามารถฝึกฝนก้าวหน้าในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดจะมีความแข็งแกร่งก้าวหน้า! มีคำกล่าวว่า ‘ลมเหนือสร้างนักรบไวกิ้ง’กล่าวได้ว่านี่เป็นความจริงที่คล้ายกัน
หากไม่มีสภาพแวดล้อมที่รุนแรงโหดร้ายไม่เคยพยายามท้าทายความยากลำบากถึงขีดจำกัดครั้งแล้วครั้งเล่า นักรบจะเติบโตก้าวหน้าอย่างจำกัด
เหตุผลที่เย่ว์หยางสามารถประสบผลสำเร็จเติบโตได้อย่างรวดเร็ว
เหตุผลหลักที่สุดก็คือเขาท้าทายขีดจำกัดของตนเอง
วันนี้เขากำลังเผชิญหน้ากับกลุ่มศัตรูที่ทรงพลังซ่อนเร้นตนเองอยู่ในความมืดถ้าเขาเลือกที่จะล่าถอยทางยุทธวิธีแล้วการเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่งในอนาคตเล่า จะเป็นยังไง?จำเป็นต้องหลบหนีอีกครั้งหรือไม่?
มองอย่างผิวเผินเย่ว์หยางไม่พูด แต่เขาตั้งใจแน่วแน่ ในเมื่อศัตรูเข้ามาไม่ว่าจะเป็นศัตรูทรงพลังหรืออ่อนแอ พวกเขาทุกคนจะได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกันไม่มีทางถอย ไม่มีทางหลีกเลี่ยงแต่เป็นการยืนหยัดสู้เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายกับศัตรู เหยียบย่ำศัตรูทรงพลังให้ราบคาบ แม้พบกับศัตรูที่ทรงพลังมากขึ้นก็ยังคงเหมือนเดิมคือย่ำให้ราบ!
นี่คือเย่ว์หยาง!
เย่ว์หยางเป็นเช่นนี้!
ความแตกต่างที่ใหญ่ที่สุดระหว่างเขากับหมิงลี่ฮ่าวก็คือเขามีจิตใจที่มุ่งมั่นต่อสู้ที่มากกว่า
ไม่ว่าศัตรูของเขาจะเป็นใครไม่ว่าศัตรูจะแข็งแกร่งขนาดไหน ไม่ว่าศัตรูจะอยู่ยงคงกระพันเพียงไหนก็ตามท้ายที่สุดแล้วพวกเขาจะล้มลงทีละคนและกลายเป็นหินรองเท้าให้เย่ว์หยางกลายเป็นพลังงานให้เย่ว์หยางยกระดับพลัง...“แล้วแต่เจ้าเถอะ ข้าบอกเจ้าอย่างตรงไปตรงมาเท่านั้นในศัตรูที่ทรงพลังหลายคนนั้นมีพลังมากระดับเดียวกับข้าเล่าฮ่าวที่กำลังฟื้นฟูพลังอย่างมากข้าแค่ช่วยเจ้าสู้ได้แค่คนเดียว นอกนั้นเจ้าคงต้องช่วยข้ารวบรวมศพ ที่จริงแล้วเจ้าก็เข้าใจว่าคนระดับพลังอย่างข้านี้ดีพอ ข้าไม่สามารถแบกภาระสู้ทีเดียวสองคนได้” หมิงลี่ฮ่าวมีพลังปราณราชันย์ระดับแปดถ้าศัตรูหลายคนมีพลังระดับเดียวกับเขามีหลายคน เย่ว์หยางย่อมปวดหัวแน่นอน สิ่งที่สร้างปัญหาให้เย่ว์หยางมากที่สุดก็คือ พลังในพื้นที่บึงหยุดลมนั้นปั่นป่วนวุ่นวายคาดเดาไม่ได้ ต่อให้เขาตั้งใจกลับไปหอทงเทียนเพื่อขอความช่วยเหลือก็คงไม่สามารถเทเลพอร์ตกลับไปยังสถานที่เดิมได้
ทะเลสันติแห่งเกาะกลางนี้ยิ่งยากจะทำเช่นนั้นได้
มีขีดจำกัดแห่งความสมดุลของพลังอยู่คิดจะออกไป เป็นเรื่องที่ยาก
จะใช้เข็มทิศสามพิภพเทเลพอร์ตกลับไปยังหอทงเทียนอีกครั้งยากยิ่งกว่าหาเข็มในกองฟางเสียอีก
นอกจากนี้ถ้ากลับไปยังหอทงเทียนกว่าจะผ่านบันไดสวรรค์หลายแสนขั้นไปพบกับจักรพรรดินีราตรีและจื้อจุนทั้งคู่เวลาก็คงไม่เพียงพอ
ในสนามรบมีความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเป็นไปไม่ได้ที่จะเอากำลังเสริมมาถึงได้ภายในสิบวันครึ่งเดือน...เย่ว์หยางคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้และถอนหายใจเบาๆดูเหมือนว่าเขาต้องเผชิญกับศัตรูที่ทรงพลังตามลำพัง ยิ่งกว่านั้นยังไม่ใช่คนเดียว
หมิงลี่ฮ่าวตบไหล่ของเย่ว์หยางเบาๆและพูดหยอกล้อ “ถ้าเราสู้ชนะได้ในครั้งนี้คัมภีร์เทพเป็นของเจ้าข้าเล่าฮ่าวยอมเสียเปรียบขอร่างเทพเท่านั้น” เมื่อเย่ว์หยางได้ยินเช่นนั้นไม่ทราบว่าเขาลุกขึ้นมาได้อย่างไร? ด้วยสติปัญญาแค่นี้ยังกล้าอวดอ้างตัวเองอีกหรือ?เขาชูนิ้วกลางทั้งสองข้างให้หมิงลี่ฮ่าวและตอบเขา “เลิกขี้เหนียวได้แล้ว!”
ราชาจื่อฟงกระแอม
เทวีเสรีภาพในตอนนี้ปลอมตัวในรูปลักษณ์หนึ่งราชาว่านเจียวถูกปลอมในอีกรูปลักษณ์หนึ่งยืนอยู่กับราชาชิงหลางและราชาโหลวลั่วอยู่ข้างหลังราชาจื่อฟง ในรูปลักษณ์พรางตัว
เพราะความสามารถของจักรพรรดิใต้พิภพร่วมผสานมองดูผิวเผินนางจะเหมือนกับราชาว่านเจียว
ถ้ามองผิวเผินจะไม่มีทางมองออก
มารสัมฤทธิ์ฟ้าและจักรพรรดิมังกรก็ตื่นตัวเช่นกันพวกเขาพูดคุยกันเรื่องแผนการรับมือกับเย่ว์หยางและหมิงลี่ฮ่าวทันทีที่พวกเขารู้สึกถึงพลังศัตรูได้ชัดเจนที่สุด พวกเขารู้ได้ชัดมากกว่าราชาจื่อฟง ในตอนแรกเย่ว์หยางไม่คิดว่ามารสัมฤทธิ์ฟ้ากับพวกจะต้องเข้าสู่สงครามครั้งนี้ เพราะการต่อสู้ครั้งนี้อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตไม่ว่าใครได้รับบาดเจ็บอาจจะต้องส่งตัวกลับไปยังหอทงเทียน
อย่างไรก็ตามมารสัมฤทธิ์ฟ้าและจักรพรรดิมังกรและพวกยืนยันจะเดินทางไปด้วยกันและร่วมต่อสู้จนถึงที่สุด
นอกจากเพิ่มพูนประสบการณ์แล้วพวกเขาตั้งใจลอบคุ้มกันเย่ว์หยาง ที่สำคัญคือเจ้าเด็กเย่ว์หยางคือเสาหลักในการยกระดับหอทงเทียน
ไปด้วยกันนับว่าดีแต่เจ้าเด็กนี่ไม่อาจผิดพลาดได้แม้แต่น้อย...บางทีในการต่อสู้อาจไม่ช่วยเขาได้เท่าใดนัก แต่ในยามคับขันควรจะมีใครที่ยืนหยัดเสียสละตนเองเพื่อเขาสักหนึ่งวินาทีจากนั้นเข็มทิศสามพิภพของเขาจะใช้พลังได้ง่าย
ทะเลสันติ
บนผิวน้ำที่น่ากลัวอย่างแปลกประหลาดนี้มีตัวประหลาดยืนลอยตัวสงบนิ่งอยู่
คนผู้นี้มีร่างสูงมากแขนขาเรียวยาว ผมยาวหวีเป็นมุมโค้งคล้ายเขาควายปลายผมยาวมัดไว้ด้วยปลอกกลมขนปุยดำสลับขาวขณะเดียวกันเขาสวมหน้ากากดำครึ่งหนึ่งขาวครึ่งหนึ่งซ้ายขวาสองด้านขัดแย้งดูแปลกประหลาด
เขาสวมผ้าคลุมสีเลือดนกเท้าสวมรองเท้าหุ้มส้นปลายแหลม
สิ่งที่ทำให้นักสู้ปราณฟ้าที่กำลังมองดูเห็นแล้วถึงกับหรี่ตามองก็คือคนผู้นี้ถือเคียวปีศาจขนาดยักษ์
เคียวนั่นเมื่อเทียบกับร่างของเจ้าของมีขนาดใหญ่มากกว่าถึงสามเท่าสีดำสนิทยิ่งกว่าเคียวปีศาจ
เคียวปีศาจนี้ไม่เคลื่อนไหวก็แล้วไปแต่ถ้าเคลื่อนไหว มีอานุภาพผ่าฟ้าผ่ามิติได้
“สมบัติระดับเตรียมเทพ” มารสัมฤทธิ์ฟ้าพูดอย่างเยือกเย็น ศัตรูของเขาพลังแข็งแกร่งมากจนเขาต้องเอ่ยปากพูดเพื่อคลายความกดดันในใจ
“คนผู้นี้ยกให้พวกท่าน”เย่ว์หยางลอบส่งสัญญาณให้มารสัมฤทธิ์ฟ้า แน่นอนว่าเขารู้ระดับพลังปัจจุบันของมารสัมฤทธิ์ฟ้าการสู้ประลองกับศัตรูที่ทรงพลังนี้เป็นเรื่องที่ไม่เต็มใจ เย่ว์หยางพูดอย่างนี้เพื่อให้พวกเขาทุ่มเทกำลังเกินขีดจำกัด มารสัมฤทธิ์ฟ้าเข้าใจความตั้งใจของเย่ว์หยาง เขากำหมัดพยักหน้าและพูดช้าๆ “ดี!”
อย่างน้อยมีพลังปราณฟ้าระดับหกบางทีอาจถึงระดับเจ็ด ทั้งเผชิญกับอาวุธระดับเตรียมเทพอีกด้วย..” หมิงลี่ฮ่าวลอบคุยกับเย่ว์หยางศัตรูพลังขนาดนั้น มารสัมฤทธิ์ฟ้าออกไปสู้ อาจจะตายได้ง่ายๆ
“เขาทำได้!” เย่ว์หยางไม่เปลี่ยนใจ
“....” แม้ว่าหมิงลี่ฮ่าวจะพูดเบาแต่มารสัมฤทธิ์ฟ้าก็ได้ยิน
ร่างของเขาสั่นเล็กน้อยหลังจากเย่ว์หยางตอบกลับมาว่าเขาสามารถทำได้ ความต้องการสู้ทำให้เขาตื่นเต้น
แตกต่างออกมาจนมารสัมฤทธิ์ฟ้าแทบควบคุมไม่ได้ ตัวประหลาดที่ยืนถือเคียวปีศาจอยู่เหนือผิวน้ำทะเลสันติเห็นได้ชัดว่ามีแสงและเมฆแสง เขาเหลือบมองมาทางราชาจื่อฟงและกลุ่มนักสู้ปราณฟ้าและเอ่ยปากพูดเบาๆ “นักสู้ระดับราชาหลายคน ข้าจะเป็นผู้ชี้ขาดในครั้งนี้ความแค้นเคืองระหว่างพวกเจ้าสามารถแก้ไขได้ด้วยวิธีการที่ตกลงกันไว้ ข้าจะไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจนกว่าพวกเจ้าจะคลี่คลายบุญคุณความแค้นได้ ตลอดทั้งกระบวนการพวกเจ้าทุกคนสามารถคัดค้านหรือเสนอได้ ตราบเท่าที่ได้ข้อสรุป ข้าต้องการเสนอวิธีที่ยุติธรรมที่สุด”
ตอนนี้แม้แต่คนตาบอดก็ดูออกว่าผู้ตัดสินนี้มาจากที่ไหน
ตำหนักกลางแดนสวรรค์
นอกจากสถานที่นั้นจะไม่มีการตัดสินใดๆ อีกมีแต่ความหยิ่งยโสไม่แยแสใคร
ยกเว้นตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่นั่นโลกจะไม่ต้องมีการตัดสินใดๆ อีก มีแต่ประกาศความชอบธรรมของตัวเอง!