ตอนที่ 951 เจ้าไม่ฉวยโอกาสหรือ?
ขณะที่เรือเหาะมุ่งหน้าสู่บึงหยุดลมเย่ว์หยางออกมาจากห้อง
เขามองดูรอบๆห้องโถงเห็นแต่เพียงเทพีเสรีภาพ
นักสู้ปราณฟ้าที่ติดตามมาด้วยไม่ได้ฝึกฝนหนักเหมือนมารสัมฤทธิ์ฟ้า แต่ไปรวมตัวอยู่ข้างหน้าห้องโถงต้อนรับเสียงเพลงขับกล่อมดังขึ้นพร้อมกับเสียงปรบมือหัวเราะ เย่ว์หยางได้ยินแล้วรู้สึกเวียนหัวนี่หรือจะไปถอนคำสาป? ดูราวกับว่าจะไปงานแต่งงานเสียมากกว่า!
“เจ้าดูแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง”เทพีเสรีภาพกำลังนั่งสมาธิ หลังจากเย่ว์หยางออกมานางหันกลับมามองเย่ว์หยางและอุทานด้วยความประหลาดใจ
“แตกต่างตรงไหน?” เย่ว์หยางรู้สึกสนุก ในสายตา (ใน) ของนางเห็นอะไรกัน?
“แน่นอนว่ามองผิวเผินย่อมไมเห็นแม้แต่ความรู้สึกในใจของเจ้าก็คลุมเครือมาก คาดว่าเจ้าเกิดมาพร้อมกับทักษะแฝงเร้นประเภทอำพรางปกปิดตัวตนที่น่าทึ่งมากแต่วิญญาณของเจ้าเจิดจรัสไม่สามารถปิดบังได้ข้าเคยเห็นนักสู้ผู้แข็งแกร่งบางคนมีพลังใกล้เคียงเทพมาก แต่รัศมีวิญญาณของพวกเขาเมื่อเทียบกับเจ้าเหมือนกับหิ่งห้อยประชันแสงจันทรา ดูเหมือนว่าเจ้าได้พบมรรคาที่ถูกต้องในการเข้าถึงพลังระดับเทพ”คำพูดของเทพีเสรีภาพทำให้เย่ว์หยางลอบประหลาดใจสามารถมองผ่านทักษะแฝงเร้นพรางตัวของเขาและสังเกตความเป็นจริงได้ในกระบวนการพัฒนาการทั้งหมดของเขาได้มีเพียงไม่กี่คน
“นั่นต้องขอบคุณท่านที่จุดประกายความคิดให้ข้า” เย่ว์หยางน้อมตัวเล็กน้อยแสดงการคารวะเทพีเสรีภาพอย่างจริงใจ
“นั่นไม่ใช่การจุดประกายความคิดจากข้านั่นคือกระบวนการพัฒนาของเจ้าแบบหนึ่งหลังจากที่สั่งสมความรู้มาระยะหนึ่งความรู้แจ้งก็ปะทุออกมาอย่างไม่สิ้นสุด นั่นเป็นเรื่องจำเป็น แต่ไม่ใช่เพราะลักษณะหรือการพูดของข้า” เทพีเสรีภาพยิ้ม
“ไม่ว่ายังไงก็ตามประกายความคิดนี้ได้มาเพราะคำพูดของท่าน” เย่ว์หยางเห็นว่าเทพีเสรีภาพไม่เต็มใจจะรับความดีความชอบ เขาอดถามไม่ได้“ขอคุยเรื่องท่านได้ไหม?”
“ข้าน่ะหรือ?”ดูเหมือนเทพีเสรีภาพรู้สึกสับสนเล็กน้อยกับหัวข้อนี้
“ท่านไม่เคยคิดถึงตนเองเลยหรือ?”เย่ว์หยางสงสัย
“ข้ามักจะคิดถึงสิ่งที่ข้าจะต้องทำในอนาคตอยู่บ่อยครั้งทำอย่างนั้นไปเพื่ออะไรข้ามักจะตรวจสอบความหมายของชีวิตและพยายามทำความเข้าใจในขอบเขตระดับสูง ตัวอย่างเช่นตอนนี้ข้าก็ยังไตร่ตรองถึงประเด็นนี้อยู่” เทพีเสรีภาพพยักหน้าให้เย่ว์หยางนี่เป็นครั้งแรกที่นางพูดคุยเรื่องตนเองกับคนแปลกหน้า
“แล้วตอนนี้ ท่านกำลังคิดเรื่องอะไรอยู่?” เย่ว์หยางถามอีกครั้ง
“ข้ากำลังคิดว่าจะทำให้ดีที่สุดได้อย่างไรยึดติดกับความเชื่อดั้งเดิม หรือเป็นเหมือนเจ้าเข้าสู่ระดับที่สูงขึ้นมองดูสรรพสัตว์ผู้คนที่เหมือนกับมดวิ่งพล่านอย่างเงียบสงบโดยไม่มีการแทรกแซงแต่อย่างใด” เทพีเสรีภาพตอบ
“อย่างนี้ถือว่าเย็นชา และเฉยเมยไม่ใช่หรือ?”เย่ว์หยางยิ้ม
“สำหรับสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในระดับต่ำที่มีความเห็นแก่ตัวและหยาบกร้านนั่นไม่ได้ช่วยให้พวกเขาพ้นจากความตายได้เลย ความตายเป็นเรื่องโหดเหี้ยมอย่างไรก็ตามเมื่ออยู่ในขอบเขตดินแดนที่สูงกว่าและห่างไกลออกไปก็ยากจะมองเห็นปัญหานั่นไม่ใช่สิ่งที่คนเห็นแก่ตัวจะเข้าใจได้ เช่นเดียวกับที่คนทั่วไปจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับพวกมดให้อาหารและปกป้องพวกมัน แต่มดแมลงก็ยังเป็นมดแมลง และพวกมันไม่ได้รับการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง หากมดแมลงเหล่านั้นกำลังทุกข์ทรมานจึงต้องให้อาหารและคอยปกป้องพวกมัน ก็เพียงแค่ปล่อยให้ความเจ็บปวดของพวกมันดำเนินต่อไปสุดท้ายก็ไม่ได้ทำให้พวกมันมีความสุขและมีอิสระอย่างแท้จริง....ชีวิตมีความสำคัญน้อยมากสำหรับโลกการดำรงอยู่ของสรรพชีวิตเป็นการแสดงความประสงค์ของโลก ชีวิตหนึ่งอาจส่งผลมีอิทธิพลต่อชีวิตอื่นบางทีนี่อาจเป็นการแสดงเจตจำนงของโลกก็ได้ บางทีอาจชักนำให้เดินผิดทางเป็นไปไม่ได้ที่จะหลุดพ้นออกมาจากความต้องการของโลก และไม่มีผู้รู้ความจริง สิ่งที่เจ้าทำอาจจะผิดก็ได้และยิ่งทำมากเท่าไหร่ก็ยิ่งแย่มากเท่านั้น นี่เป็นปัญหาที่ข้าพยายามคิด และพบว่ายิ่งเจ้าทรงพลังมากยิ่งขึ้นก็จะยิ่งเพิกเฉยต่อชีวิตที่อยู่ในระดับต่ำกว่า ทำไมเทพเจ้าโบราณถึงไม่บรรเทาทุกข์ให้กับชีวิตที่ต่ำต้อย? ทำไมมหาเทพโบราณถึงไม่ให้พลังแก่ชีวิตที่อ่อนแอ หากมหาเทพโบราณทำเช่นนั้น เขาย่อมทำได้ ตราบเท่าที่พวกเขาตรากฎก็ย่อมทำได้ แต่ไม่มีพวกเขาคนใดที่ทำเช่นนั้น...” คำพูดของเทพีเสรีภาพทำให้เด็กหนุ่มจากโลกอื่นตกใจอีกครั้ง
“เมื่อเป็นอย่างนี้ทำไมท่านต้องทำให้คนอื่นโดยไม่มีเงื่อนไขเล่า?”เย่ว์หยางต้องการค้นหาคำตอบจากปัญหา
“เพราะข้าไม่ใช่เทพเจ้าโบราณข้าไม่ได้ยืนอยู่ในจุดสูงและห่างไกลเพื่อมองดูปัญหาเมื่อข้ารู้สึกว่าคนรอบตัวข้าเจ็บปวด ข้าอดจะสงสารไม่ได้ ข้าไม่มีความยินดีใจของข้ารู้สึกเศร้าและเจ็บปวดไปกับคนอื่น เป็นเรื่องโชคร้ายที่เห็นคนรอบตัวต้องทนทุกข์ทรมานและข้าช่วยไม่ได้แต่เมื่อเห็นพวกเขากระตือรือร้นจะช่วยเหลือ...บางครั้งข้าก็รู้สึกว่าตนเองทำบางอย่างผิด แต่ไม่มีทางอื่น ข้าทำตามแรงบันดาลใจ บางอย่างก็ผิด”เทพีเสรีภาพอธิบาย
“รู้ได้ยังไงว่าท่านทำผิด?บางทีท่านไม่มีความตั้งใจที่จะเคลื่อนไหวแบบนั้น แต่ท่านมีความกรุณาที่คนอื่นไม่มี เต็มใจจะช่วยเหลือผู้ตกยากทนทุกข์ขณะที่ท่านเข้าใจความเป็นจริงของชีวิต ข้าไม่รู้จะพูดยังไง บางทีการกระทำเช่นนี้ก็เป็นการแสดงเจตจำนงโลกอย่างหนึ่งโลกต้องการสิ่งมีชีวิตทุกอย่าง ไม่มีแบ่งแยก ไม่ว่าจะเป็นข้าหรือคนใจดีอย่างท่าน” เย่ว์หยางพูดพรรณนาอยู่นานและตอบส่วนที่ตนมั่นใจ
“ข้าน่ะหรือ? ได้ยินเจ้าปลอบโยนข้าอย่างนี้แล้ว รู้สึกอุ่นใจอย่างไม่มีเคยมีมาก่อน” เทพีเสรีภาพยิ้มใบหน้านางมีประกายราศีเพราะเป็นรอยยิ้มที่ออกมาจากก้นบึ้งหัวใจ
“ท่านเคยคิดถึงเรื่องความตายบ้างไหม?” เย่ว์หยางลังเลเล็กน้อยและถามในที่สุด
“ปัญหาเรื่องนี้ บางครั้งข้าก็คิดแม้ว่าตราบใดที่พลังเทพยังไม่เหือดแห้งไป ข้าจะยังไม่ตาย แต่เจ้าก็รู้เรื่องนั้น สักวันชีวิตของข้าจะต้องเดินทางมาถึงจุดสิ้นสุด
“ข้าไม่กลัวตาย ความจริงข้าอยากมีชีวิตมากกว่าตาย ความตายยากจะทำให้ข้าคลายใจ”เทพีเสรีภาพย้อนถาม “แล้วเจ้าคิดเรื่องความตายบ้างไหม?”
“ไม่, ข้ากลัวตาย ก็เลยพยายามไม่คิดและตราบเท่าที่ข้าอยู่ได้ทั้งวัน ข้าก็จะมีชีวิตต่อไป ฮ่าฮ่า” เย่ว์หยางหัวเราะ
“เจ้าช่างมีอารมณ์ขันจริงนะทั้งที่คำพูดของเจ้าไม่เป็นความจริงฮ่าฮ่า” เทพีเสรีภาพดูเหมือนจะมองความคิดของเย่ว์หยางออก
“อะแฮ่ม, ข้าเป็นปุถุชน ย่อมต้องกลัวตายเป็นธรรมดา...” เย่ว์หยางเขินเล็กน้อยทำให้คนที่เห็นอดรู้สึกขันไม่ได้เปลี่ยนเป็นคนอื่นเย่ว์หยางอาจให้คำตอบตรงกันข้ามราวกับฟ้าและเหว แต่กับเทพีเสรีภาพผู้มีหัวใจเปิดกว้างอยู่เสมอเขามิอาจตัดใจพูดเหลวไหล
“บางทีตอนเริ่มแรกของชีวิต เจ้าอาจจะกลัวตายนั่นเป็นเรื่องปกติของสรรพชีวิต แต่วันนี้เจ้าไม่ต้องเป็นอย่างนั้น เจ้ามีปณิธานและพลังเทพเจ้าคงไม่คิดเรื่องอย่างนี้มานานแล้ว ถึงข้ามองไม่เห็นความจริงในตัวเจ้าได้แต่ข้ารู้สึกได้เลือนราง เจ้าอยู่เหนือโลกทั้งมวลในอนาคตเจ้าอาจจะสร้างโลกของเจ้าเองก็ยังได้....อย่างเจ้าจะกลัวตายได้อย่างไร?เจ้าเพียงแต่สงสารเห็นใจชีวิตของข้า เพราะการปรากฏตัวของข้าไปสัมผัสหัวใจที่ปกปิดของเจ้าจริงไหม? แม้โดยผิวเผินเจ้าจะปฏิเสธจะยอมรับก็ตาม แต่ข้ารู้สึกมีความสุขใจมาก ที่สำคัญคือมีบางคนที่ยังห่วงใยข้า!” เทพีเสรีภาพลอยตัวขึ้นและยกมือเล็กน้อยให้เย่ว์หยาง
“ท่านต้องการดำเนินชีวิตต่อไปอย่างนี้หรือ?”เย่ว์หยางตัดสินใจถามคำถามสุดท้าย
“ข้าไม่ทราบ! แต่คนอย่างข้าถ้าไม่ทำอย่างนี้แล้วจะทำอะไรได้? เจ้ามีเป้าหมายที่เด่นชัด แต่ข้าขอบอกโดยไม่กลัวเจ้าหัวเราะเยาะ ข้าเองก็ไม่มีเป้าหมายในชีวิต ถ้าข้าไม่ทำอะไรเลยข้าจะรู้สึกสับสน” นี่เป็นครั้งแรกที่เทพีเสรีภาพแสดงอากัปกิริยาเหมือนกุลธิดาในตระกูลไม่ใช่ในฐานะของเทพีเสรีภาพ เป็นอาการของหญิงสาวที่รู้สึกสับสน
“ข้าเข้าใจ” เย่ว์หยางยังคงมีใบหน้าที่ยิ้ม สีหน้าอารมณ์สับสนอย่างนี้ทำให้นางดูน่ารักจริงๆ เขาพยายามข่มความรู้สึกอยากเข้าไปหยิกแก้มนางเขาโบกมือให้นางแล้วเดินไปที่ห้องโถง
“เป็นคนที่แปลกจริงๆ... แม้จะดูน่าอึดอัดใจแต่ก็เป็นคนน่าเชื่อถือ”
เทพีเสรีภาพลูบแก้มซ้ายของนาง
ลักษณะท่าทางของนางราวกับว่าถูกเย่ว์หยางยื่นมือเข้ามาหยิกแก้มแล้ว
เย่ว์หยางไปที่ห้องด้านหน้ามองดูรอบๆเพื่อหาตัวหมิงลี่ฮ่าว เขาพบว่าเจ้าผู้นี้นอนหลับเป็นตายอยู่ในห้อง อดฉุนเฉียวไม่ได้เขาเตะที่ประตู
หมิงลี่ฮ่าวลืมตามองดูเย่ว์หยางไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี นี่เขาไปยั่วโมโหเจ้าเด็กนี่ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเย่ว์หยางถลึงตามองเขาจนเขารู้สึกเหมือนเป็นคนผิด “ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นข้าเชื่อว่าไม่มีอะไรเกี่ยวกับข้า ข้าแค่กำลังหลับ!”
เย่ว์หยางแค่นเสียงเย็นชา “สาวงามจูกวงก็คือสาวใช้ที่หลบหนีมาจากตระกูลของเจ้า ไม่จำเป็นต้องบอกแต่ท่าทางของเจ้ามันฟ้อง ต่อให้เป็นคนตาบอดก็รู้ ตอนนี้ข้าอยากจะรู้ เจ้ามีความสัมพันธ์ใดกับนาง? อย่าบอกข้านะว่านางเป็นแค่สาวใช้ธรรมดานางมีลูกปัดอธิษฐานของวิเศษระดับกึ่งเทพอยู่กับตัว อย่ามาใช้คำพูดหลอกเด็กกับข้าว่าเป็นสัมพันธ์เจ้านายกับสาวใช้ธรรมดา นี่เจ้ามาไกลเป็นหมื่นๆ ลี้เพื่ออะไรกัน? นอกจากนี้เจ้าเห็นนางแล้วทำไมไม่เข้าไปจับนางโดยตรงแต่เจ้ากลับซ่อนตัวทำไม?”
หมิงลี่ฮ่าวเถียง “ข้าจะมาหาคัมภีร์เทพบ้างไม่ได้หรือยังไง? ไม่ใช่แค่มาจับสาวใช้?”
เย่ว์หยางชูนิ้วกลางให้เขาสองนิ้ว “เจ้านึกว่าคนที่มีสติปัญญาปกติจะยอมเชื่อคำแก้ตัวของเจ้าหรือ?อย่าว่าแต่สมองของข้า มากกว่าของเจ้าถึงสองเท่า รู้ไว้ด้วย!”
หมิงลี่ฮ่าวโมโหกับคำอวดอ้าง สมองเจ้ามากกว่าข้าสองเท่าหรือ?
เจ้าเป็นคนฉลาดแน่นอนแต่ก็ไม่มีใครโง่เช่นกัน เด็กน้อยเจ้าจะกวนโมโหข้าจนคลั่งใจตายอย่างนั้นหรือ?
เขาพยายามถลึงตามองตอบโต้ แต่เย่ว์หยางทิ้งประโยคเด็ด“ถ้าเจ้าไม่ตอบคำถามแต่โดยดี เราคุณชายจะพาพวกพ้องกลับหอทงเทียนแล้วทำลืมไปซะว่ามีเรื่องสำคัญที่ยังไม่ได้ทำ ปล่อยให้เจ้าจัดการเรื่องยุ่งเหยิงนี้เอาเอง”
หมิงลี่ฮ่าวจะยอมรับเขาได้อย่างไร?เจอหน้ากับเจ้าเด็กหน้าด้าน เขาต้องยอมรับว่าเป็นคราวเคราะห์ “ลืมไปแล้วหรือยังไงข้าบอกไปแล้วว่าความจริงสาวงามจูกวงเป็นหญิงรับใช้คนสำคัญที่รับใช้ใกล้น้องสาวของข้าในช่วงทำสงครามกับจักรพรรดิอวี้ นางรับหน้าที่กลับไปขอกำลังเสริมแต่กำลังเสริมก็ไม่มา จักรพรรดิอวี้นักรบผู้แข็งแกร่งปรากฏตัวเข้าโจมตีอย่างไม่คาดฝันในการรบครั้งต่อมาเขาใช้ของวิเศษสามอย่างกักขังเราไว้ในวิหารจักรพรรดิอวี้ เจ้าบอกข้าทีจะให้ข้าจับจูกวงผู้อาจจะสมคบคิดกับตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์ได้หรือไม่?”
เย่ว์หยางปรบมือ “ดี แก้ตัวได้ดี ข้าจะไปคาดเดาได้ยังไง ข้าเพียงสงสัยว่าสาวงามจูกวงเป็นคนรักน้อยของเจ้าหรืออะไรทำนองนั้น เจ้าส่งสาวใช้ที่ไม่น่าไว้วางใจกลับมาขอกำลังเสริมหรือ? นอกจากนี้ความสัมพันธ์ระหว่างบุพการีกับลูกหลานความสัมพันธ์ระหว่างหญิงชู้และหญิงนอกใจแข็งแกร่งที่สุด เจ้าไม่ต้องพูดเล่นลิ้นต่อไปแล้ว ข้าไม่ใช่คนตาบอด ไม่ใช่คนโง่จูกวงเป็นคนรักของเจ้า และข้าก็ไม่สนใจเรื่องนั้นแต่ลูกปัดอธิษฐาน ของวิเศษระดับกึ่งเทพที่ประดับหน้าผากนาง ข้าขอ, จะเอาไว้เป็นสินสอดทองหมั้นตอนข้าไปสู่ขอแต่งงานกับหมิงเยี่ยกวง!”
“ทำไมเจ้าไม่ฉกเอาเองเล่า?” หมิงลี่ฮ่าวโมโหจัดจนแทบกระอักโลหิต เขาไม่เคยเห็นคนอย่างนี้มาก่อนในชีวิต เจ้าเด็กนี่หน้าด้านขนาดนี้ รอดพ้นจากการถูกสวรรค์ลงโทษมาได้ยังไง?
…………,