ตอนที่แล้วบทที่ 12: ร้านขายของชำ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 14: ถอยห่างและรวมตัว

บทที่ 13: ร้านอาวุธและการซุ่มโจมตี


ในห้องพักของโรงแรมถังเจิ้นพูดคุยกับเฉียนหลง

เฉียนหลงเล่าให้ฟังว่าตัวเองนั้นยุ่งอยู่กับการขายอาหารที่ถังเจิ้นให้มาตลอด 2 วันมานี้  หลังจากลองหาดูจนทั่วแล้วสุดท้ายก็ตัดสินใจขายอาหาร ‘ประณีต’ เหล่านี้ให้กับร้านขายของชำแห่งนั้นเนื่องจากราคาที่ทางนั้นเสนอให้สูงที่สุด

เป็นผลให้ธัญพืชและน้ำมันของถังเจิ้นซึ่งมีมูลค่าไม่มากในโลกเดิมกลับขายได้ราคาดีในโลกอื่น  และที่แพงที่สุดเลยก็คือเครื่องปรุงรส

สำหรับชาวพื้นเมืองของต่างโลกแล้วอาหารที่ปรุงด้วยเครื่องปรุงรสเหล่านี้คือโคตรอร่อย

เฉียนหลงพูดไปพลางส่งลูกปัดสมองให้ถังเจิ้นไปพลาง

ถังเจิ้นเอามา 100 เม็ดแล้วที่เหลือให้เฉียนหลงไป  ทว่าฝ่ายนั้นก็ปฏิเสธ  กระนั้นถังเจิ้นก็ยังยัดเยียดให้ไป  เพราะสิ่งที่เขาสนใจไม่ใช่ลูกปัดสมองแค่นี้แต่เป็นตัวเฉียนหลงเองต่างหาก

เฉียนหลงรับลูกปัดสมองมาอย่างไม่เต็มใจและบอกว่าเขาชื่นชอบอุปกรณ์ชิ้นหนึ่ง  ตอนนี้มีลูกปัดสมองแล้วเดี๋ยวจะไปซื้อที่ร้านอาวุธทีหลัง

ถังเจิ้นกล่าวว่า “จะว่าไปมันก็ว่างไม่มีไรทำอยู่แล้ว  ลองไปส่องร้านอาวุธในเมืองดูปะ?”

ที่พูดแบบนั้นไม่ใช่เพราะอยากจะไปซื้อ  แต่จะไปส่องราคาตลาด  เพราะที่โลกนี้ราคาอาวุธคือโคตรแพง  ดังนั้นถ้าจะบอกว่าเขาไม่โดนมันดึงดูดใจเลยก็เป็นการโกหก  และตอนนี้ก็เป็นโอกาสดีที่จะไปหาส่อง

เฉียนหลงนั้นรอไม่ไหวแล้วจึงออกเดินทางทันที

หลังจากที่ทั้งสองเดินออกจากโรงแรมแล้วก็เดินตรงไปตามถนนที่ขวักไขว่  และไม่นานก็มาถึงร้านขายอาวุธที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับร้านขายของชำ

ชื่อของร้านอาวุธคือเตาเฟิงซึ่งเขียนด้วยตัวอักษรหน้าตาประหลาด ๆ ที่เฉียนหลงเองก็ไม่รู้จัก  ส่วนชื่อที่ว่าก็คนเขาเรียกกันแบบนั้นเลยเรียกตาม

ถังเจิ้นจำได้ว่ามีแอปแปลภาษาและข้อความอัตโนมัติในแอปสโตร์ของมือถือกลายพันธุ์ด้วย  ส่วนค่าโหลดคือ 10,000 เหรียญทอง  และเขาก็วางแผนว่ารอมีเงินพอเมื่อไหร่จะลองโหลดมาเล่นดู

ร้านขายอาวุธหันหน้าเข้าหาถนน  ดูจากภายนอกเห็นมีชั้นวางอาวุธที่ทำจากไม้หลายแถว  มีทั้งมีดทั้งดาบและอาวุธอื่น ๆ อีกมากมายแขวนอยู่โดยส่วนคมของมันเมื่อต้องแสงแดดแล้วจะสะท้อนแสงเย็น ๆ เยียบ ๆ ออกมา

บนโครงไม้ด้านในมีอุปกรณ์เซฟตี้กับชุดเกราะแบบต่าง ๆ แต่ข้อเสียคือมันขี้เหร่แถมงานยังหยาบด้วย

ในส่วนด้านในสุดของร้านขายอาวุธถังเจิ้นยังเห็นหั่วฉง (ปืนใหญ่มือ) วางโชว์อยู่หลายกระบอก  และที่เคาน์เตอร์มีกริชกับปืนฟลินต์ล็อก

พอเล็ง ๆ ดูอาวุธเหล่านี้ดี ๆ แล้ว  ใบมีดมีความคม  น้ำหนักปานกลาง  คุณภาพไม่แย่

เมื่อเห็นความสนใจของถังเจิ้น  เฉียนหลงจึงกล่าวว่า “อาวุธเหล่านี้เป็นอาวุธธรรมดา  แต่ราคาไม่ต่ำ  ผู้พเนจรธรรมดาซื้อไม่ได้เลย”

ถังเจิ้นได้ยินก็ตีความหมายจากนั้นจึงถามว่า “แปลว่าของพวกนี้ไม่ดีงั้นเหรอ  แปลว่าตามความเห็นนายมีของที่ดีกว่านี้”

“มีแน่นอน  เป็นของที่ผู้พเนจรธรรมดาอย่างเรา ๆ เข้าไม่ถึง”

เฉียนหลงพูดต่ออย่างฉะฉาน “อาวุธชนิดนั้นเรียกว่าอาวุธเวทมนตร์  แบ่งออกเป็นเก้าดาว  วัสดุที่ใช้ในการตีก็ล้ำค่าหายาก  มันมีความสามารถแปลก ๆ ด้วยซึ่งช่างฝีมือเรียกความสามารถนั่นว่าคุณสมบัติ  ราคาของมันนี่เกินจะนับแต่ก็ถือเป็นตราสัญลักษณ์ของพลังอำนาจอันแข็งแกร่งไปในตัวด้วย”

ทั้งสองเดินคุยกันไปพลางเข้าไปในร้านอาวุธ

เมื่อชะเง้อมองรอบ ๆ จะเห็นว่าหลังร้านมีช่างตีเหล็กหลายคำกำลังหวดค้อนจนเหงื่อท่วมอยู่หน้าเตาพยายามขึ้นรูปเหล็กสีแดงฉานให้กลายเป็นดาบ

มีคนอีกสิบกว่าคนคอยซับพอร์ทกันให้วุ่น

ภายในร้านแน่นอนว่ามีอาวุธอยู่อีก  แต่เมื่อเทียบกับพวกข้างนอกแล้วอาวุธเหล่านี้ดูจะซับซ้อนประณีตกว่ามาก

ถังเจิ้นหยิบดาบเรียวยาวเล่มหนึ่งออกมาดู  ตัวใบดาบมีความยาวประมาณ 90 เซนติเมตร  ทั้งด้ามทั้งฝักทำออกมาได้อย่างประณีต  มีความเงาขนาดที่สามารถใช้แทนกระจกได้เลย  เวลากวัดแกว่งรู้สึกลื่นไหลไม่ติดขัด  แสงสะท้อนจากคมดาบดูเย็นเยียบอย่างมาก

ถังเจิ้นถูกใจดาบเล่มนี้เลยถามพนักงานว่าราคาเท่าไหร่  คำตอบคือลูกปัดสมองสีขาว 280 เม็ด

เมื่อได้ยินราคานี้ถังเจิ้นก็แอบตะลึง

แม้ลูกปัดสมองจะเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับตัวเขา  แต่อาวุธดี ๆ ไว้ป้องกันตัวก็สำคัญเหมือนกัน  ซึ่งก็เอาตรง ๆ คือสำหรับเขาลูกปัดสมองนั้นมูลค่าสูงกว่า  เขาเลยได้แต่วางมันลงพร้อมกับถอนหายใจ

จากนั้นก็หันไปมองเฉียนหลง  หมอนี่กำลังเล่นสนุกกับธนูสั้นคันหนึ่งซึ่งดูท่าจะถูกใจมันไม่น้อย

ตัวคันธนูนี้ไม่รู้เหมือนกันว่าทำจากวัสดุชนิดใด  มีสีแดงอมม่วง  พื้นผิวปกคลุมหนาแน่นไปด้วยเส้นสีเขียวคล้ายเส้นเลือดหรือเส้นประสาท  สายธนูเป็นสีดำและดูเหมือนจะมีความยืดหยุ่นที่ดีมากและไม่บาดมือด้วย

เฉียนหลงพยายามน้าวสายแต่ก็ดูจะยากเย็นอยู่เหมือนกัน  ท่าทางน้ำหนักของมันจะไม่ธรรมดา

ถังเจิ้นยิ้มเมื่อได้เห็น  กลายเป็นว่าเจ้าหมอนี่อยากได้ธนูนี่เอง!

และถังเจิ้นก็ยังบังเอิญมีคันธนูกับลูกธนูอยู่ชุดหนึ่งในช่องเก็บของด้วย!  แม้จะไม่กล้าพูดว่าเป็นของดีกว่าที่เขากำลังเล่นอยู่ก็เถอะ  แต่อย่างน้อยก็กล้าพูดได้เลยว่าประหยัดลูกปัดสมองไปได้เป็นกะละมัง  ดูจากหน้าตาของมันก็รู้ว่าธนูสั้นนั่นต้องแพงโคตร ๆ และเดาว่าเฉียนหลงคงมาที่นี่เพราะเสพติดมันเข้าแล้ว

‘เด๋วค่อยเอาให้เฉียนหลงซักชุดแล้วกัน  ส่วนของตัวเองเด๋วกลับไปค่อยซื้อใหม่ซักสองสามชุดเผื่อเหลือเผื่อขาด  ยามฉุกเฉินเมื่อไหร่ก็ค่อยเอาออกมาใช้’

เมื่อตัดสินใจได้แล้วเขาก็ไปลากคอเฉียนหลงออกจากร้าน  ซึ่งเจ้าตัวก็ไม่เต็มใจจะตีจากจากของรัก  แต่พอบอกว่า ‘เด๋วเอาให้ชุดนึงหน่า’ ก็เลยยอม

ดวงตาของเฉียนหลงเป็นประกายเมื่อได้ยินที่ถังเจิ้ยพูด  แต่ก็ยังไม่เชื่ออยู่ดี  กระนั้นก็ยังเดินออกจากร้านขายอาวุธอย่างเชื่อฟัง

เมื่อเดินผ่านแผงลอยริมถนนถังเจิ้นก็ใช้ลูกปัดสมองบางส่วนและซื้อเครื่องประดับทุกชิ้นที่ตัดสินใจว่าจะมาซื้อทีหลังก่อนหน้านี้  จากนั้นก็แอบเอาเก็บใส่ช่องเก็บของโดยไม่ให้ใครเห็น

หลังจากกลับถึงโรงแรมถังเจิ้นเล่าเรื่องพี่น้องมู่หรงให้เฉียนหลงฟังก่อน  จากนั้นก็ต่อด้วยเรื่องที่เขาอยากสร้างโหลวเฉิง!

เฉียนหลงที่ได้ยินก็นิ่งอึ้งกับความคิดนี้  อย่าว่าแต่สร้างโหลวเฉิงเองเลย  แค่การเข้าเป็นผู้อยู่อาศัยของโหลวเฉิงก็เป็นเรื่องที่โคตรยากแล้ว  นี่ถังเจิ้นยังนอนไม่ตื่นเหรอ?

“นาย...  แน่ใจนะ...  ที่ว่าจะ...  สร้างโหลวเฉิงน่ะ...  จริงดิ?”

เฉียนหลงถามตะกุกตะกักโดยดวงตายังจับจ้องที่ถังเจิ้นเขม็ง

“อือ  เอาจริงเลย  ถ้าเป้าหมายนี้ยังไม่สำเร็จฉันไม่ยอมหยุดกลางคันแน่นอน  ว่าไงเพื่อน!  สนใจมาร่วมทำฝันนี้ให้สำเร็จด้วยกันมั้ย?”

เฉียนหลงเอามือกุมหัวแบบปวดตึบแล้วพึมพำด้วยน้ำเสียงเย้ย ๆ เหมือนคนบ้า “เหอะ ๆ ฉันว่านายต้องบ้าไปแล้วชัวร์ป้าบ  แต่ไม่รู้ทำไมถึงอยากลองด้วยวะเรา”

“อย่ามัวแต่เพ้อ  เอาไม่เอาก็ว่ามา”

“เวรเอ๊ย  ถ้าสร้างโหลวเฉิงล้มเหลวหนักสุดก็ไม่เกินตายวะ  มา!  บิดาเอาด้วยโว่ย!”

“อย่าพูดให้จิตตกสิวะ  เอาจริง ๆ คือฉันกะจะสร้างโหลวเฉิงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกแล้วถล่มโหลวเฉิงของไอ้พวกต่างเผ่าพันธุ์ให้เหี้ยนเต้!”

เฉียนหลงกลอกตามองบนเมื่อได้ยิน “ถล่มโหลวเฉิงของไอ้พวกต่างเผ่าพันธุ์  เหอะ ๆ...  นายคงไม่เคยเห็นล่ะซี่  ความน่ากลัวของพวกเวรนั่นน่ะ  ตอนนี้ฉันว่าฉันคิดถูกและ  นายนี่มันบ้าไปแล้วจริง ๆ ด้วย...”

แม้ว่าจะรู้สึกเหมือนว่าถังเจิ้นกำลังเล่นกับไฟ  แต่ตอนนี้เขาก็ได้เข้าร่วมแผนการสร้างเมืองของถังเจิ้นไปแล้ว  ทำให้เฉียนหลงต้องจริงจังกับเรื่องนี้โดยไม่อาจเหลาะแหละ

ทั้งสองเริ่มปรึกษาหารือกันถึงวิธีการหาศิลาเสาเอก  สถานที่ที่จะสร้างโหลวเฉิง  วิธีหาวัสดุที่จำเป็นในการสร้าง  และวิธีต้านทานการโจมตีของมอนสเตอร์หลังจากสร้างเสร็จ

เรื่องนี้ถ้าไม่คุยไม่ทำก็ไม่รู้  ถังเจิ้นได้รู้ว่าถ้าจะสร้างโหลวเฉิงมันต้องมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องทำ  และมีหลายด้านที่เขาขาด  ทำให้เขารู้แล้วว่าแต่เดิมความคิดของตนนั้นดูจะเรียบง่ายเกินไป

ทว่าก็ยังโชคดีที่ตอนนี้มีแผนเบื้องต้นแล้ว  ซึ่งทั้งสองต้องทำตามแผนที่คุยกันไว้

การสร้างโหลวเฉิงไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ ดังนั้นจึงต้องรักษาความลับให้ดีในช่วงแรก ๆ ไม่อย่างนั้นหากมีอะไรผิดพลาดล่ะก็จะมีปัญหาตามมาเป็นพรวน  และเมืองผู้พเนจรแห่งนี้ก็ไม่ค่อยจะปลอดภัยต่อการดำเนินแผนการ  ดังนั้นทั้งคู่กับพี่น้องมู่หรงจึงต้องหาที่กบดานใหม่โดยเร็วที่สุด

แต่จะว่าไปการอยู่ที่เมืองแห่งนี้ก็ใช่ว่าจะไม่ดีไปซะหมด  ยังมีข้อดีด้านการหาข่าว  การซื้อขายแลกเปลี่ยน  การป้องกันมอนสเตอร์  แถมยังอยู่ใกล้ ๆ กับโหลวเฉิงซึ่งจะมีกองคาราวานเข้ามาทำการค้าขายในเมืองนี้เป็นระยะ ๆ ด้วย

ถังเจิ้นยังอยากจะหาโอกาสเข้าไปตรวจสอบภายในโหลวเฉิงอยู่เหมือนกัน

แม้ว่าโรงงานที่พี่น้องมู่หรงอาศัยอยู่ตอนนี้จะสามารถรองรับพวกเธอได้ก็ตาม  แต่ถังเจิ้นก็กลัวว่าจะมีมอนสเตอร์เก่ง ๆ มาเจอแล้วกลืนพี่น้องคู่นั้นไปซะก่อน!

หลังจากถามเฉียนหลงว่ามีสถานที่เหมาะ ๆ จะใช้สร้างโหลวเฉิงบ้างมั้ยแล้วก็ได้คำตอบว่าพอจะมีที่ดี ๆ ซ่อนอยู่เหมือนกัน  เห็นว่าง่ายต่อการป้องกัน  ยากต่อการถูกโจมตีและยังไม่ไกลจากที่นี่ด้วย

สถานที่นั้นครั้งหนึ่งเคยเป็นค่ายพักของแก็งก์ผู้พเนจรกองโจรจำนวนเป็นร้อย  ผู้พเนจรคนอื่น ๆ ที่รู้เรื่องพวกมันก็จงใจหลีกเลี่ยงที่นั่น

ต่อมาได้ยินว่ากองโจรนั่นดวงกุดถูกมอนสเตอร์ที่แข็งแกร่งมากผ่านทางมาพอดีกำจัดจนเกลี้ยงและสุดท้ายหุบเขาแห่งนั้นก็ว่างเปล่าตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

เฉียนหลงไปเจอที่ตั้งค่ายดังกล่าวเข้าโดยบังเอิญครั้งหนึ่ง  เขาพยายามจะหาอะไรที่มีประโยชน์ทว่าก็น่าเสียดายที่โดนผู้พเนจรรายอื่นที่มาก่อนยกเค้าไปจนเกลี้ยงแล้ว

ในเมื่อรู้ว่ามีที่เหมาะ ๆ แล้วแบบนี้ถังเจิ้นก็อยากหาโอกาสไปตรวจสอบ

กระนั้นภารกิจสำคัญตอนนี้คือย้ายพี่น้องมู่หรงมาที่นี่ก่อนโดยด่วนเพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุไม่คาดฝันใด ๆ ดังนั้นทั้งสองจึงออกเดินทางทันที  ออกจากเมืองผู้พเนจรและตรงไปยังโรงงานร้าง

หลังจากออกจากเมืองได้ไม่นาน

เมื่อทั้งสองเดินผ่านป่าองุ่นแห้งก็มีเสียงนกร้องเจื้อยแจ้วดึงดูดให้ถังเจิ้นเงยหน้าขึ้น  เป็นนกชนิดหนึ่งที่คล้าย ๆ กับนกเขาแต่ดูค่อนข้างอ้วน

เมื่อมองเห็นต้นไม้ที่เต็มไปด้วยนกถังเจิ้นก็หันกลับมาถามอย่างสบาย  ๆ ว่า “นายเคยบอกว่าตัวเองอยู่อย่างหิวโหยมาก่อน  แล้วปกติไม่ได้ล่านกพวกนี้มากินเหรอ?”

เฉียนหลงส่ายหัว “แล้วใช้ไรล่าล่ะ?  คันธนูกับลูกธนู?  ฉันไม่มีซักอย่าง”

“อ่าว  แล้วมันทำเองไม่ได้เหรอของพวกนั้น?”

ถังเจิ้นถามกลับ

เฉียนหลงส่ายหัวอีก “คันธนูกับลูกธนูที่ฉันทำมันใช้ไม่ได้เลย  ระยะยิงสั้นเกิน  พลังก็น้อยเกิน”

ถังเจิ้นพยักหน้ารับรู้  ดูเหมือนเขาจะเคยอ่านผ่าน ๆ ตามาบ้างว่าคันธนูที่แท้ทรูนั้นทำขึ้นมาอย่างซับซ้อน  ไม่ใช่แค่เอาไม้ไผ่มาผูกเชือกก็จบตามรูปลักษณ์ภายนอกที่เห็น ๆ กัน  แม้โลกนี้จะมีคันธนูกับลูกธนูรูปแบบอังกฤษด้วยก็ตาม  แต่ดูเหมือนจะไม่มีไม้ชนิดใดที่เหมาะแก่การทำคันธนู  พืชพรรณต่าง ๆ ที่เคยเห็นในแดนทุรกันดารแห่งนี้ส่วนใหญ่เป็นวัชพืชกับเถาวัลย์แปลก ๆ ซะมากกว่า  ทว่าพวกต้นไม้นี่ไม่เคยเห็นเลย

การเดินเงียบ ๆ มันน่าเบื่อเกินไปถังเจิ้นเลยชวนคุยต่อ “ถ้าไม่มีธนูงั้นนายใช้กับดักไม่ก็หนังสติ๊กไม่เป็นเหรอ”

“กับดักน่ะมีคนมาวางตลอดแหล่ะ  ไอ้นกพวกนี้มันก็ดันฉลาดขึ้นเลยไม่ค่อยจะโดนหลอกกันได้ง่าย ๆ แต่ไอ้หนังสติ๊กที่นายว่ามันคือไรอะ?” เฉียนหลงถามอย่างสงสัย

“ใช่ธนูชนิดนึงปะ?”

ถังเจิ้นตะลึง “หนังสติ๊กก็คือหนังสติ๊กไงไม่รู้จักเหรอ?”

เฉียนหลงส่ายหัวงง ๆ บ่งบอกว่าไม่รู้จักจริง ๆ!

เห็นคำตอบแบบนี้ถังเจิ้นก็ส่ายหัวและเตือนตัวเองอีกรอบว่าที่นี่มันต่างโลกนาเว่ย  จะเอาสามัญสำนึกจากโลกเดิมมาตัดสินโลกนี้ไม่ได้!

เมื่อคิดได้แบบนั้นแล้วถังเจิ้นก็บอกว่าเดี๋ยวคราวหลังจะหามาให้ดูซักอันจากนั้นก็เลิกคุยเรื่องหนังสติ๊กต่อ

ทั้งสองพึ่งจะเดินไปไม่ไกลในตรอกที่ปกคลุมด้วยหญ้ารก ๆ แต่เฉียนหลงคว้าเสื้อของถังเจิ้นด้วยท่าทางเคร่งเครียดและกระซิบเบา ๆ “ระวัง  มีคนดักปล้นเรา  เตรียมตัวให้พร้อม!”

หัวใจของถังเจิ้นสั่นไหวและมองไปรอบ ๆ อย่างสงบแต่ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติ  กระนั้นเขาก็ยังเชื่อในสัญชาติญาณที่ลับมาอย่างคมกริบแล้วของเฉียนหลงซึ่งผ่านการต่อสู้เป็นตายมาอย่างยาวนานนับครั้งไม่ถ้วน

เขาเปิดแมปดูและเห็นว่ามีคนจำนวนมากซ่อนอยู่ในพงหญ้าใกล้ ๆ ซึ่งตีวงล้อมทั้งคู่ไปแล้วเรียบร้อย

เมื่อเห็นฉากนี้ถังเจิ้นก็เหงื่อแตก

‘ดูท่าเราจะยังประมาทอยู่ดีสินะ!’

และในจังหวะนี้เองได้มีลูกธนูสองดอกยิงออกมาจากพงหญ้าโดยเล็งเข้าที่จุดสำคัญของทั้งสองคน!

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด