บทที่ 13: ร้านอาวุธและการซุ่มโจมตี
ในห้องพักของโรงแรมถังเจิ้นพูดคุยกับเฉียนหลง
เฉียนหลงเล่าให้ฟังว่าตัวเองนั้นยุ่งอยู่กับการขายอาหารที่ถังเจิ้นให้มาตลอด 2 วันมานี้ หลังจากลองหาดูจนทั่วแล้วสุดท้ายก็ตัดสินใจขายอาหาร ‘ประณีต’ เหล่านี้ให้กับร้านขายของชำแห่งนั้นเนื่องจากราคาที่ทางนั้นเสนอให้สูงที่สุด
เป็นผลให้ธัญพืชและน้ำมันของถังเจิ้นซึ่งมีมูลค่าไม่มากในโลกเดิมกลับขายได้ราคาดีในโลกอื่น และที่แพงที่สุดเลยก็คือเครื่องปรุงรส
สำหรับชาวพื้นเมืองของต่างโลกแล้วอาหารที่ปรุงด้วยเครื่องปรุงรสเหล่านี้คือโคตรอร่อย
เฉียนหลงพูดไปพลางส่งลูกปัดสมองให้ถังเจิ้นไปพลาง
ถังเจิ้นเอามา 100 เม็ดแล้วที่เหลือให้เฉียนหลงไป ทว่าฝ่ายนั้นก็ปฏิเสธ กระนั้นถังเจิ้นก็ยังยัดเยียดให้ไป เพราะสิ่งที่เขาสนใจไม่ใช่ลูกปัดสมองแค่นี้แต่เป็นตัวเฉียนหลงเองต่างหาก
เฉียนหลงรับลูกปัดสมองมาอย่างไม่เต็มใจและบอกว่าเขาชื่นชอบอุปกรณ์ชิ้นหนึ่ง ตอนนี้มีลูกปัดสมองแล้วเดี๋ยวจะไปซื้อที่ร้านอาวุธทีหลัง
ถังเจิ้นกล่าวว่า “จะว่าไปมันก็ว่างไม่มีไรทำอยู่แล้ว ลองไปส่องร้านอาวุธในเมืองดูปะ?”
ที่พูดแบบนั้นไม่ใช่เพราะอยากจะไปซื้อ แต่จะไปส่องราคาตลาด เพราะที่โลกนี้ราคาอาวุธคือโคตรแพง ดังนั้นถ้าจะบอกว่าเขาไม่โดนมันดึงดูดใจเลยก็เป็นการโกหก และตอนนี้ก็เป็นโอกาสดีที่จะไปหาส่อง
เฉียนหลงนั้นรอไม่ไหวแล้วจึงออกเดินทางทันที
หลังจากที่ทั้งสองเดินออกจากโรงแรมแล้วก็เดินตรงไปตามถนนที่ขวักไขว่ และไม่นานก็มาถึงร้านขายอาวุธที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับร้านขายของชำ
ชื่อของร้านอาวุธคือเตาเฟิงซึ่งเขียนด้วยตัวอักษรหน้าตาประหลาด ๆ ที่เฉียนหลงเองก็ไม่รู้จัก ส่วนชื่อที่ว่าก็คนเขาเรียกกันแบบนั้นเลยเรียกตาม
ถังเจิ้นจำได้ว่ามีแอปแปลภาษาและข้อความอัตโนมัติในแอปสโตร์ของมือถือกลายพันธุ์ด้วย ส่วนค่าโหลดคือ 10,000 เหรียญทอง และเขาก็วางแผนว่ารอมีเงินพอเมื่อไหร่จะลองโหลดมาเล่นดู
ร้านขายอาวุธหันหน้าเข้าหาถนน ดูจากภายนอกเห็นมีชั้นวางอาวุธที่ทำจากไม้หลายแถว มีทั้งมีดทั้งดาบและอาวุธอื่น ๆ อีกมากมายแขวนอยู่โดยส่วนคมของมันเมื่อต้องแสงแดดแล้วจะสะท้อนแสงเย็น ๆ เยียบ ๆ ออกมา
บนโครงไม้ด้านในมีอุปกรณ์เซฟตี้กับชุดเกราะแบบต่าง ๆ แต่ข้อเสียคือมันขี้เหร่แถมงานยังหยาบด้วย
ในส่วนด้านในสุดของร้านขายอาวุธถังเจิ้นยังเห็นหั่วฉง (ปืนใหญ่มือ) วางโชว์อยู่หลายกระบอก และที่เคาน์เตอร์มีกริชกับปืนฟลินต์ล็อก
พอเล็ง ๆ ดูอาวุธเหล่านี้ดี ๆ แล้ว ใบมีดมีความคม น้ำหนักปานกลาง คุณภาพไม่แย่
เมื่อเห็นความสนใจของถังเจิ้น เฉียนหลงจึงกล่าวว่า “อาวุธเหล่านี้เป็นอาวุธธรรมดา แต่ราคาไม่ต่ำ ผู้พเนจรธรรมดาซื้อไม่ได้เลย”
ถังเจิ้นได้ยินก็ตีความหมายจากนั้นจึงถามว่า “แปลว่าของพวกนี้ไม่ดีงั้นเหรอ แปลว่าตามความเห็นนายมีของที่ดีกว่านี้”
“มีแน่นอน เป็นของที่ผู้พเนจรธรรมดาอย่างเรา ๆ เข้าไม่ถึง”
เฉียนหลงพูดต่ออย่างฉะฉาน “อาวุธชนิดนั้นเรียกว่าอาวุธเวทมนตร์ แบ่งออกเป็นเก้าดาว วัสดุที่ใช้ในการตีก็ล้ำค่าหายาก มันมีความสามารถแปลก ๆ ด้วยซึ่งช่างฝีมือเรียกความสามารถนั่นว่าคุณสมบัติ ราคาของมันนี่เกินจะนับแต่ก็ถือเป็นตราสัญลักษณ์ของพลังอำนาจอันแข็งแกร่งไปในตัวด้วย”
ทั้งสองเดินคุยกันไปพลางเข้าไปในร้านอาวุธ
เมื่อชะเง้อมองรอบ ๆ จะเห็นว่าหลังร้านมีช่างตีเหล็กหลายคำกำลังหวดค้อนจนเหงื่อท่วมอยู่หน้าเตาพยายามขึ้นรูปเหล็กสีแดงฉานให้กลายเป็นดาบ
มีคนอีกสิบกว่าคนคอยซับพอร์ทกันให้วุ่น
ภายในร้านแน่นอนว่ามีอาวุธอยู่อีก แต่เมื่อเทียบกับพวกข้างนอกแล้วอาวุธเหล่านี้ดูจะซับซ้อนประณีตกว่ามาก
ถังเจิ้นหยิบดาบเรียวยาวเล่มหนึ่งออกมาดู ตัวใบดาบมีความยาวประมาณ 90 เซนติเมตร ทั้งด้ามทั้งฝักทำออกมาได้อย่างประณีต มีความเงาขนาดที่สามารถใช้แทนกระจกได้เลย เวลากวัดแกว่งรู้สึกลื่นไหลไม่ติดขัด แสงสะท้อนจากคมดาบดูเย็นเยียบอย่างมาก
ถังเจิ้นถูกใจดาบเล่มนี้เลยถามพนักงานว่าราคาเท่าไหร่ คำตอบคือลูกปัดสมองสีขาว 280 เม็ด
เมื่อได้ยินราคานี้ถังเจิ้นก็แอบตะลึง
แม้ลูกปัดสมองจะเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับตัวเขา แต่อาวุธดี ๆ ไว้ป้องกันตัวก็สำคัญเหมือนกัน ซึ่งก็เอาตรง ๆ คือสำหรับเขาลูกปัดสมองนั้นมูลค่าสูงกว่า เขาเลยได้แต่วางมันลงพร้อมกับถอนหายใจ
จากนั้นก็หันไปมองเฉียนหลง หมอนี่กำลังเล่นสนุกกับธนูสั้นคันหนึ่งซึ่งดูท่าจะถูกใจมันไม่น้อย
ตัวคันธนูนี้ไม่รู้เหมือนกันว่าทำจากวัสดุชนิดใด มีสีแดงอมม่วง พื้นผิวปกคลุมหนาแน่นไปด้วยเส้นสีเขียวคล้ายเส้นเลือดหรือเส้นประสาท สายธนูเป็นสีดำและดูเหมือนจะมีความยืดหยุ่นที่ดีมากและไม่บาดมือด้วย
เฉียนหลงพยายามน้าวสายแต่ก็ดูจะยากเย็นอยู่เหมือนกัน ท่าทางน้ำหนักของมันจะไม่ธรรมดา
ถังเจิ้นยิ้มเมื่อได้เห็น กลายเป็นว่าเจ้าหมอนี่อยากได้ธนูนี่เอง!
และถังเจิ้นก็ยังบังเอิญมีคันธนูกับลูกธนูอยู่ชุดหนึ่งในช่องเก็บของด้วย! แม้จะไม่กล้าพูดว่าเป็นของดีกว่าที่เขากำลังเล่นอยู่ก็เถอะ แต่อย่างน้อยก็กล้าพูดได้เลยว่าประหยัดลูกปัดสมองไปได้เป็นกะละมัง ดูจากหน้าตาของมันก็รู้ว่าธนูสั้นนั่นต้องแพงโคตร ๆ และเดาว่าเฉียนหลงคงมาที่นี่เพราะเสพติดมันเข้าแล้ว
‘เด๋วค่อยเอาให้เฉียนหลงซักชุดแล้วกัน ส่วนของตัวเองเด๋วกลับไปค่อยซื้อใหม่ซักสองสามชุดเผื่อเหลือเผื่อขาด ยามฉุกเฉินเมื่อไหร่ก็ค่อยเอาออกมาใช้’
เมื่อตัดสินใจได้แล้วเขาก็ไปลากคอเฉียนหลงออกจากร้าน ซึ่งเจ้าตัวก็ไม่เต็มใจจะตีจากจากของรัก แต่พอบอกว่า ‘เด๋วเอาให้ชุดนึงหน่า’ ก็เลยยอม
ดวงตาของเฉียนหลงเป็นประกายเมื่อได้ยินที่ถังเจิ้ยพูด แต่ก็ยังไม่เชื่ออยู่ดี กระนั้นก็ยังเดินออกจากร้านขายอาวุธอย่างเชื่อฟัง
เมื่อเดินผ่านแผงลอยริมถนนถังเจิ้นก็ใช้ลูกปัดสมองบางส่วนและซื้อเครื่องประดับทุกชิ้นที่ตัดสินใจว่าจะมาซื้อทีหลังก่อนหน้านี้ จากนั้นก็แอบเอาเก็บใส่ช่องเก็บของโดยไม่ให้ใครเห็น
หลังจากกลับถึงโรงแรมถังเจิ้นเล่าเรื่องพี่น้องมู่หรงให้เฉียนหลงฟังก่อน จากนั้นก็ต่อด้วยเรื่องที่เขาอยากสร้างโหลวเฉิง!
เฉียนหลงที่ได้ยินก็นิ่งอึ้งกับความคิดนี้ อย่าว่าแต่สร้างโหลวเฉิงเองเลย แค่การเข้าเป็นผู้อยู่อาศัยของโหลวเฉิงก็เป็นเรื่องที่โคตรยากแล้ว นี่ถังเจิ้นยังนอนไม่ตื่นเหรอ?
“นาย... แน่ใจนะ... ที่ว่าจะ... สร้างโหลวเฉิงน่ะ... จริงดิ?”
เฉียนหลงถามตะกุกตะกักโดยดวงตายังจับจ้องที่ถังเจิ้นเขม็ง
“อือ เอาจริงเลย ถ้าเป้าหมายนี้ยังไม่สำเร็จฉันไม่ยอมหยุดกลางคันแน่นอน ว่าไงเพื่อน! สนใจมาร่วมทำฝันนี้ให้สำเร็จด้วยกันมั้ย?”
เฉียนหลงเอามือกุมหัวแบบปวดตึบแล้วพึมพำด้วยน้ำเสียงเย้ย ๆ เหมือนคนบ้า “เหอะ ๆ ฉันว่านายต้องบ้าไปแล้วชัวร์ป้าบ แต่ไม่รู้ทำไมถึงอยากลองด้วยวะเรา”
“อย่ามัวแต่เพ้อ เอาไม่เอาก็ว่ามา”
“เวรเอ๊ย ถ้าสร้างโหลวเฉิงล้มเหลวหนักสุดก็ไม่เกินตายวะ มา! บิดาเอาด้วยโว่ย!”
“อย่าพูดให้จิตตกสิวะ เอาจริง ๆ คือฉันกะจะสร้างโหลวเฉิงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกแล้วถล่มโหลวเฉิงของไอ้พวกต่างเผ่าพันธุ์ให้เหี้ยนเต้!”
เฉียนหลงกลอกตามองบนเมื่อได้ยิน “ถล่มโหลวเฉิงของไอ้พวกต่างเผ่าพันธุ์ เหอะ ๆ... นายคงไม่เคยเห็นล่ะซี่ ความน่ากลัวของพวกเวรนั่นน่ะ ตอนนี้ฉันว่าฉันคิดถูกและ นายนี่มันบ้าไปแล้วจริง ๆ ด้วย...”
แม้ว่าจะรู้สึกเหมือนว่าถังเจิ้นกำลังเล่นกับไฟ แต่ตอนนี้เขาก็ได้เข้าร่วมแผนการสร้างเมืองของถังเจิ้นไปแล้ว ทำให้เฉียนหลงต้องจริงจังกับเรื่องนี้โดยไม่อาจเหลาะแหละ
ทั้งสองเริ่มปรึกษาหารือกันถึงวิธีการหาศิลาเสาเอก สถานที่ที่จะสร้างโหลวเฉิง วิธีหาวัสดุที่จำเป็นในการสร้าง และวิธีต้านทานการโจมตีของมอนสเตอร์หลังจากสร้างเสร็จ
เรื่องนี้ถ้าไม่คุยไม่ทำก็ไม่รู้ ถังเจิ้นได้รู้ว่าถ้าจะสร้างโหลวเฉิงมันต้องมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องทำ และมีหลายด้านที่เขาขาด ทำให้เขารู้แล้วว่าแต่เดิมความคิดของตนนั้นดูจะเรียบง่ายเกินไป
ทว่าก็ยังโชคดีที่ตอนนี้มีแผนเบื้องต้นแล้ว ซึ่งทั้งสองต้องทำตามแผนที่คุยกันไว้
การสร้างโหลวเฉิงไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ ดังนั้นจึงต้องรักษาความลับให้ดีในช่วงแรก ๆ ไม่อย่างนั้นหากมีอะไรผิดพลาดล่ะก็จะมีปัญหาตามมาเป็นพรวน และเมืองผู้พเนจรแห่งนี้ก็ไม่ค่อยจะปลอดภัยต่อการดำเนินแผนการ ดังนั้นทั้งคู่กับพี่น้องมู่หรงจึงต้องหาที่กบดานใหม่โดยเร็วที่สุด
แต่จะว่าไปการอยู่ที่เมืองแห่งนี้ก็ใช่ว่าจะไม่ดีไปซะหมด ยังมีข้อดีด้านการหาข่าว การซื้อขายแลกเปลี่ยน การป้องกันมอนสเตอร์ แถมยังอยู่ใกล้ ๆ กับโหลวเฉิงซึ่งจะมีกองคาราวานเข้ามาทำการค้าขายในเมืองนี้เป็นระยะ ๆ ด้วย
ถังเจิ้นยังอยากจะหาโอกาสเข้าไปตรวจสอบภายในโหลวเฉิงอยู่เหมือนกัน
แม้ว่าโรงงานที่พี่น้องมู่หรงอาศัยอยู่ตอนนี้จะสามารถรองรับพวกเธอได้ก็ตาม แต่ถังเจิ้นก็กลัวว่าจะมีมอนสเตอร์เก่ง ๆ มาเจอแล้วกลืนพี่น้องคู่นั้นไปซะก่อน!
หลังจากถามเฉียนหลงว่ามีสถานที่เหมาะ ๆ จะใช้สร้างโหลวเฉิงบ้างมั้ยแล้วก็ได้คำตอบว่าพอจะมีที่ดี ๆ ซ่อนอยู่เหมือนกัน เห็นว่าง่ายต่อการป้องกัน ยากต่อการถูกโจมตีและยังไม่ไกลจากที่นี่ด้วย
สถานที่นั้นครั้งหนึ่งเคยเป็นค่ายพักของแก็งก์ผู้พเนจรกองโจรจำนวนเป็นร้อย ผู้พเนจรคนอื่น ๆ ที่รู้เรื่องพวกมันก็จงใจหลีกเลี่ยงที่นั่น
ต่อมาได้ยินว่ากองโจรนั่นดวงกุดถูกมอนสเตอร์ที่แข็งแกร่งมากผ่านทางมาพอดีกำจัดจนเกลี้ยงและสุดท้ายหุบเขาแห่งนั้นก็ว่างเปล่าตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
เฉียนหลงไปเจอที่ตั้งค่ายดังกล่าวเข้าโดยบังเอิญครั้งหนึ่ง เขาพยายามจะหาอะไรที่มีประโยชน์ทว่าก็น่าเสียดายที่โดนผู้พเนจรรายอื่นที่มาก่อนยกเค้าไปจนเกลี้ยงแล้ว
ในเมื่อรู้ว่ามีที่เหมาะ ๆ แล้วแบบนี้ถังเจิ้นก็อยากหาโอกาสไปตรวจสอบ
กระนั้นภารกิจสำคัญตอนนี้คือย้ายพี่น้องมู่หรงมาที่นี่ก่อนโดยด่วนเพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุไม่คาดฝันใด ๆ ดังนั้นทั้งสองจึงออกเดินทางทันที ออกจากเมืองผู้พเนจรและตรงไปยังโรงงานร้าง
หลังจากออกจากเมืองได้ไม่นาน
เมื่อทั้งสองเดินผ่านป่าองุ่นแห้งก็มีเสียงนกร้องเจื้อยแจ้วดึงดูดให้ถังเจิ้นเงยหน้าขึ้น เป็นนกชนิดหนึ่งที่คล้าย ๆ กับนกเขาแต่ดูค่อนข้างอ้วน
เมื่อมองเห็นต้นไม้ที่เต็มไปด้วยนกถังเจิ้นก็หันกลับมาถามอย่างสบาย ๆ ว่า “นายเคยบอกว่าตัวเองอยู่อย่างหิวโหยมาก่อน แล้วปกติไม่ได้ล่านกพวกนี้มากินเหรอ?”
เฉียนหลงส่ายหัว “แล้วใช้ไรล่าล่ะ? คันธนูกับลูกธนู? ฉันไม่มีซักอย่าง”
“อ่าว แล้วมันทำเองไม่ได้เหรอของพวกนั้น?”
ถังเจิ้นถามกลับ
เฉียนหลงส่ายหัวอีก “คันธนูกับลูกธนูที่ฉันทำมันใช้ไม่ได้เลย ระยะยิงสั้นเกิน พลังก็น้อยเกิน”
ถังเจิ้นพยักหน้ารับรู้ ดูเหมือนเขาจะเคยอ่านผ่าน ๆ ตามาบ้างว่าคันธนูที่แท้ทรูนั้นทำขึ้นมาอย่างซับซ้อน ไม่ใช่แค่เอาไม้ไผ่มาผูกเชือกก็จบตามรูปลักษณ์ภายนอกที่เห็น ๆ กัน แม้โลกนี้จะมีคันธนูกับลูกธนูรูปแบบอังกฤษด้วยก็ตาม แต่ดูเหมือนจะไม่มีไม้ชนิดใดที่เหมาะแก่การทำคันธนู พืชพรรณต่าง ๆ ที่เคยเห็นในแดนทุรกันดารแห่งนี้ส่วนใหญ่เป็นวัชพืชกับเถาวัลย์แปลก ๆ ซะมากกว่า ทว่าพวกต้นไม้นี่ไม่เคยเห็นเลย
การเดินเงียบ ๆ มันน่าเบื่อเกินไปถังเจิ้นเลยชวนคุยต่อ “ถ้าไม่มีธนูงั้นนายใช้กับดักไม่ก็หนังสติ๊กไม่เป็นเหรอ”
“กับดักน่ะมีคนมาวางตลอดแหล่ะ ไอ้นกพวกนี้มันก็ดันฉลาดขึ้นเลยไม่ค่อยจะโดนหลอกกันได้ง่าย ๆ แต่ไอ้หนังสติ๊กที่นายว่ามันคือไรอะ?” เฉียนหลงถามอย่างสงสัย
“ใช่ธนูชนิดนึงปะ?”
ถังเจิ้นตะลึง “หนังสติ๊กก็คือหนังสติ๊กไงไม่รู้จักเหรอ?”
เฉียนหลงส่ายหัวงง ๆ บ่งบอกว่าไม่รู้จักจริง ๆ!
เห็นคำตอบแบบนี้ถังเจิ้นก็ส่ายหัวและเตือนตัวเองอีกรอบว่าที่นี่มันต่างโลกนาเว่ย จะเอาสามัญสำนึกจากโลกเดิมมาตัดสินโลกนี้ไม่ได้!
เมื่อคิดได้แบบนั้นแล้วถังเจิ้นก็บอกว่าเดี๋ยวคราวหลังจะหามาให้ดูซักอันจากนั้นก็เลิกคุยเรื่องหนังสติ๊กต่อ
ทั้งสองพึ่งจะเดินไปไม่ไกลในตรอกที่ปกคลุมด้วยหญ้ารก ๆ แต่เฉียนหลงคว้าเสื้อของถังเจิ้นด้วยท่าทางเคร่งเครียดและกระซิบเบา ๆ “ระวัง มีคนดักปล้นเรา เตรียมตัวให้พร้อม!”
หัวใจของถังเจิ้นสั่นไหวและมองไปรอบ ๆ อย่างสงบแต่ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติ กระนั้นเขาก็ยังเชื่อในสัญชาติญาณที่ลับมาอย่างคมกริบแล้วของเฉียนหลงซึ่งผ่านการต่อสู้เป็นตายมาอย่างยาวนานนับครั้งไม่ถ้วน
เขาเปิดแมปดูและเห็นว่ามีคนจำนวนมากซ่อนอยู่ในพงหญ้าใกล้ ๆ ซึ่งตีวงล้อมทั้งคู่ไปแล้วเรียบร้อย
เมื่อเห็นฉากนี้ถังเจิ้นก็เหงื่อแตก
‘ดูท่าเราจะยังประมาทอยู่ดีสินะ!’
และในจังหวะนี้เองได้มีลูกธนูสองดอกยิงออกมาจากพงหญ้าโดยเล็งเข้าที่จุดสำคัญของทั้งสองคน!