ตอนที่แล้วตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 188 ความแข็งแกร่งของกระทิงสองตัว
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 190 จอมยุทธ์ขั้นสาม (อ่านฟรี)

ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 189 หาสถานที่บ่มเพาะ


ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 189 หาสถานที่บ่มเพาะ

แปลโดย iPAT  

ทางออกอยู่ในป่าบนภูเขา เนื่องจากมันเป็นช่วงกลางฤดูใบไม้ร่วง ภูเขาจึงถูกย้อมด้วยสีแดง สีเหลือง และสีเขียว เมื่อแสงแดดตกกระทบดวงตา หลี่ฉิงซานกระพริบตาและสูดหายใจรับอากาศที่บริสุทธิ์เข้าไป

ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เขาจะชอบใช้ชีวิตอยู่บนพื้นโลกมากกว่าใต้ดิน มันจะดีที่สุดหากเขาสามารถหาถ้ำที่เงียบสงบและสร้างบ้านทับมันไว้ เมื่อเขาต้องการ เขาสามารถออกมารับอากาศบริสุทธิ์ได้ทุกเมื่อ

เขาพิจารณาเรื่องนี้มาระยะหนึ่งแล้ว หากเขาอาศัยอยู่ใต้ดินใกล้กับพื้นโลกมากเกินไป ผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์อาจบุกเข้าไปจับกุมเขาได้อย่างง่ายดาย นอกจากนั้นลึกลงไปใต้พื้นพิภพ เขารู้สึกได้ว่าพลังปราณของเขาเคลื่อนไหวได้เร็วขึ้นเนื่องจากปราณจิตวิญญาณธรรมชาติที่อยู่ใต้ดินหนาแน่นกว่าบนพื้นผิว

มันต้องเป็นสถานที่ที่ไม่ลึกไม่ตื้น มีปราณจิตวิญญาณธรรมชาติหนาแน่น หลังจากทั้งหมดสิ่งแวดล้อมเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่สนับสนุนการบ่มเพาะของผู้ฝึกตน แม้มันจะไม่ใช่แดนศักดิ์สิทธิ์ในตำนานแต่มันก็มีประโยชน์อย่างมากต่อการบ่มเพาะ

อย่างไรก็ตามหลี่ฉิงซานไม่เคยเดินไปบนเส้นทางแห่งการบ่มเพาะที่เรียบง่ายและมั่นคง เขาต้องพึ่งพาเม็ดยารวบรวมพลังปราณเพื่อผลักดันตนเองให้ก้าวไปข้างหน้า สถานที่พิเศษสำหรับการบ่มเพาะไม่ได้สำคัญกับเขามากนัก มันไม่เหมือนความจำเป็นที่เขาต้องใช้เม็ดยา

เขาเปิดแผนที่จิตของมณฑลชิงเหอและยืนยันตำแหน่งของเขา ตอนนี้เขาอยู่ห่างจากเมืองเจียเผิงมาทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ประมาณหนึ่งร้อยกิโลเมตร มันยังอยู่ในขอบเขตความรับผิดชอบของผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์แห่งเมืองเจียซึ่งเป็นสิ่งที่เขาต้องการ

สิบห้ากิโลเมตรทางทิศใต้ของที่นี่เป็นเมืองเล็กๆชื่อเมืองภูเขาเกลือ ตามชื่อของมัน เมืองตั้งอยู่บนภูเขาเกลือ

มูลค่าของเหมืองเกลือไม่น้อยไปกว่าเหมืองทองคำหรือเหมืองเหล็ก แม้มันจะไม่เพียงพอที่จะดึงดูดความสนใจของจอมยุทธ์พลังปราณแต่มันก็เป็นสถานที่ที่ผู้คนในยุทธภพต่อสู้แย่งชิงเพื่อให้ได้มา ไม่ว่าจะเป็นการอ้างสิทธิ์ในเหมืองเกลือหรือการขนส่งเกลือ พวกมันล้วนต้องการการคุ้มครอง มันเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยชาวยุทธ์ คนส่วนใหญ่บนท้องถนนมักถือดาบเดินไปเดินมาอย่างอิสระ

กองกำลังที่ใหญ่ที่สุดในเมืองคือสำนักดาบสะท้านภพ พวกเขามีศิษย์มากกว่าสามพันคน มันนำโดยวีรบุรุษอวี๋ฉูกวง นักสู้ชั้นหนึ่งที่มีชื่อเสียงในยุทธภพ โดยพื้นฐานแล้วเขาเป็นผู้ปกครองเมืองที่แท้จริง แม้แต่เจ้าเมืองก็ยังต้องให้เกียรติเขา

อย่างไรก็ตามอวี๋ฉูกวงมีปัญหาของตนเอง แน่นอนว่าปัญหาของคนในยุทธภพมักเกี่ยวข้องกับการเผชิญหน้ากับตัวตนที่แข็งแกร่งกว่า นั่นทำให้เขารู้สึกหมดหนทาง

“เจ้าสำนักอวี๋ ข้าจะพาเด็กพวกนั้นไป” ชายวัยกลางคนกล่าว เขาสวมชุดคลุมสีเขียวและพกดาบในฝักสีเขียว คอเสื้อและปลายแขนเสื้อของเขาปักเป็นลายเถาองุ่นเขียว สิ่งที่น่าสนใจคือเขาปลดปล่อยกลิ่นอายของจอมยุทธ์ขั้นสามออกมา ข้างๆเขามีเด็กสี่คนอายุประสามสิบสองหรือสิบสามปียืนอยู่ เด็กทุกคนต่างตื่นเต้นแต่ก็ลังเลที่จะจากไป

อวี๋ฉูกวงยิ้ม “แน่นอน โปรดพาพวกเขาไป พี่หลิว เด็กเหล่านี้จะมีอนาคตที่สดใสกว่าที่ภูเขาเถาองุ่นเขียว”

เด็กเหล่านี้ล้วนเป็นศิษย์วัยเยาว์ที่โดดเด่นที่สุดของเขา สองคนมีต้นกำเนิดที่ต่ำต้อย ดังนั้นเขาจึงเลี้ยงดูพวกเขาไม่ต่างจากบุตรของตนเองเพื่อให้สำนักดาบสะท้านภพได้รับจอมยุทธ์ที่เก่งกาจสองสามคนในอนาคต อย่างไรก็ตามเขาไม่เคยคิดว่าพวกเขาจะจบลงด้วยการถูกนิกายเถาองุ่นเขียวล่าไปเป็นศิษย์ นี่เป็นสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดมาก

ทุกนิกายล้วนต้องการศิษย์ที่มีพรสวรรค์ที่โดดเด่นแต่มีอัจฉริยะที่เกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ในการบ่มเพาะพลังปราณน้อยมาก มันเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะเคาะประตูบ้านตรวจสอบทีละหลัง ดังนั้นการปล้นอัจฉริยะจากกองกำลังเล็กๆจึงกลายเป็นวิธีที่สะดวกและมีประสิทธิภาพสูง

“นิกายเถาองุ่นเขียวของเราจะไม่เอาเปรียบเจ้าอย่างแน่นอน นี่คือเม็ดยารวบรวมพลังปราณ มันจะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการทะลวงขอบเขตของเจ้า” หลิวเฟิงรุ้ยกล่องไม้ใบเล็กๆออกไปราวกับเขากำลังทำทานให้คนยากจน

อวี๋ฉูกวงลอบสาปแช่งอยู่ภายใน ‘เจ้าคิดว่าข้าเป็นตัวงี่เง่างั้นหรือ?’ ด้วยความมั่งคั่งของเขา มันเป็นเรื่องง่ายที่จะหาซื้อเม็ดยารวบรวมพลังปราณมาไว้ในการครอบครอง สิ่งนี้ไม่มีประโยชน์ต่อเขาในการทะลวงขอบเขตในอนาคตแม้แต่น้อย อย่างไรก็ตามเขาต้องแสดงออกเหมือนเขาถูกยกย่อง “มันล้ำค่าเกินไป”

เป็นเพียงเวลานี้ที่ศิษย์คนหนึ่งรีบเข้ามารายงาน “ท่านเจ้าสำนัก มีคนต้องการพบท่าน!”

อวี๋ฉูกวงกล่าวอย่างฉุนเฉียว “เจ้าไม่เห็นหรือว่าข้ากำลังต้อนรับแขกผู้ทรงเกียรติ!”

ศิษย์คนนั้นกล่าวเสียงแผ่ว “แต่เขาบอกว่าเขาเป็นสหายของท่านเจ้าสำนัก”

หลิวเฟิงรุ้ยกล่าว “หากเป็นกรณีนี้ ข้าก็จะไป”

อวี๋ฉูกวงยืนขึ้นส่งหลิวเฟิงรุ้ยออกไป เขาก้มศีรษะลงแต่กลับถอนหายใจอยู่ภายใน ‘จื่อเจี้ยน อย่าทำให้พ่อผิดหวัง เจ้าต้องประสบความสำเร็จบางอย่างเพื่อพ่อ’

หลังจากนั้นเขาก็ออกมาและเห็นชายร่างกายใหญ่โตนั่งอยู่บนเก้าอี้ยาวใกล้กับทางเข้า เขาสวมหมวกไม้ไผ่ขนาดใหญ่ที่ปิดบังใบหน้าและแบกตะกร้าไม้ไผ่ใบใหญ่พร้อมฝาปิดไว้บนแผ่นหลัง

ศิษย์ผู้นั้นกระซิบ “ท่านเจ้าสำนัก เป็นเขา!”

อวี๋ฉูกวงมั่นใจว่าเขาไม่มีสหายเช่นนี้ มิฉะนั้นเขาต้องจำคนที่รูปร่างหน้าตาเช่นนี้ได้อย่างแน่นอน ไม่ เขาควรบอกว่าเขาไม่เคยเห็นผู้ใดมีร่างกายเช่นนี้มาก่อนในชีวิต

ร่างนั้นยืนขึ้นอย่างรวดเร็ว “วีรบุรุษอวี๋ ไม่พบกันนาน”

ทันใดนั้นวิสัยทัศน์ของเขาก็กลายเป็นมืดลงเล็กน้อย อย่างไรก็ตามเสียงสายนั้นฟังดูค่อนข้างคุ้นเคย “ท่านคือ?”

หลี่ฉิงซานยกหมวกขึ้นเล็กน้อย แม้รูปร่างและสีผิวของเขาจะเปลี่ยนไป กระทั่งใบหน้าก็ดูค่อนข้างแปลก แต่อวี๋ฉูกวงยังจำเขาได้ด้วยการมองเพียงครั้งเดียว “เป็นท่าน!”

หลิวเฟิงรุ้ยเพิกเฉยต่ออวี๋ฉูกวงโดยสิ้นเชิง เขาขึ้นรถม้าและจากไปทันที

อวี๋ฉูกวงไม่มีอารมณ์ที่จะเสียอีกต่อไป คนล่าเสือมาเคาะประตู แล้วเขาจะอารมณ์เสียไปเพื่อสิ่งใด เขามึนงงไปชั่วขณะ

“เข้าไปคุยกันข้างในเถอะ!” หลี่ฉิงซานยิ้ม เดิมทีเขาต้องการแสดงความเป็นมิตรผ่านสิ่งนี้ แต่เขี้ยวที่ยื่นออกมาจากปากของเขากลับทำให้อวี๋ฉูกวงตัวสั่น เขาเดินตามหลี่ฉิงซานเข้าไปในคฤหาสน์และคิดว่าเหตุใดเขาต้องพบเรื่องนี้

หลี่ฉิงซานเลือกเมืองนี้มาเป็นพิเศษ มันไม่มีจอมยุทธ์อยู่ที่นี่ซึ่งจะทำให้เขาเคลื่อนไหวได้อย่างสะดวกสบาย อย่างไรก็ตามความอยากอาหารของเขามีมากเกินไป ดังนั้นหากเขาไปซื้ออาหารด้วยตนเอง มันจะลำบากและดึงดูดความสนใจ หากบางคนแจ้งข่าวไปยังผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ มันจะกลายเป็นสถานการณ์ที่น่าอึดอัดใจ นี่เป็นเหตุผลที่เขามาหาสหายผู้นี้

เขาจำได้ว่าอวี๋ฉูกวงเคยเชิญเขามาที่เมืองภูเขาเกลือขณะอยู่ในโรงเตี้ยมที่เมืองริมทะเลสาบ ดังนั้นเขาจึงมาที่นี่

อวี๋ฉูกวงไล่ศิษย์ของเขาออกไปก่อนจะเปิดปากถาม “ท่านหลี่ สิ่งใดนำท่านมาถึงที่นี่?”

หลี่ฉิงซานกล่าว “มีบางเรื่องที่ข้าต้องรบกวนเจ้า!” เขาหยิบตั๋วแลกเงินจำนวนมากออกมา “สิ่งนี้มีมูลค่าประมาณหนึ่งล้านตำลึง มันเป็นของขวัญ”

“ข้าจะรับไว้ได้อย่างไร? ตราบเท่าที่ข้าสามารถทำได้ ข้าจะทำทุกอย่าง ไม่ว่าจะอันตรายหรือต้องเสียค่าใช้จ่ายเท่าใดก็ตาม” อวี๋ฉูกวงกล่าวอย่างกระตือรือร้นแต่สิ่งที่เขาคิดคือผู้ใดจะกล้ารับเงินจากคนล่าเสือ

“รับมันไว้!” หลี่ฉิงซานกล่าวอย่างเฉยเมย

“ทราบแล้ว!” อวี๋ฉูกวงรับเงินไว้ด้วยเหงื่อเย็นเยียบที่หยดลงจากหน้าผาก ผู้ใดจะกล้าปฏิเสธเงินที่คนล่าเสือยื่นให้

หลี่ฉิงซานกล่าว “มีบ้านหลังหนึ่งอยู่บนภูเขาทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเมือง ข้าอยากซื้อมันและอาศัยอยู่ที่นั่นระยะ เงินก้อนนี้มีไว้เพียงสิ่งนั้น”

“ทราบแล้ว ข้าจะส่งคนไปจัดการทันที ไม่ ข้าจะจัดการด้วยตนเอง ข้ารับรองว่าท่านจะสามารถย้ายเข้าไปอยู่ได้ภายในคืนนี้!” อวี๋ฉูกวงยืนยันพร้อมกับตบหน้าอกของตนเอง

“ข้าไม่ต้องการให้ผู้ใดรู้ว่าข้าอยู่ที่นี่ นั่นรวมถึงสหายและครอบครัวของเจ้า โดยเฉพาะลูกสาวของเจ้า หากมีข่าวของข้าหลุดออกไป...”

“นั่นจะไม่เกิดขึ้น! ข้าขอสาบาน หากข้าบอกเรื่องนี้กับคนอื่น ข้าจะทุบตีตนเอง...” อวี๋ฉูกวงยกมือขวาขึ้นเพื่อสาบาน

หลี่ฉิงซานขัดจังหวะ “ลืมเรื่องคำสาบานไปซะ ข้าไม่เคยพึ่งพามัน ตราบเท่าที่เจ้าเต็มใจช่วยข้า ข้าจะไม่ทำร้ายเจ้า ข้าไม่เหมือนคนก่อนหน้าที่จ่ายเม็ดยารวบรวมพลังปราณให้เจ้าเพียงเม็ดเดียว”

อวี๋ฉูกวงรู้สึกอายและประหลาดใจ หลี่ฉิงซานได้ยินบทสนทนาทั้งหมดแม้เขาจะอยู่ห่างออกไปนับร้อยเมตร

หลี่ฉิงซานกล่าว “เม็ดยารวบรวมพลังปราณอยู่ที่ใด?”

อวี๋ฉูกวงหยิบกล่องยาที่พึ่งได้รับออกมาอย่างรีบร้อน หลี่ฉิงซานรับกล่องยาและเทเม็ดยารวบรวมพลังปราณเข้าไปในปาก “คุณภาพไม่เลว”

อวี๋ฉูกวงเสียใจมาก เม็ดยารวบรวมพลังปราณเป็นยาล้ำค่าสำหรับคนในยุทธภพ มันมีมูลค่าหนึ่งหรือสองแสนตำลึงในท้องตลาด

หลี่ฉิงซานหยิบขวดยาขวดใหม่ออกมาจากกระเป๋าร้อยสมบัติ “เจ้ารู้จักยาเม็ดนี้หรือไม่?”

ดวงตาของอวี๋ฉูกวงเบิกกว้างทันที “นี่คือ...เม็ดยาร้อยไพร!” สิ่งนี้มีค่าและหายากกว่าเม็ดยารวบรวมพลังปราณมาก มันแทบไม่เคยปรากฏในท้องตลาด แม้เขาจะใช้เงินสองแสนตำลึง เขาก็ไม่สามารถซื้อมัน หากเขากินมันเข้าไป เขาอาจสามารถทะลวงขอบเขตและกลายเป็นจอมยุทธ์พลังปราณได้จริงๆ

หลี่ฉิงซานมอบมันให้อวี๋ฉูกวง “มันเป็นของขวัญเช่นกัน ข้าหวังว่าเราจะร่วมมือกันอย่างราบรื่น” ไม้เรียวกับรางวัลเป็นวิธีที่สามารถควบคุมผู้คนเสมอ

หนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น หลี่ฉิงซานก็ได้รับโฉนดที่ดิน เขายืนขึ้นและอำลา “โอ้ ถูกต้อง อย่าเรียกข้าด้วยชื่อในอนาคต”

“แล้วท่านจะให้ข้าเรียกอย่างไร?”

หลี่ฉิงซานคิดก่อนตอบ “เรียกข้าว่าหนิวเอ๋อ”

อวี๋ฉูกวงเป็นคนมีประสบการณ์ เขาสามารถบอกได้ว่าหลี่ฉิงซานกำลังปกปิดตัวตน อย่างไรก็ตามเขาไม่เห็นด้วยกับความหมายของชื่อที่หลี่ฉิงซานตั้งให้ตนเอง

หลี่ฉิงซานกล่าว “โอ้ ส่งอาหารสิบ ไม่ ยี่สิบโต๊ะให้ข้าทุกวัน”

หลี่ฉิงซานยืนอยู่ในบ้านบนภูเขา สถานที่ทั้งหมดได้รับการทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว แม้แต่ต้นไม้ก็ถูกรดน้ำ ผู้ใดจะรู้ว่าอวี๋ฉูกวงจัดการเรื่องทั้งหมดนี้อย่างไร ภูเขาและป่าไม้ในบริเวณโดยรอบประกอบเป็นฉากที่งดงามและเงียบสงบ มันเงียบมากแต่ก็อยู่ใกล้กับเมืองภูเขาเกลือเช่นกัน มันเป็นสถานที่ที่เหมาะสมสำหรับการบ่มเพาะของหลี่ฉิงซาน

หลี่ฉิงซานวางตะกร้าไม้ไผ่ลง จากนั้นเสี่ยวอันก็คลานออกมา นางมองไปรอบๆและดูเหมือนจะพอใจมากเช่นกัน

หลี่ฉิงซานนำแผนที่ใต้ดินและแผนที่ของมณฑลชิงเหอออกมาเปรียบเทียบกัน แผ่นที่ใต้ดินระบุว่ามีถ้ำอยู่ลึกลงไปใต้สถานที่แห่งนี้ มันอยู่ต่ำกว่าพื้นโลกเพียงไม่กี่เมตร ด้วยวิธีนี้เขาจะสามารถเชื่อมบ้านเข้ากับมันได้โดยใช้ความพยายามเพียงเล็กน้อย