ตอนที่ 943 อาคันตุกะไม่คาดหมาย
วิชาลับทะลวงชีพจรซึ่งเป็นวิชาใหม่ของเย่ว์หยางไม่มีประโยชน์เท่าใดนักต่อสุดยอดฝีมืออย่างหมิงลี่ฮ่าว มารสัมฤทธิ์ฟ้าจักรพรรดิมังกร ฯลฯ
พวกเขาไม่มีอสูรพิทักษ์เงาปีศาจอย่างเย่ว์หยางซึ่งสามารถแปลงเป็นพลังพิเศษใช้โจมตีได้
นอกจากนี้เคล็ดของวิชาเหล่านั้นเป็นตัวกำหนดวิธีการต่อสู้
ไม่ว่าจะเป็นสุดยอดฝีมืออย่างหมิงลี่ฮ่าว
หรือการเลื่อนระดับพลังรวดเร็วอย่างมารสัมฤทธิ์ฟ้าและจักรพรรดิมังกร พวกเขาทั้งหมดสามารถเอาชนะศัตรูได้ด้วยพลังล้วนๆ อย่างเดียว ไม่ค่อยมีการลอบโจมตีเหมือนเย่ว์หยางหรือใช้ความสามารถพิเศษเล่นงานจุดอ่อนของฝ่ายตรงข้ามและโจมตีซ้ำหลากหลายแง่มุม พวกเขาถนัดในการต่อสู้ตามกฎและพยายามอย่างดีที่สุดใช้กำลังเอาชนะการใช้สติปัญญาสู้อย่างฉลาดอย่างเย่ว์หยางและเอาชนะจุดอ่อนได้... พวกเขาจะมีปัญหาในการท้าทายต่อสู้กับศัตรูที่มีความแข็งแกร่งมากกว่าและเย่ว์หยางกลับตรงกันข้าม ในแทบทุกการต่อสู้เย่ว์หยางจะทุ่มเทสู้กับศัตรูฝีมือสูงส่งและท้าทายต่อสู้จนถึงที่สุด
“เป็นเรื่องดีแล้ว ที่วิชาลับนี้คิดค้นออกมาได้เร็ว” อย่างไรก็ตามไม่เพียงแต่มารสัมฤทธิ์ฟ้าผู้สง่างามเท่านั้น แต่ยังรวมถึงจักรพรรดิมังกรแม้แต่หมิงลี่ฮ่าวก็ยังชื่นชมวิชาทะลวงชีพจรนี้
การปรากฏขึ้นของเคล็ดวิชาฝึกฝนพิเศษนี้มีความหมายต่อเผ่าภูตบูรพาสมาชิกวังมาร ฯลฯ ส่งผลต่อนักรบปราณฟ้าของหอทงเทียน และช่วยเหลือพวกเขาได้มาก เพราะมารสัมฤทธิ์ฟ้า, จักรพรรดิมังกร, จักรพรรดิใต้พิภพและยอดฝีมืออื่นมักจะมาหาประสบการณ์ที่แดนสวรรค์อยู่บ่อยครั้งพวกเขาจะนำอสูรปราณฟ้า สมบัติวิเศษ ผลึกปีศาจ แร่, สมุนไพร ฯลฯ เพื่อเอาไปใช้สร้างประโยชน์ให้กับตระกูล, สหายและครอบครัว
ตัวอย่างเช่นสมาชิกชาววังมาร
หลังจากมารแค้นฟ้าบรรลุผ่านระดับปราณฟ้าได้มารเคราะห์ฟ้า, มารฟ้าพิบัติและมารฟ้าอื่นๆ เข้าใกล้ระดับปราณฟ้าเต็มที
แม้ว่าเป้าหมายของพวกเขาคือเป็นสุดยอดนักสู้ปราณก่อกำเนิดหรือนักสู้ปราณฟ้าแต่พวกเขาต้องการเข้าสู่ก้าวแรกของพลังปราณราชันย์
มารฟ้าพิบัติ,มารเคราะห์ฟ้าและมารฟ้าพิโรธกับคนอื่นแม้จะได้อสูรปราณฟ้ามาง่ายๆ และไม่ยากต่อการเข้าถึงพลังระดับปราณฟ้า แต่วิธีการบรรลุถึงพลังปราณฟ้าต่อไปได้นั้นเป็นก้าวย่างที่ยากลำบาก
นักรบหอทงเทียนหลายคนมีพลังระดับปราณฟ้าแต่ไม่คาดหวังว่าจะไปถึงระดับปราณราชันย์ได้
คนประเภทนี้
ในแดนสวรรค์มีมากมายอยู่แล้ว
ระหว่างนักรบปราณฟ้าและนักรบปราณราชันย์มีช่องว่างห่างกันถึงห้าระดับ
ถ้าไม่ทำลายช่องว่างเหล่านี้ อย่างนั้นนักรบปราณฟ้าก็ยังจะคงเป็นนักรบปราณฟ้าตลอดไปได้แต่มุ่งไปที่ปราณฟ้าระดับหนึ่งถึงระดับห้าอย่างน่าสงสารซึ่งเป็นระดับที่นักสู้ปราณฟ้าติดอยู่มากที่สุด...ปราณฟ้าระดับห้าจะมีนักสู้ปราณฟ้าติดอยู่ระดับนี้มากที่สุดยากจะบรรลุผ่านไป อย่างไรก็ตามบัดนี้วิชาลับทะลวงชีพจรนี้อย่างน้อยทำให้การเข้าถึงปราณฟ้าระดับหนึ่งถึงระดับสามไม่เป็นอุปสรรคอีกต่อไป
“เด็กน้อย! ข้าเล่าฮ่าวเป็นหนี้บุญคุณเจ้าอีกครั้ง” หมิงลี่ฮ่าวลอบจดจำวิชาลับไว้ได้และพยักหน้าเล็กน้อยขอบคุณเย่ว์หยาง
ด้วยวิชาลับทะลวงชีพจรนี้
เขาเชื่อว่าเขาจะฟื้นฟูความรุ่งเรืองของสำนักในอดีตและกลับคืนสู่ความยิ่งใหญ่ได้ในอีกไม่นาน
เทียบกับนักรบปราณฟ้าหอทงเทียนและแดนสวรรค์แล้วนักรบที่ยังคงติดอยู่ที่ปราณฟ้าสามระดับแรกเทียบกับนักรบปราณฟ้าระดับอื่นทั้งหมดมากถึง95% เป็นจำนวนที่มากจนน่าสมเพชจริงๆ
เย่ว์หยางค้นคว้าวิชานี้แม้ว่าส่วนใหญ่จะทำเพื่อประโยชน์แก่ตนเอง แต่ก็ยังใช้ประโยชน์ได้กับสมาชิกวังมารในปกครองของมารสัมฤทธิ์ฟ้าเผ่าภูตบูรพาของจักรพรรดิมังกร และผู้เยาว์รุ่นหลังของทวีปมังกรทะยาน ยังมีเสวี่ยทันหลาง องค์ชายเทียนหลัวเย่คงและเจ้าอ้วนไห่กับพวกที่ยังพยายามบรรลุระดับปราณก่อกำเนิด หรือปราณราชันย์และพยายามด้วยความยากลำบาก ด้วยวิชาลับทะลวงชีพจรนี้พวกเขาจะสามารถยกระดับไปตั้งแต่ปราณฟ้าระดับหนึ่งถึงปราณฟ้าระดับห้า จากนั้นค่อยให้เข้าไปฝึกในประตูเป็นตายเพื่อบรรลุเข้าระดับปราณราชันย์
เย่ว์หยางเขียนคัมภีร์เล่มนี้แล้วนำกลับไปยังหอทงเทียน
ผู้เฒ่าหนานกงอาจารย์จิ้งจอกเฒ่า จุนอู๋โหย่วและผู้เฒ่าเย่ว์ไห่พอได้ทราบข่าวถึงกับตกใจ
แม้แต่ผู้เฒ่าหนานกงผู้เยือกเย็นที่สุดขณะบันทึกเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ ยังอดเช็ดน้ำตาที่หยดลงบันทึกมิได้...เขาสามารถเข้าใจได้เต็มที่ว่าคัมภีร์ทะลวงชีพจรมีความหมายต่อนักรบหอทงเทียนเพียงไหน
บันไดทอดขึ้นสู่สวรรค์!
นี่ไม่ใช่เคล็ดลับสำหรับบรรลุของนักสู้ปราณฟ้าเท่านั้น แม้แต่นักสู้ปราณก่อกำเนิดและนักสู้ที่มีฝีมือรองๆ ลงไปก็สามารถฝึกฝนได้
ก่อนนั้นไม่มีนักสู้หอทงเทียนสร้างคัมภีร์การฝึกฝนที่ยอดเยี่ยมแต่เคล็ดวิชาที่พวกเขาสร้างขึ้น เหมาะสำหรับการฝึกฝนร่างกายน้อยมาก อย่างวิชาทะลวงชีพจรแทบทุกเผ่าพันธุ์สามารถฝึกฝนกันได้ ไม่มีข้อจำกัดแม้แต่น้อย แม้ว่าบางส่วนที่พิเศษไม่สามารถฝึกฝนได้หมดก็ตาม แต่ก็ยังสามารถเลือกฝึกฝนบางส่วนได้ นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์เลยทีเดียว!
สิ่งที่ทำให้ผู้เฒ่าหนานกงประทับใจมากที่สุดก็คือเย่ว์หยางยังพัฒนาให้เหมาะสมกับลักษณะบุคลิกที่แตกต่างกันอย่างเช่นจำแนกเป็นของมนุษย์ เอลฟ์ทอง เผ่าภูตบูรพา, เผ่าทะเล, เผ่าปีศาจ,เผ่าใต้พิภพ ฯลฯ
อาจกล่าวได้ว่าไม่ใช่เป็นแค่การฝึกฝนเท่านั้น แต่เป็นการวางระบบการฝึกฝน
สถานที่อย่างหอทงเทียนก็มีการฝึกฝนในระดับที่แตกต่างกัน
นี่ไม่ใช่แค่ยกสถานะนักรบของหอทงเทียนเท่านั้น แต่ยังช่วยให้นักรบหอทงเทียนสยายปีกพุ่งทะยานบินอีกด้วย
การถือกำเนิดของกำไลอสูรและคัมภีร์ทะลวงชีพจรจะช่วยปลดปล่อยให้หอทงเทียนขึ้นจากห้วงวิบากแห่งความทุกข์ยากอ่อนแอ เมื่อเวลาผ่านไปนักรบหอทงเทียนจะต้องเข้าไปยืนหยัดในแดนสวรรค์เป็นแน่
“ซานเอ๋อ! ครั้งนี้เจ้าทำได้ดีจริงๆแม่สี่มีความสุขมาก แต่เจ้ายังต้องรับมือกับศัตรู ข้ายังไม่ไว้วางใจเรื่องนี้!” เย่ว์หยางหาเวลากลับไปเยี่ยมแม่สี่และน้องสาว ฝ่าบาทมีความสุขใจมากแต่ไม่อนุมัติคำขอเข้าเฝ้าของเขา เพียงแต่ส่งนางต้นห้องออกมาสนทนาตอบสองสามคำ
“วิชาลับนี้น่าทึ่งมากจริงๆ แต่อย่าลืมทำหน้าที่หลักเล่า!”
พูดถึงภารกิจ
ความจริงเขากำลังเตรียมเข้าร่วมงานเลี้ยงวันเกิดของสนมจูกวงของราชาจื่อฟง เขารู้ว่าที่หอทงเทียนมีเรื่องราวมากมาย ขณะที่หมิงลี่ฮ่าวกำลังรอเย่ว์หยางกลับมาสร้างความครึกครื้น
มีแต่เย่ว์หยางที่สามารถไปกลับระหว่างหอทงเทียนและแดนสวรรค์ในวันเดียวได้ ทั้งยังมีส่วนร่วมในงานวันเกิด
หลังจากเขากล่าวอำลาแม่สี่และกลับไปยังเมืองลู่หลิวก็เป็นเวลาบ่ายแล้ว
พ่อบ้านเย่และหัวหน้าจินฟันทองที่มารับเย่ว์หยางกำลังพล่านเป็นเหมือนมดในหม้อร้อน
ในลานสนามโรงแรมอย่างมากพวกเขาได้แต่เดินไปเดินมา แต่เย่ว์หยางยังไม่ปรากฏตัว และพวกเขาทำอะไรไม่ได้ คนอย่างหมิงลี่ฮ่าว มารสัมฤทธิ์ฟ้าจักรพรรดิมังกร จักรพรรดิใต้พิภพ ไม่มีใครปรากฏตัวทุกคนกลับไปสอนวิชาทะลวงชีพจรเพื่อดูว่าจะประยุกต์ใช้กับบริวารและคนในเผ่าพันธุ์พวกเขาอย่างไร จงกวนเล่นบทตบตาบอกว่าคุณชายไตตันกำลังพักกลางวัน ไม่มีใครกล้ารบกวน
“งานเลี้ยงยังไม่เริ่มก่อนเวลาไม่ใช่หรือ? เมื่อคืนนี้คุณชายนอนดึกและเพิ่งจะรับอาหารกลางวัน ข้าไม่กล้ารบกวนเขา”จงกวนรู้ดีว่าเย่ว์หยางกลับไปยังหอทงเทียน แต่เขาจะพูดความจริงได้อย่างไร?
“โอว ตายแล้ว!” หัวหน้าจินฟันทองเมื่อได้ยินจงกวนตอบเขารู้สึกปวดฟันขึ้นมาทันที
“งานเลี้ยงวันเกิดยังไม่เริ่มต้น แต่คุณชายไตตันเป็นอาคันตุกะพิเศษที่สำคัญที่สุดพวกเราจะกล้าละเลยเขาได้ยังไง ถ้าไม่มีคุณชายไตตันไปร่วม ข้ากับหัวหน้าจินคงรักษาศีรษะไว้ไม่ได้” พ่อบ้านเย่กังวลเรื่องเวลา แต่คุณชายไตตันอารมณ์แปรปรวนจริงๆ
“คุณชายจะต้องเข้าร่วมงานเลี้ยงแน่นอน.. โอ..คุณชายเพิ่งตื่น” จงกวนเห็นเย่ว์หยางเปิดหน้าต่างห้องจึงร้องบอกทันที
“คุณชาย! ท่านตื่นแล้ว!” หัวหน้าจินฟันทองเกือบจะร้องไห้อยู่แล้ว
“ก็ได้ ก็ได้ ไม่เป็นไรแล้ว!” พ่อบ้านเย่เหมือนยกภูเขาออกจากอก
ตราบเท่าที่คุณชายไตตันไม่หายไปนั่นนับว่าดีอยู่แล้ว
ไม่สำคัญว่าเขาจะชอบนอนนานแค่ไหนก็ตาม
เดิมทีพวกเขาไม่กล้าตามมาเร่งรัด แต่ราชาจื่อฟงกำลังกระวนกระวาย
เพราะเลือดเทพที่ให้เป็นของขวัญ มีคนสอดแนมที่แพร่ข่าวออกไป ราชาที่อยู่ในดินแดนใกล้เคียงมาเยี่ยมเยือนโดยไม่ได้รับเชิญ ราชาทั้งสามทำในสิ่งที่พวกเขาเองดูหมิ่นคือนำของขวัญมาให้มากมาย
อย่าว่าแต่ราชาจื่อฟงเลย ต่อให้คนโง่ก็รู้ว่าราชาทั้งสามไม่ได้มีเจตนาดี
ราชาจื่อฟงจะทำอะไรได้?
ปฏิเสธอาคันตุกะ?
นั่นเป็นไปไม่ได้แน่นอน
ทางออกเดียวที่ทำได้ก็คือเชิญคุณชายไตตันมาให้เร็วเท่าที่เป็นไปได้ และทำให้สามราชาเป็นศัตรูของคุณชายไตตันผู้มั่งคั่งดีที่สุดก็ให้ราชาทั้งสามเกิดละโมบลงมือกับคุณชายไตตัน เมื่อคุณชายไตตันโกรธและกำจัดราชาทั้งสาม...ขณะที่เลือดเทพ ราชาจื่อฟงสาบานว่าต่อให้จักรพรรดิเสินกวงมาเองเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะยอมปล่อยออกไป
“คุณชาย!ราชาทั้งสามนี้ ข้าคิดว่าคงไม่ได้มาด้วยเจตนาดีคาดว่าเขาคงจับตามองสมบัติวิเศษของคุณชาย เลือดเทพของขวัญแสดงความยินดีอาจทำให้พวกเขาเกิดริษยาเป็นเรื่องเสี่ยงอันตราย คุณชายต้องระวัง!” พ่อบ้านเย่พูดเตือนเย่ว์หยางแทนราชาจื่อฟง
“บังอาจ, พวกเขากล้าหรือ?” เย่ว์หยางแกล้งทำเป็นโมโห
“แม้ว่าคุณชายจะเกิดในตระกูลสูงส่งสูงศักดิ์ แต่ในโลกนี้มีคนโลภอยู่มากมาย” พ่อบ้านเย่มีความสุขและแอบสุมไฟยั่วยุ
“เราคุณชายอยากจะดูนัก ใครกล้าชิงสมบัติของข้า!” เย่ว์หยางทำตัวเหมือนเด็กหนุ่มผู้ดื้อรั้น เมื่อได้ยินว่ามีคนที่เจตนาไม่ดีแทนที่จะหลีกเลี่ยง แต่เขากลับทำตัวเหนือกว่าตอบโต้โดยตรง พ่อบ้านเย่ดีใจ ราชาจื่อฟงต้องการให้เกิดผลเช่นนี้ถ้าเขาไม่ล่อให้เย่ว์หยางโกรธ บางทีทั้งสามคนนี้อาจลงมือในทางลับ! คุณชายไตตันมีความรู้สึกที่ไม่ดีต่อราชาทั้งสาม ฝ่ายตรงข้ามจะทำอะไร!
เย่ว์หยางที่แต่เดิมเตรียมตัวไม่ทำตัวให้โดดเด่นแค่มาร่วมงานวันเกิดได้บอกกับพ่อบ้านเย่และหัวหน้าจินฟันทองว่าจะเข้าร่วมงานเลี้ยงในฐานะอาคันตุกะชั้นสูงที่น่าทึ่ง
พ่อบ้านเย่และหัวหน้าจินฟันทองยิ่งเยินยอเขามากขึ้น
นอกจากนี้แหวนพันดาราและมุกมังกรที่ราชาจื่อฟงมอบให้เป็นการแสดงความคารวะ“คุณชาย! เมื่อวานนี้เราราชาไม่ได้มาแสดงความคารวะ แต่ด้วยความจริงใจ เมื่อวานนี้คุณชายอยู่ในระหว่างเร่งรีบไม่มีเวลารับของขวัญ คุณชายโปรดรับไว้เถิด ไม่ว่ายังไงก็ตามราชาบอกว่าถ้าคุณชายไม่รับไว้บ่าวกับหัวหน้าจินมิกล้ากลับไปรายงาน”
เย่ว์หยางพยักหน้าอย่างไม่ใส่ใจ “ในเมื่อเป็นความตั้งใจดีของราชา อย่างนั้นข้าจะรับไว้ แต่ข้าจะสงเคราะห์ตอบแทนอะไรได้บ้างล่ะนี่?”
พ่อบ้านเย่รีบห้าม ถ้าคุณชายจะให้ของขวัญก็ต้องให้ลับๆ
ไปงานเลี้ยงวันเกิดคนสำคัญในวังค่อยรับจากนั้นก็ได้
เชื่อได้ว่าราชาทั้งหลายที่มาร่วมงานเลี้ยงคงไม่มีใครมีสง่าราศีเท่าคุณชาย
“คุณชายไตตัน! เชิญทางนี้!” หัวหน้าจินฟันทองใช้ความเร็วสุดชีวิตวิ่งกลับไปรายงานที่วังหลวง ความจริงองครักษ์คนหนึ่งก็จัดการเรื่องนี้ได้ แต่เขาตัดสินใจเองเพราะรู้ว่านี่เป็นเกียรติ!
“เชิญ!” ราชาจื่อฟงต้อนรับสหายราชาทั้งสามผู้ที่เขาไม่ได้ส่งเทียบเชิญ เขารู้สึกหงุดหงิดรำคาญ แต่ยังรีบมาต้อนรับอาคันตุกะทันที
“พี่จื่อฟง มีอาคันตุกะทรงเกียรติแล้วทำไมไม่แนะนำเราสักคนหรือสองคนบ้าง?” ราชาทั้งสองมองหน้ากันเองและลุกขึ้นยืนทักทายพร้อมกันทันที มองดูพวกเขาแล้วแม้ว่าราชาจื่อฟงจะห้าม แต่พวกเขาคงจะบังคับใช้กำลังพลการ แต่โดยผิวเผินแล้วราชาจื่อฟงยังคงแสดงมารยาทผู้เหย้า เขายิ้มและเดินไปด้วยกัน
ไกลออกไปพวกเขาเห็นคนกลุ่มหนึ่ง
นักรบผู้กล้ารายล้อมเด็กหนุ่มเหมือนกับดาวล้อมเดือน
แต่ละข้างของเด็กหนุ่มมีอสูรสองตัว ตัวหนึ่งเป็นอสูรสุนัขสีดำดูไปไม่คล้ายสัตว์เลี้ยงพลังดูเหมือนค่อนข้างอ่อนแอยากจะแยกแยะได้ มันแทะกระดูกในปากช้าๆ น้ำลายหยดตลอดทาง
สายตาของราชาทั้งสามกวาดตาผ่านร่างของมันไปอยางไม่สนใจ
อีกข้างหนึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงเช่นกันแต่อย่างไรก็ตามรังสีฆ่าฟันของมันแน่นหนารุนแรงอย่างน่าประหลาดราชาทั้งสามที่ชำเลืองมอง หนังตากระตุกทันที
พระเจ้า! สัตว์ประหลาดนั่นที่แท้เป็นอาวุธเทพร่างอสูร!
มีการประเมินว่าสวรรค์บนเองก็ยังมีอาวุธเทพร่างอสูรไม่มากพวกเขาไม่เคยเห็นอาวุธเทพร่างอสูรที่มีพลังและร่างที่แข็งแกร่งมากขนาดนี้คุณชายไตตันมีสถานะระดับใดกันแน่? แม้แต่แดนสวรรค์บนกุลบุตรในตระกูลทั่วไปยังจะมีอาวุธเทพร่างอสูรแบบนั้นได้หรือ? ข่าวเป็นความจริงถ้าคุณชายไตตันมีอาวุธเทพร่างอสูรจริง ก็ย่อมต้องมีเลือดเทพอย่างมิต้องสงสัย!
จื่อฟงเจ้าสุนัขนี่ช่างโชคดีแท้ได้ต้อนรับอาคันตุกะทรงเกียรติอย่างนี้ได้
แขกที่ไม่ได้รับเชิญทั้งสามมองหน้ากันเองและเห็นแววตกใจอยู่ในสายตาของแต่ละคน
“ดูเหมือนว่าคนผู้นั้น....”
หนึ่งในสามราชาแค่นเสียงเย็นชาทำให้อีกสองราชาหันเหสายตาที่โลภไปมองมารสัมฤทธิ์ฟ้าที่อยู่ด้านหลังเย่ว์หยางหน้าของบุรุษทั้งสองเปลี่ยนไปทันที
พวกเขาคิดว่านั่นคือบุรุษที่ถูกพูดกล่าวขานในข่าวลับสุดยอดมารสัมฤทธิ์ฟ้า
ถ้าไม่มีมารสัมฤทธิ์ฟ้าต่อให้มีอาวุธเทพร่างอสูรคอยปกป้อง พวกเขาก็ยังกล้าลองดี พวกเขารู้ เมื่อมีเลือดเทพก็มีทุกอย่างต่อให้ต้องเสียสละอาณาจักรก็ตาม พวกเขาก็ต้องได้เลือดเทพไป พวกเขาไม่สามารถทำได้แต่เลือดเทพไม่ตกไปอยู่ในมือใคร นั่นก็ทำให้พวกเขาไม่ต้องเสียใจแล้ว อย่างไรก็ตาม พอมีมารสัมฤทธิ์ฟ้าผู้นี้พวกเขากลัวว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะชิงเลือดเทพมาได้ง่ายๆ! นอกจากนี้ยังมีอีกสองคนที่เห็นไม่ชัดอยู่ข้างตัวมารสัมฤทธิ์ฟ้าพวกเขามีพลังอ่อนแอกว่าเล็กน้อย แต่คิดจะเอาชนะพวกเขาและชิงตัวคุณชายไตตันเกรงว่าเป็นเรื่องยากยิ่งกว่าปีนป่ายขึ้นสวรรค์เสียอีก!
ราชาจื่อฟงมองดูสายตาของราชาทั้งสาม
เขาลอบดูหมิ่นในใจ
นักสู้ปราณฟ้าหนุ่มจากแดนสวรรค์บนและสามนักรบระดับราชาจะมีความคิดใดอยู่กันแน่?
ต่อให้จักรพรรดิแดนดินมาเองทุกคนก็มีแต่ผิดหวัง... ขณะเตรียมจะทักทายตามมารยาททันใดนั้นทางท้องฟ้าด้านทิศบูรพามีแสงสีทองสองสายพุ่งวาบผ่านท้องฟ้าเมืองลู่หลิวตรงมายังวังหลวงขณะที่ราชาจื่อฟงเข้ามาทักทายต้อนรับเย่ว์หยาง
เพียงแว่บแรกที่ราชาจื่อฟงเห็นทั้งสองคนสีหน้าของเขาเปลี่ยนไปจนยากระงับได้ “โอว...กลับกลายเป็น...”