ตอนที่ 943 อวสาน
จากเริ่มแรกถังเทียนยังจับตามองดูประมุขผู้อาวุโสอยู่ตลอดเวลา ในสายตาของเขาประมุขผู้อาวุโสเป็นศัตรูที่สำคัญที่สุด เขาไม่ตั้งใจจะลดระยะห่างระหว่างพวกเขา เพราะเขารู้ว่าจะทำให้ประมุขผู้อาวุโสเพิ่มความระมัดระวังขึ้น
เขามองดูอย่างใจเย็นและแม้เมื่อตอนอาซิ่นคุยกับขุนพลวิญญาณออกมา เขาเพ่งความสนใจไปที่ประมุขผู้อาวุโสมากกว่าครึ่ง ความรุนแรงของการสู้รบจะมากเป็นประวัติการณ์และสมาธิของถังเทียนสูงสุดยอดในระดับใหม่ ประสบการณ์ที่โชกโชนของเขาบอกเขาว่าการสู้รบสามารถเปลี่ยนไปได้ทุกขณะและโอกาสจะเกิดขึ้นได้เพียงชั่วขณะและหายวับไป และถ้าเขาไม่ตั้งใจให้ดี เขาจะไม่สามารถคว้าโอกาสเอาไว้ได้
เมื่อเขาสังเกตว่าสมาธิของประมุขผู้อาวุโสทุ่มอยู่ที่อาซิ่น เขาตระหนักได้ทันทีว่านี่เป็นโอกาสที่ดีมาก
เขาลอบมองดูจี๋เจ๋อและฝูเจิ้งจือและกองพลเกราะเทพเจ้าเคลื่อนไหวเงียบๆ
ถังเทียนได้รับความก้าวหน้ามากมายจากวังวนพายุหมุนกระบี่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเข้าใจในกฎธรรมชาติของเขา มีความพัฒนาก้าวหน้าอย่างแท้จริง ถังเทียนตระหนักได้ในขณะนี้ว่าเขาเชื่อมโยงกับกองพลเกราะเทพเจ้า
ในอดีตกลยุทธที่เขาเตรียมไว้เพื่อกองพลเกราะเทพเจ้าค่อนข้างแข็งแกร่งและเหนียวแน่นอยู่แล้วซึ่งใช้วิธีต่างๆ ประกอบกฎธรรมชาติร่วมกัน
แต่ในสายตาปัจจุบันของถังเทียนกลยุทธทั้งหมดกลายเป็นหยาบ
การควบคุมของเกราะเทพเจ้าตื่นรู้ระดับใหม่ก้าวหน้าแข็งแกร่งยิ่งกว่าในอดีตซึ่งทำให้ถังเทียนควบคุมเกราะเทพเจ้าได้แข็งแกร่งมากขึ้น
เขาเตรียมกลยุทธหมายเลขเก้าไว้รับมือประมุขผู้อาวุโสซึ่งเป็นกลยุทธที่แข็งแกร่งที่สุดที่กองพลเกราะเทพเจ้ามี
กองทัพเคลื่อนไหวและตาของจี๋เจ๋อทอประกายประหลาดใจทันที
กลยุทธหมายเลขเก้าที่พวกเขาฝึกในช่วงเวลาธรรมดาบ่อยที่สุดและเขาคุ้นเคยกับกลยุทธนี้เป็นอย่างมาก แต่ครั้งนี้ความรู้สึกแตกต่างออกไป ปกติเขาต้องเพ่งสมาธิอย่างหนักที่สุด เพื่อรวมพลังกับสหายของเขา การซ้อนทับของพลังงานที่แตกต่างกันส่วนยากที่สุดของกลยุทธหมายเลยเก้า ถ้ามีความแตกต่างแม้เพียงเศษเสี้ยวของวินาทีความรุนแรงของกลยุทธจะลดลงไปมากเพื่อความแม่นยำในการคำนวณ พวกเขาทุกคนต้องเพ่งสมาธิอย่างมากเมื่อใช้กลยุทธ และการพลั้งพลาดใดๆ จะนำไปสู่ความล้มเหลวได้
แต่ครั้งนี้จี๋เจ๋อรู้สึกเหมือนกับว่ามีมือที่มืองไม่เห็นผลักดันกระบวนการอย่างเงียบๆและทำให้รู้สึกถึงความต่อเนื่องไหลลื่นกับกลยุทธอย่างเป็นธรรมชาติสิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจมากก็คือพลังกฎธรรมชาติของเขาไหลเวียนอย่างต่อเนื่องไม่ต้องให้เขาควบคุมแต่อย่างใด ถ้าไม่ใช่เพราะความเชื่อมั่นต่อถังเทียนอย่างไม่มีเงื่อนไข เขาคงจะกลัวไปแล้ว
‘ความก้าวหน้าในการควบคุมพลังของนายท่านทรงพลังมากมายขนาดไหนกันแน่?’
เขารู้สึกว่าเหลือเชื่อ
แต่พลังงานที่เขากำลังเพิ่มเข้าไปยังมากกว่าที่กลยุทธหมายเลขเก้าต้องการ ‘พลังงานมากมายเหลือเกิน นายท่านต้องการใช้เพื่ออะไรกันแน่? ไม่ใช่ว่ากลยุทธทั้งหมดจะดีขึ้นได้ด้วยพลังงานที่มาก มีแต่จะเลวร้ายลงเท่านั้น และอาจนำไปสู่เหตุการณ์แทรกซ้อนได้
ความจุของพลังงานมากเกินไปอาจนำไปสู่การทำลายตัวกลยุทธเอง
แต่แล้ว เขาต้องตกตะลึงเขามองดูขณะที่พลังงานที่มีคุณสมบัติแตกต่างนี้ซ้อนทับกันอย่างไม่มีที่สุด กระบวนการทั้งหมดต่อเนื่องลื่นไหลเหมือนกับสายน้ำไม่มีการชะลอตัวช้าลง ถ้าไม่ใช่เพราะจี๋เจ๋อคุ้นเคยมากกับพลังงานทั้งหมด เขาคงมีความคิดว่าพลังงานแตกต่างทั้งหมดมาจากแหล่งเดียวกัน และเข้ากันได้เป็นอย่างดี แต่ในการฝึกตามปกติ เขารู้ว่าพลังงานมีคุณสมบัติแตกต่างทั้งหมดมีความรุนแรงมาก ถ้าพวกเขาปล่อยให้พลังงานทับซ้อนกันอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า พวกมันอาจระเบิดก็ได้
ในทันใดนั้นวิธีการปกติที่พวกเขาได้ฝึกมาแล้วค่อยๆสลายพังทลาย จี๋เจ๋อตกตะลึงอย่างสิ้นเชิงกับการควบคุมกลยุทธของถังเทียน ไม่ใช่แค่เพียงจี๋เจ๋อเท่านั้น กองพลเกราะเทพเจ้าทุกคนก็ตกใจกับการใช้กลยุทธอย่างกะทันหันของถังเทียน
ทันใดนั้นจี๋เจ๋อขมวดคิ้ว เขารู้สึกว่าเขามองข้ามบางอย่างไป
‘เดี๋ยวก่อน!’
ตาของจี๋เจ๋อเป็นประกาย เขารู้แล้วว่าเขามองข้ามอะไรไป ความผันผวนของพลังงาน! ความจริงเขาไม่ได้รู้สึกถึงความผันผวนของพลังงานเลย! เขาเกือบตะโกนร้องด้วยความตกใจ ‘เป็นไปไม่ได้! มีพลังงานแตกต่างทับซ้อนกันและกันจะไม่มีพลังงานผันผวนได้ยังไง?’
แต่เขาไม่สามารถรู้สึกถึงพลังงานผันผวนเลย!
สมาชิกทุกคนรู้สึกถึงว่าพลังของกฎธรรมชาติของพวกเขากำลังถูกดึงออก และทั้งหมดนั้นไปบรรจบรวมกันที่ปลายนิ้วของถังเทียนกลายเป็นธนูน้อยสีดำ ธนูดอกนี้แตกต่างจากธนูที่สร้างขึ้นเมื่อตอนใช้กลยุทธหมายเลขเก้าตามปกติ ปกติธนูกลยุทธหมายเลขเก้าซึ่งสร้างขึ้นมาจะมีประกายและโปร่งใสมีเส้นเลือดสีแดงเข้มและมีเส้นน้ำแข็ง และมีเม็ดแสงเล็กๆ อยู่ในเส้นเลือดสีแดง ธนูสีดำสนิทบนนิ้วของเขาทำให้ทุกคนสงสัยมาก
พวกเขาไม่เคยเห็นกลยุทธหมายเลขเก้าแบบใหม่มาก่อน และไม่เคยเห็นธนูอย่างนั้น
ถังเทียนไม่ได้เปิดเผยการโจมตีทันที และรอโอกาสอย่างอดทน
สมาธิของประมุขผู้อาวุโสถูกการสู้รบระหว่างกองทัพขนาดใหญ่ทั้งสองดึงดูดอย่างสิ้นเชิง มีทหารมากมายเกินไป ทหารทั้งสองฝ่ายเป็นทหารฝีมือดีซึ่งเป็นสิ่งที่ยากจะพบเห็น
ทั้งสองฝ่ายมีแม่ทัพที่มีความโดดเด่นมาก พวกเขาสามารถใช้วิธีการเฉพาะออกคำสั่งผู้ใต้บังคับบัญชาของพวกเขาโดยเฉพาะ และกองทัพก็คล่องแคล่วประดุจแขนขาของพวกเขา กลศึกละลานตาถูกนำมาใช้ผสานกัน เมื่อฝ่ายตรงข้ามใช้กลยุทธของตนเองเข้าโจมตีและจังหวะของการสู้รบในสมรภูมิอยู่ในระดับสูงล้ำ
โซเฟียเริ่มตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบซึ่งไม่น่าแปลกใจสำหรับประมุขผู้อาวุโสแต่อย่างใด แต่การเสียเปรียบเกิดขึ้นเร็วจนทำให้เขาไม่พอใจ เขารู้สึกว่าโซเฟียไม่มีการสนับสนุนระบบแม่ทัพทหารของเขาอย่างเห็นได้ชัด
ไม่มีข้อสงสัยในเรื่องของพรสวรรค์ของโซเฟียและความสามารถของนางก็มีความโดดเด่นในตนเอง แต่นางมีจุดอ่อนอยู่สองสามอย่าง ตัวอย่างเช่นความสามารถในการนำของนางแข็งแกร่ง แต่นางด้อยประสบการณ์ในการสั่งการ อีกอย่างหนึ่งประสบการณ์ในการสู้รบจริงของนางนับว่าน้อยนิด ประการที่สองประสบการณ์ในการสั่งการกองทัพขนาดใหญ่ของนางมีน้อยเกินไป ตั้งแต่แรกโซเฟียมักจะอยู่ในตำแหน่งผู้บัญชาการอัศวินกวงหมิง อัศวินกวงหมิงเป็นกองทหารขนาดเล็กมีกำลังพลไม่กี่ร้อยนาย และโซเฟียไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับกองทัพใหญ่ที่มีคนสองสามล้าน
ขณะที่คู่ต่อสู้ของนางอาซิ่นไม่ว่าจะเป็นเรื่องประสบการณ์ในการรบจริง หรือการสั่งการกองทัพขนาดใหญ่ออกรบ เขามีประสบการณ์มากมายและมากฝีมือ อาซิ่นสามารถจับจุดอ่อนในการเคลื่อนไหวของโซเฟียได้ทุกอย่าง ช้าๆแต่มั่นใจทำให้ระยะห่างระหว่างทั้งสองถ่างกว้างมากขึ้น
นอกจากนี้ คุณภาพของทหารยังแตกต่างกันอยู่มาก
ไม่ว่าในแง่ของพลังหรือประสบการณ์ ทหารของกองทัพขุนพลวิญญาณเพลิงศักดิ์สิทธิ์ไม่สามารถเทียบได้กับกองทัพกางเขนใต้ แม้ว่าพวกเขาจะได้รับการสนับสนุนจากเพลิงศักดิ์สิทธิ์ก็ตาม พวกเขาก็ยังถูกข่มจนแทบโงศีรษะไม่ขึ้น
‘ดูเหมือนข้าต้องใช้ความเคลื่อนไหวนั้นเสียแล้ว’
ประมุขผู้อาวุโสลอบส่ายศีรษะ ‘หลังจากใช้ความพยายามไปมากมายสถานการณ์ก็ยังถูกศัตรูควบคุมครอบงำไว้ได้ ดูเหมือนว่าข้าต้องหาขุนพลวิญญาณที่มีความสามารถมากขึ้นโซเฟียฝีมืออ่อนแอเกินไป ยังไม่สามารถรับผิดชอบงานขนาดใหญ่ได้’
‘โชคดี ข้ายังมีไม้ตายสองสามท่าไว้ปรับใช้’ ประมุขผู้อาวุโสยิ้ม และเครื่องหมายแสงสว่างบนหน้าผากของเขาเปล่งแสงทันที
ปัง!
ในท่ามกลางการสู้รบทหารคนหนึ่งของกองพลเพลิงศักดิ์สิทธิ์ระเบิดทันทีและเปลี่ยนเป็นเปลวเพลิงทองอมสีแดงดูงดงามหนึ่งในขุนพลวิญญาณกองทัพกางเขนใต้ที่อยู่ใกล้ที่สุดโดนเพลิงสีแดงลุกลาม
ทหารผู้นี้หยุดนิ่งทันทีขณะที่เพลิงศักดิ์สิทธิ์แดงซึมเข้าไปในร่างของเขา
เครื่องหมายแสงสว่างเลือนรางกระพริบบนหน้าผากของทหารนี้ทันที และหน้าของเขาแสดงให้เห็นท่าทางที่ดิ้นรนพยายาม ม่านเพลิงของเพลิงศักดิ์สิทธิ์ในท้องฟ้ายิ่งเพลิงศักดิ์สิทธิ์ลงมากเป็นกลุ่มปะทะใส่ทหารโดยรอบ ย้อมเป็นสีแดงเลือดทันที เพลิงศักดิ์สิทธิ์เริ่มลุกโชนและรังไหมเริ่มพันรอบตัวทหาร
ปัง ปัง ปัง ขุนพลวิญญาณเพลิงศักดิ์สิทธิ์ตนแล้วตนเล่าระเบิดและเปลี่ยนเป็นเพลิงศักดิ์สิทธิ์สีแดงเข้ม
ในพริบตาสนามรบกลายเป็นเพลิงสีแดงเข้ม
เพลิงศักดิ์สิทธิ์ในท้องฟ้าเริ่มโหมรุนแรงและเพลิงศักดิ์สิทธิ์เริ่มทะลักมาจากทั่วทุกตำแหน่ง
อาซิ่นถึงกับตาแดง เขาไม่เคยคาดว่าประมุขผู้อาวุโสจะใช้ทหารของเขาเป็นอาวุธ ตั้งแต่วันที่เขาร่วมกับกองทัพทุกคนปฏิบัติต่อเขาด้วยความห่วงใยและกังวล และหลังจากเขากลายเป็นแม่ทัพทหาร เขามีความรักต่อบริวารของเขา เขาไม่เคยคิดจะใช้ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาเป็นอาวุธโจมตีศัตรูของเขา
ในสายตาของประมุขผู้อาวุโสพวกเขาทั้งหมดไม่ใช่ทหาร ในใจของเขาทุกคนสามารถเสียสละได้
“ใช้ทะเลสุคติ!”
คำเตือนของถังเทียนดังขึ้นในหูของเขาทำให้อาซิ่นตื่นตัวขึ้นทันทีและสลัดความโกรธทิ้งไป เขารู้สึกละอายเพราะเขาปล่อยให้ความโกรธครอบงำเขาซึ่งเป็นเรื่องไม่ควรจะเกิดขึ้น
อาซิ่นตระหนักได้ทันทีถึงประโยชน์ของคำแนะนำของถังเทียน และคำรามลั่น “กระบี่อมตะ!”
วืดดดดด.. กระบี่ส่งเสียงครางกระหึ่ม กระบี่อมตะลอยเข้ามาอยู่ในมือของอาซิ่นและทะเลสุคติสีดำสนิทเริ่มทะลักออกมาจากใต้เท้าอาซิ่น น้ำทะเลสีดำยังคงคล้ายกับรัศมีซึ่งทำให้ทหารที่ถูกเพลิงศักดิ์สิทธิ์สีแดงเผาสงบลง และรอยเครื่องหมายที่สว่างบนหน้าผากของพวกเขาค่อยๆ หมองลง
ทันใดนั้นตู้เค่อปรากฎตัวอยู่ด้านหลังประมุขผู้อาวุโสเหมือนกับภูตพราย แต่ประมุขผู้อาวุโสรู้สึกได้ถึงตัวเขาแล้ว และเขาใช้ฝ่ามือกระแทกกลับหลังในแง่มุมแปลกประหลาด
ตู้เค่อเพิ่งปรากฏออกมาก็พบกับฝ่ามือ สีหน้าของเขาเปลี่ยนขณะที่เขากระตุ้นการทำงานของสนามพลังกฎธรรมชาติเต็มกำลัง
ปัง!
พลังระเบิดรุนแรงทำให้ทุกคนในสนามรบตกตะลึง
พลังที่น่ากลัวและไร้เทียมทานทำให้ร่างของตู้เค่อสั่นสะท้าน ตาของเขาเหลือกกลับไปข้างหลังและก่อนที่เขาจะทันตั้งตัว บึ้ม...เขาถูกกระแทกอัดลงกับพื้นเกิดเป็นหลุมขนาดใหญ่
ทุกคนต่างเกรงกลัวพลังฝ่ามือของประมุขผู้อาวุโส และหยุดไปชั่วขณะ
หน้าของจี๋เจ๋อและพวกที่เหลือซีดขาว ‘นั่นคือตู้เค่อนักสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในแดนบาป เขาถูกอัดกระแทกใส่ลงกับพื้นด้วยฝ่ามือเดียว นั่น…’
ประมุขผู้อาวุโสมองดูถังเทียนทันทีหน้าของเขาแสดงความเหยียดหยาม เขาไม่สนใจถังเทียนและยกมือขวาอีกครั้ง ลำแสงเพลิงศักดิ์สิทธิ์ลงมาจากท้องฟ้าและคลุมมือของเขาเชื่อมโยงเขาและม่านฟ้าเพลิงศักดิ์สิทธิ์
ตราบนหน้าผากของประมุขผู้อาวุโสสว่างขึ้น และพลังปลดปล่อยออกมาจากพลังระเบิดจากร่างของเขา
เพลิงศักดิ์สิทธิ์สีแดงเข้มที่ถูกทะเลสุคติกลืนระเบิดออกเป็นรัศมีแสงและเมื่อได้เปรียบอีกครั้ง รังไหมสีแดงเลือดก็เริ่มก่อตัวอีกครั้ง
ตู้เค่อดิ้นรนและปีนออกมาจากหลุมจากนั้นปาดเลือดที่มุมปากของเขา เป็นครั้งแรกที่เขาตกอยู่ในสภาพย่ำแย่อย่างนั้นเขาถูกกระแทกอย่างหนักและสนามพลังกฎธรรมชาติของเขาแตกร้าวภายใต้การโจมตีที่รุนแรง ประมุขผู้อาวุโสแข็งแกร่งทรงพลังอย่างแท้จริง ราวกับว่าร่างของเขามีมหาสมุทรที่รุนแรง เป็นครั้งแรกของตู้เค่อที่ประสบกับการโจมตีที่ทรงพลังขนาดนั้น
‘แต่ถ้าเจ้าคิดว่าเจ้าเอาชนะข้าได้ง่ายๆ เจ้าก็คิดผิดแล้ว’
เชียนฮุ่ยชำเลืองมองถังเทียน นางเข้าใจเขาดี ‘สำหรับเขาจะไม่ลงมือเป็นเวลานาน นั่นไม่ใช่นิสัยของเขา แต่หมายความว่าพี่เทียนกำลังรอคอยโอกาส’
‘แม้ว่าไม่มีใครรู้ไม้ตายของพี่เทียนที่เตรียมไว้จัดการกับประมุขผู้อาวุโส แต่ข้ารู้ว่าเขากำลังรอโอกาส’
สายตาของเชียนฮุ่ยกวาดมองไปทั่วสนามรบ ใจของนางมักสงบอยู่เสมอ แม้ด้วยวิธีอำมหิตของประมุขผู้อาวุโส นางไม่ได้กังวลแม้แต่น้อย สมรภูมิทั้งหมดชัดเจนอยู่ในสายตาของนาง และสถานที่ระเบิดมากที่สุดจะเป็นพื้นที่มีความรุนแรงมากที่สุด
เพื่อประโยชน์ในการสังหารทหารให้ได้มาก ประมุขผู้อาวุโสได้ขยายขอบเขตออกไปโดยจงใจ ขบวนของพวกเขาจึงราบเรียบทันที
“เสี่ยวม่าน,เจ้าจะต้องฟันจากตรงนี้ แล้วจากนั้นให้โจมตีจากทางด้านซ้าย ตราบใดที่เจ้าสามารถเปิดทางซ้ายได้ก็ปล่อยให้อาซิ่นจัดการ เขาจะทำต่อได้ดี กระบวนศึกของศัตรูจะเทไปทางอาซิ่น เจ้าพยายามอ้อมไปฟันจากด้านหลังโซเฟีย”
นางสั่งเสี่ยวม่านเบาๆน้ำเสียงนางสงบและมั่นใจซึ่งทำให้เสี่ยวม่านมั่นใจไปด้วย นางไม่มีทางเข้าไปร่วมทำศึกได้ ถ้านางนำกองกำลังด้วยตนเองทุกคนจะต้องหันความสนใจไประมัดระวังนาง
“ด้านหลังโซเฟีย?” เสี่ยวม่านไม่เข้าใจ ‘มีการป้องกันแข็งแกร่งมากเลยไม่ใช่หรือ?’
“ใช่แล้ว! เชียนฮุ่ยตอบ ”ข้าสังเกตนิสัยของโซเฟียนางชอบป้องกันปีก นั่นคือการตอบสนองแบบดั้งเดิม ดังนั้นนางจะทุ่มเททุกอย่างเพื่อสู้กับอาซิ่น นางต้องแบกรับแรงกดดันของประมุขผู้อาวุโส จงเคลื่อนไหวในท่าเดียวเจ้าต้องใช้ท่าเดียว อย่าเข้าไปใกล้อย่าหยุดชะงัก เมื่อเจ้าโจมตีเสร็จแล้วเจ้าต้องถอนกำลังกลับมาทันที โดยไม่ต้องลังเล จำทั้งหมดได้หรือยัง?”
“ได้ค่ะ!” เสี่ยวม่านพยักหน้า คนอื่นอาจลังเลต่อคำสั่งนาง แต่เสี่ยวม่านไม่มีทางเป็นเช่นนั้น
‘คุณหนูคือเทพธิดาสงครามที่เอาชนะอาซิ่นได้!’
เสี่ยวม่านกระตือรือร้น “อย่างนั้นข้าไปก่อนละนะ คุณหนู!”
นางทนไม่ไหวแล้วแนวหน้าสู้กันจนถึงระดับสูงสุด แต่นางไม่ได้มีส่วนร่วมในการสู้รบซึ่งเป็นความทรมานใจของนาง
“ระวังความปลอดภัยด้วย” เชียนฮุ่ยเสริม
สีหน้าของถังเทียนยังคงเหมือนเดิม เขาเห็นท่าทางเหยียดหยามของประมุขผู้อาวุโสแล้ว อย่างไรก็ตาม เกมระหว่างทั้งสองคนเพิ่งเริ่มขึ้นเหมือนกับว่าประมุขผู้อาวุโสรู้ว่าถังเทียนกำลังรอโอกาสโจมตีเด็ดขาด และประมุขผู้อาวุโสสังเกตเห็นไม้ตายของถังเทียนแล้ว
แต่ประมุขผู้อาวุโสยังคงคิดว่าเขาควบคุมสถานการณ์ได้ทั้งหมด ตราบใดที่เขาระมัดระวังการลอบโจมตีของถังเทียน เขาเป็นคนเดียวที่สามารถคุกคามเขาได้
และถังเทียนก็ยังรู้จักข้อได้เปรียบของเขา เพราะเขามีสหายที่เขาเชื่อใจได้
การโจมตีของเสี่ยวม่านไม่ได้ดึงดูดสายตาของประมุขผู้อาวุโส เขาเพ่งอยู่กับการจับขุนพลวิญญาณของศัตรูและป้องกันถังเทียน เขาละโมบต่อขุนพลวิญญาณและไม่ลังเลที่จะสังหารขุนพลวิญญาณของตัวเองเพื่อควบคุมขุนพลวิญญาณของศัตรู สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจก็คือพลังของทะเลสุคติแข็งแกร่งกว่าที่เขาคิด และเขาต้องใช้ความพยายามมากมายในการข่มทะเลสุคติ
การโจมตีของเสี่ยวม่านเป็นไปอย่างราบรื่น ความสามารถในการโจมตีของนางแข็งแกร่งมากกว่าอาซิ่นอย่างมากมาย ขุนพลวิญญาณฝ่ายนางแข็งแกร่งมากกว่าขุนพลวิญญาณของกองทัพกางเขนใต้
ตามคาด ทุกอย่างเป็นไปตามที่เชียนฮุ่ยกล่าว
เมื่อเห็นว่ารูปกระบวนของโซเฟียชะงักเพราะอาซิ่น เสี่ยวม่านนำขุนพลวิญญาณของนางสองสามตนอ้อมไปอย่างเงียบๆ
ข้ามไปทั่วสมรภูมิ เสี่ยวม่านเป็นเหมือนกับขโมย ซึ่งไม่มีใครสังเกตนาง คู่ต่อสู้ของโซเฟียคืออาซิ่น ประมุขผู้อาวุโสให้ความสนใจกับถังเทียนและเขาเชื่อว่านอกจากถังเทียน มีแต่เพียงตู้เค่อที่คุกคามได้บ้าง สำหรับเสี่ยวม่านประมุขผู้อาวุโสมองว่าเป็นสินสงครามที่สมบูรณ์แบบ
เมื่อเสี่ยวม่านวิ่งมาพร้อมกับขุนพลวิญญาณของนางและตัดเข้าด้านหลังโซเฟียและเข้าไปใกล้ประมุขผู้อาวุโสทำให้เขาสังเกตนางได้
แต่ก่อนที่พวกเขาจะทันตั้งตัวเสี่ยวม่านสูดหายใจและตะโกน “ฆ่า!”
นางเงื้อดาบยักษ์ในมือนางและสับลงด้วยพลังของนาง
ด้านหลังนาง ขุนพลวิญญาณ 120ตนก็ฟันลงพร้อมกัน
รังสีดาบ 120 สายเข้าไปในรังสีดาบของเสี่ยวม่านและเหมือนกับพระจันทร์เสี้ยว มันยิงเข้าหาประมุขผู้อาวุโส
ถ้าถังอี้อยู่แถวนั้น เขาคงจำวิชานี้ได้แน่นอน เป็นวิชารังสีทวนที่เขาเชี่ยวชาญ แต่ในมือของเสี่ยวม่านวิชาทวนหนักนี้ไม่ได้บรรจุพลังเพลิงไว้แต่อย่างใด
หลังจากปล่อยรังสีดาบแล้ว เสี่ยวม่านจำคำเตือนของคุณหนูได้และถอยโดยไม่ต้องดูอะไร นางหันหลังวิ่งหนีทันที
สีหน้าของประมุขผู้อาวุโสพลันบึ้งตึง ปกติเขาไม่ได้ให้ความสนใจกับพลังโจมตีนี้ในสายตา สำหรับเขาเสี่ยวม่านก็เป็นแค่มดแมลง แต่ใครจะรู้กันว่ามดแมลงจะเริ่มโจมตีใส่เขาก่อน และเป็นระยะที่ใกล้กับเขา และบังเอิญเป็นช่วงเวลาที่คับขันที่เขาต้องการจะควบคุมสมรภูมิทั้งหมดเอาไว้ ‘แย่แล้ว!’
‘โซเฟีย, นังสวะ!’
ประมุขผู้อาวุโสข่มอารมณ์โกรธในใจ เขาเห็นรังสีดาบเยือกเย็นและนัยน์ตาเขาเคลือบด้วยชั้นน้ำแข็ง
เขายกมือขวาและเตรียมลงมือเคลื่อนไหว เมื่อฉากภาพต่อหน้าเขาพลันสว่างเจิดจ้า
เป็นตู้เค่อที่ปีนออกมาจากหลุมและที่ดูเหมือนกับว่าเขากำลังจะตายแต่กลับทำการเคลื่อนไหว
ประมุขผู้อาวุโสรู้สึกเหมือนกับว่าเขาถูกแยกไปอยู่ในโลกที่ประหลาด โลกต่อหน้าเขาทำให้มึนงงจากแสงสีรุ้ง และหูของเขาอื้อจากเสียงประหลาด
ประมุขผู้อาวุโสสีหน้าเปลี่ยน ‘โลกลวงตา!’
ตู้เค่อได้รับการรู้แจ้งสนามพลังกฎธรรมชาติเขาจะเป็นคนโง่ได้ยังไง? หลังจากได้รับบาดเจ็บแล้ว เขาเข้าใจได้ทันทีว่าเขาทำผิดแผน ประมุขผู้อาวุโสมีพลังอัดแน่นอยู่ในร่างของเขา และถ้าพวกเขาต้องสู้กันตัวต่อตัวเขาคงแพ้แน่นอน
‘ถ้าเป็นอย่างนั้นทำไมข้าไม่โจมตีจุดอ่อนของเขาเล่า?’
ประมุขผู้อาวุโสอาจมีพลังที่น่ากลัว แต่ความสำเร็จเกี่ยวกับกฎธรรมชาติยังไม่สูง
นอกจากนี้ตู้เค่อรู้ว่าเขาไม่ต้องใช้การโจมตีเพื่อสร้างความบาดเจ็บใดๆ เขาเพียงแต่ต้องคอยกวนใจประมุขผู้อาวุโส
ตู้เค่อนึกถึงภาพลวงตาทันทีซึ่งเป็นหนึ่งในวิธีที่ใช้สำหรับผู้เริ่มต้นมากที่สุด มาตรฐานของตู้เค่ออยู่ในระดับสุดยอด ภาพลวงตาที่เขารู้ไม่จำกัดแค่แสงและภาพ แต่กฎแห่งเสียงและกฎอวกาศอีกด้วย
ประมุขผู้อาวุโสถูกล่อหลอกโจมตีทันที
ไม่มีการป้องกันแม้แต่น้อย ประมุขผู้อาวุโสประหลาดใจและป้องกันการโจมตีที่คล่องแคล่วของเสี่ยวม่านโดยไม่รู้ตัว และใช้เพลิงศักดิ์สิทธิ์ทองกระจายไปทั้งโลกลวงตา
ครั้งนี้ถังเทียนเริ่มลงมือในที่สุด การกระทำของเขารวดเร็วและไม่มีใครสามารถเห็นได้ชัดเจน
ประมุขผู้อาวุโสหยุดทันที มีเครื่องหมายแสงสว่างอยู่บนหน้าผากของเขาและเขาสะดุ้งตกใจมีรูขนาดใหญ่อยู่ในมือของเขา
ประมุขผู้อาวุโสไม่สามารถเคลื่อนไหวเพลิงศักดิ์สิทธิ์รอบๆแขนขวาที่แตกหักของเขา
ปัง ปัง ปัง!
รังไหมที่หุ้มทหารรอบๆ และเริ่มระเบิด
โซเฟียตะลึง และตราที่หน้าผากนางสว่างเจิดจ้าด้วยแสงรัศมีขาว ขณะที่ตราเครื่องหมายบนตัวทหารของกองทัพขุนพลวิญญาณเพลิงศักดิ์สิทธิ์เริ่มเพิ่มความหนาแน่น ราวกับว่าพวกเขาตกอยู่ในอาการมึนงงและพวกเขายังคงไม่ไหวติง
หน้าของถังเทียนเปลี่ยนไปทันที “หนีเร็ว!”
อาซิ่น ตู้เค่อและพวกที่เหลืออยู่ในสนามรบรู้ตัวขณะที่พวกเขาหันหลังเผ่นหนีทันที
ประมุขผู้อาวุโสไม่เคยคาดเลยว่าเขาจะพลาดท่าเพราะภาพลวงตา ‘แต่พวกเจ้าจะไม่มีทางชนะ…’
ความรู้สึกว่าเพลิงศักดิ์สิทธิ์ภายในร่างของเขาเริ่มสูญเสียการควบคุม เขาต้องการหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง แต่ไม่มีเสียงเล็ดรอดออกมา
ปัง!
แสงสว่างเจิดจ้ากระจายจากทุกคน โซเฟียและทหารอื่นไม่สามารถหนีพ้นจากรังสีแสงที่กลืนกินพวกเขาได้
ถังเทียนสีหน้าเปลี่ยนเขาไม่ลังเลใจกางเขนตนเองและสายใยกฎธรรมชาติผุดขึ้นในอากาศและเติบโตเหมือนไม้เถาเปลี่ยนเป็นกำแพงกฎธรรมชาติ เกราะเทพเจ้าของเขาใช้พลังงานอย่างเต็มพิกัด แสงโปร่งใสจากกฎธรรมชาติและกำแพงแสงป้องกันหลังพวกเขาไว้
เชียนฮุ่ยที่วิ่งหนีอย่างเต็มที่รู้สึกถึงสิ่งผิดปกติบางอย่างในใจทันที นางหันหลังไปมอง เมื่อนางเห็นแขนที่กางอยู่ภายในกำแพงแสง ถังเทียนมองดูคล้ายกับแมงเม่าที่อยู่ในแก้วอำพัน ความคิดของนางชะงักค้าง หน้าของนางไม่มีสีเลือด
“ไม่.........”
เสียงกรีดร้องบีบหัวใจดังออกมาและแสงรัศมีกลบกลืนทุกสิ่งทุกอย่าง
********************
ห้าปีต่อมา
เมืองซิงฟงกลายเป็นศูนย์กลางเชื่อมสวรรค์วิถีกับดาราจักรเซียนศักดิ์สิทธิ์ และพื้นที่ของเมืองขยายออกไปอีกหลายเท่า แต่ความรุ่งเรืองที่แท้จริงของเมืองซิงฟงเกิดจากข้อเท็จจริงที่ว่าเป็นสถานที่โปรดปรานของราชินี นับตั้งแต่ราชินีผนวกรวมดาราจักรเซียนศักดิ์สิทธิ์และสวรรค์วิถีเป็นหนึ่งนางย้ายมาพำนักอาศัยอยู่ที่เมืองซิงฟง
กล่าวกันว่าเมื่อนางยังเยาว์วัย ราชินีพักอาศัยอยู่ที่เมืองซิงฟง และมีความรู้สึกผูกพันต่อแผ่นดิน
วังของราชินีถูกสร้างอยู่บนยอดเขานอกเมืองซิงฟงเก่าซึ่งเป็นฉากภาพธรรมดา และไม่มีใครรู้ว่าทำไมราชินีถึงโปรดปรานสถานที่นี้
เชียนฮุ่ยนั่งอยู่บนโขดหินเอามือเท้าคาง ขณะที่นางเหม่อมองออกไปไกล ทุกๆ คืนในอดีตเขาจะฝึกวิทยายุทธพื้นฐานที่นี่ ก่อนที่นางจะไปจากเมืองซิงฟง นางมักจะนั่งเฝ้าดูเขาฝึก
นางนั่งอยู่กับที่เงียบๆ และตระหนักได้ว่าราตรีคลี่ขยายคลุมท้องฟ้าแล้วนางลุกขึ้นยืนและกลับเข้าไปในวัง
หลังจากเสร็จอาหารมื้อค่ำ นางจะมาที่ห้องน้ำแข็ง
ภายในห้องน้ำแข็งวางไว้ด้วยโลงน้ำแข็งซึ่งมีเด็กหนุ่มนอนทอดร่างอย่างสงบ
เชียนฮุ่ยมองใบหน้าที่คุ้นเคยเงียบๆ ตู้เค่อบอกว่าภายในร่างของเขายังคงมีร่องรอยชีวิต และนางมักรอเขาอยู่เสมอ
นางพูดอย่างอ่อนโยนตามปกติ “พี่เทียน เมื่อไหร่ท่านจะตื่น?พรุ่งนี้จะเป็นวันเกิดท่านแล้ว พวกเขาจะมากันทุกคน ท่านไม่พบพวกเขามาหลายปีแล้ว ข้าคิดว่าทุกคนแข็งแกร่งขึ้นแล้ว ดังนั้นท่านรีบตื่นขึ้นจะดีกว่า ถ้าไม่อย่างนั้น เสี่ยวซิ่วซิ่วบอกว่าพรุ่งนี้จะตีท่านให้ร้องเอ๋งเหมือนสุนัขเลย...”
มีเสียงอู้อี้ปนโกรธดังออกมาจากภายในโลงน้ำแข็ง
“จะตีข้าให้ร้องเหมือนสุนัขเรอะ? หนอย...พอข้าไม่ทุบตีเขาสักสองสามวันนี่บังอาจกับข้าแล้วหรือ? ไม่, ทำอย่างนั้นไม่ได้ ข้าจะไม่ทนความเย่อหยิ่งของเขาอีกแล้ว....”
เชียนฮุ่ยตะลึง ราวกับร่างนางต้องมนตร์
ขอบคุณที่ติดตามจนจบนะครับ