ตอนที่ 942 กำเนิดใหม่เพื่อรบ
กระบวนศึกสีทองและกระบวนศึกสีดำเผชิญหน้ากันเองเป็นภาพสีตัดกันอย่างชัดเจน
สมรภูมิขนาดใหญ่ตกอยู่ในความเงียบอย่างมิอาจอธิบายได้ มีแต่เพียงเสียงธงโบกสะบัดได้ยินชัดเจน
ประมุขผู้อาวุโสจ้องมองกองทัพขุนพลวิญญาณสีดำที่จู่ๆก็ปรากฏมาต่อหน้าเขาอย่างเหลือเชื่อ ‘ขุนพลวิญญาณเหล่านี้มาจากไหนกัน? เพื่อจะสร้างกองทัพขุนพลวิญญาณของข้า ข้าต้องใช้ชีวิตคนตั้งมากมาย’
จำนวนของขุนพลวิญญาณฝ่ายศัตรูไม่ด้อยไปกว่าฝ่ายของเขาและสิ่งที่เขาไม่สามารถทนได้ก็คือขุนพลวิญญาณมีคุณภาพสูงมาก และพวกเขาแข็งแกร่งมากกว่าขุนพลวิญญาณเพลิงศักดิ์สิทธิ์ที่เขาสร้างขึ้น
‘เป็นแบบนี้ไปได้ยังไง...’
‘กองทัพกางเขนใต้?” ทันใดนั้นประมุขผู้อาวุโสจำชื่อนี้ได้ ครั้งหนึ่งเคยปรากฏรายงานเกี่ยวสวรรค์วิถี ‘นั่นคือกองทัพโบราณ และถูกทำลายไปในประวัติศาสตร์แล้ว ยังมีขุนพลวิญญาณมากมายคงอยู่อย่างนี้ได้ยังไง? เป็นเวลาหมื่นปีมาแล้ว ขุนพลวิญญาณตนหนึ่งสามารถทนต่อการกัดกร่อนได้สองสามร้อยปีก็นับว่าทรงพลังมากแล้ว แต่หมื่นปี นั่นหมายความว่ายังไง? เป็นเวลานานมากจนแม้แต่ขุนพลวิญญาณก็ต้องการฆ่าตัวตาย’
เขาไม่เคยได้ยินว่าขุนพลวิญญาณจะสามารถอยู่รอดได้ถึงหมื่นปี
‘แต่ไม่ใช่เพียงแค่นั้น ยังมีมากกว่านั้น!’
ประมุขผู้อาวุโสรู้สึกว่าความรู้เรื่องขุนพลวิญญาณของเขาพังทลายโดยสิ้นเชิง
ทหารที่เป็นขุนพลวิญญาณล้วนแต่ห้าวหาญดุดันกันทุกคน พวกเขาเปล่งพลังกระตือรือร้นต้องการรบ กระบวนศึกของพวกเขาเข้มงวดมีวินัย และเขาสามารถเห็นได้ว่าแต่ละนายผ่านการรบมาเป็นพันศึกเนื่องจากพวกเขาเปล่งพลังของทหารผู้ผ่านศึกมาแล้ว
เมื่อทหารผ่านศึกเหล่านี้มารวมตัวกันรังสีฆ่าฟันที่โดดเด่นซึ่งพวกเขาปลดปล่อยออกมาสามารถข่มกองทัพขุนพลวิญญาณเพลิงศักดิ์สิทธิ์ได้
ถังเทียนเองก็ตกใจพอกัน เขารู้ว่ากระบี่อมตะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ภายในวังวนพายุหมุนกระบี่และรู้ว่าวิญญาณที่แตกกระจายกลับมีร่างที่เลือนราง แต่เมื่อเขาเห็นพวกเขาเดินออกมาจากกระบี่อมตะอย่างเงียบงัน พวกเขาแบกธงกองทัพกางเขนใต้ออกมาได้ยังไง ใจของเขาเต็มไปด้วยความปลื้มปนเศร้า
เพราะเขารู้ว่าพวกเขาต้องผ่านเวลามานานถึงหมื่นปีในทุกร้อยปี พวกเขาจะเป็นเหมือนแมงเม่าบินเข้ากองไฟและแตกกระจายเป็นชิ้นๆ
ทะเลสุคติ พื้นที่ซึ่งมีความหมายว่าเป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ซึ่งความหวังและความฝันของพวกเขาได้ตระหนักรับรู้และจะกลายเป็นสมรภูมิหมื่นปีไปจริงๆ
เมื่อไม่รู้ว่ากองทัพของเราเป็นหรือตายจะให้เราพักอย่างสงบได้ยังไง!
เมื่อเขาเห็นว่าขุนพลวิญญาณทั้งร่างและกระดูกต้องแตกกระจัดกระจายไปยังไงผ่านช่วงเวลามานานหมื่นปีของการต่อสู้ภายในที่มืดมิดที่สุดซึ่งไม่มีใครรู้จัก พวกเขาออกมาจากทะเลสุคติด้วยร่างกายที่สร้างตัวขึ้นใหม่ผ่านเวลามานานหมื่นปี คงเอาไว้ซึ่งความปรารถนาและความเชื่อมั่นที่ติดตัวนานนับหมื่นปี เมื่อเขาเห็นวิธีที่พวกเขายืนอยู่ใต้ธงกองทัพกางเขนใต้และตะโกนออกมาสุดเสียงอารมณ์ปั่นป่วนเกิดขึ้นในใจของถังเทียน
ตาของอาซิ่นเต็มไปด้วยน้ำตา สหายของเขา รุ่นพี่ของเขาทุกคนยืนอยู่ต่อหน้าเขา ทุกคนพร้อมสู้เคียงข้างเขา
ในนามของกองทัพกางเขนใต้ เราจะสู้!”
‘เวลาถูกเราลืมไปแล้ว เราบรรลุผ่านความเป็นจริง หมื่นปีต่อมา เราได้ร่วมรบกันในสนามรบอีก เราทั้งหมดจะยืนเคียงข้างกันอีกครั้ง คำสาบานที่เราสาบานในปีนั้นยังคงอยู่ในหัวใจของเราและธงศึกในปีนั้นก็ยังโบกสะบัดอยู่เหนือหัวเรา’
‘เฮ้, หมื่นปีผ่านไปแล้ว แต่เราก็ยังเป็นเรา!’
‘เฮ้, หมื่นปีผ่านไปแล้ว แต่กองทัพกางเขนใต้ก็ยังเป็นกองทัพกางเขนใต้!’
อาซิ่นปาดน้ำตาและเดินไปหยุดอยู่ข้างหน้าบุรุษร่างใหญ่ ทำความเคารพและพูดเสียงดัง “พลเอกอาซิ่นแห่งกองทัพกางเขนใต้มารายงานตัวแล้ว”
ดวงตาของประมุขผู้อาวุโสหรี่อีกครั้ง เขารู้ว่าเขาเข้าใจผิดไปอย่างแท้จริง ‘พลเอกอาซิ่นก็คือพลเอกอาซิ่นที่กำจัดกองทัพตระกูลชิวได้!’ เขาไม่เคยคาดเลยว่าขุนพลวิญญาณที่ยืนงงอยู่นั้นจะเป็นอาซิ่น!
บุรุษร่างใหญ่ทำความเคารพตอบ และพูดขึ้น “ท่านนายพลขอรับ, ตามกฎอัยการศึกท่านถือครองอำนาจสูงสุด แต่ก่อนอื่น,ท่านนายพลขอรับ, บอกเราหน่อยได้ไหม กองทัพยังคงอยู่หรือไม่?”
ในรูปกระบวนศึกที่เข้มงวดเป็นครั้งที่มองเห็นความปั่นป่วน ดวงตาของทหารทุกคนมองดูอาซิ่น
“กองทัพไม่มีอยู่อีกแล้ว” อาซิ่นพูดอย่างสงบ
ดวงตาของทหารแต่ละคนหม่นหมองลงและเสียงสะอื้นที่สามารถได้ยินได้ดังขึ้นมาจากกระบวนศึก ร่างของพวกเขาหลายร่างเริ่มหมองลงเล็กน้อย ตอนแรกพวกเขาทุกคนวิญญาณแตกกระจาย และไม่เคยหายไปเพราะความเชื่อมั่นอยู่ในหัวใจพวกเขา พวกเขาดิ้นรนอดทนอย่างขมขื่นและไม่เคยถูกเวลาทำลายไป แต่หลังจากได้ยินว่ากองทัพไม่มีอยู่อีกต่อไปพวกเขารู้สึกว่าการติดตามของพวกเขาไม่มีความหมายอีกต่อไปเมื่อสูญเสียความเชื่อมั่นสนับสนุน ร่างของพวกเขาเริ่มหลอมละลายเหมือนกับน้ำแข็ง และพวกเขาเริ่มหายไป
บุรุษร่างใหญ่ข้างหน้าน้ำตาร่วง จากนั้นร้องไห้ “เรามาช้า ในที่สุด เราก็ยังช้า.. ใช่แล้ว มันเป็นเวลาหมื่นปีแล้ว...”
หัวใจของอาซิ่นกระตุกด้วยความเจ็บปวดราวกับว่าถูกมีดแทง เมื่อได้ยินการตำหนิตัวเองและความเศร้าความผิดหวัง ฉากภาพที่พวกเขาเป็นเหมือนแมงเม่าเข้ากองไฟผุดขึ้นมาในเขา ภายในทะเลสุคติได้ยินคำพูดเหล่านี้ไม่มีหมดสิ้น “เมื่อไม่รู้ว่าทหารของเราเป็นหรือตาย เราจะพักอย่างสงบได้ยังไง!”
เขาสูดหายใจลึก จากนั้นใช้พลังทั้งหมดคำรามลั่น “แต่เราอยู่ที่นี่!”
พวกทหารเงยหน้าขึ้นและมองดูขุนพลวิญญาณที่ดูเหมือนอ่อนแอด้วยตาเลือนราง
“เราอยู่ที่นี่ กองทัพของเราก็อยู่ที่นี่
อาซิ่นเน้นทุกคำ ทำให้ทุกคำก้องกังวานกระทุ้งใจพวกทหาร พวกเขาเช็ดน้ำตาเงยหน้าขึ้นและตบอก
ตาของอาซิ่นกวาดผ่านทุกคนช้าๆและถามเสียงดัง “เวลาหมื่นปียังจะทำลายเราได้หรือ? ทำไม, เพราะอะไร”
เมื่อพบกับสายตาของทุกคนได้พบกับแสงทองเสียดตา ทันใดนั้นอาซิ่นคิดถึงลั่วซือผู้กรีดร้องอยู่ในโลงศพมาเป็นเวลาหมื่นปี และคิดถึงเด็กหนุ่มผู้นำความรุ่งเรืองของกองทัพจักรกลมรดกของกองทัพกลับคืนมา และคิดถึงทุกคนที่มีชีวิตอยู่ในทะเลสุคติทุกวันคืน
เป็นครั้งแรกที่สีหน้าไม่จริงจังของเขามีความหยิ่งและท่าทีที่ผยอง เขาชี้ทุกคน จากนั้นชี้อกของเขาเองและเน้นคำพูดทุกคำให้ทุกคนฟัง
“ตราบใดที่วิญญาณของเรายังคงอยู่ กองทัพกางเขนใต้จะไม่ตาย!”
ปัง!
ขุนพลวิญญาณทุกคนรู้สึกสะท้านใจ คำพูดเหล่านั้นดูเหมือนจะมีผลต่อสมองของพวกเขาโดยตรง และความรู้สึกสูญเสียและอารมณ์ผิดหวังในตอนแรกหายไปและสติของพวกเขาแจ่มชัดทันที ‘ใช่แล้ว! ท่านนายพลพูดถูก! เรามาเสริมกำลังให้กองทัพช้า และแม้ว่ากองทัพเราจะหายไปแล้ว แต่เรายังคงอยู่ และความรับผิดชอบต่อความรุ่งเรืองของกองทัพเราได้ตกมาถึงเราแล้ว!’
‘เรามีภาระผูกมัด!’
‘คนอื่นยังไงก็ช่าง, แต่เรามี!’
ทหารผู้หยิ่งภูมิใจทุกคนที่เริ่มอยู่ในสภาพหม่นหมองและมีร่างเลือนราง หน้าของพวกเขาเปล่งประกายที่ไม่เหมือนใครทันที
ความตั้งใจสู้รบของพวกเขาพุ่งทะยานขึ้นท้องฟ้า และกลายเป็นรูปมังกรกระแทกใส่ผนังเพลิงศักดิ์สิทธิ์ในท้องฟ้า
ปัง ปัง ปัง!
ผนังเพลิงศักดิ์สิทธิ์ในท้องฟ้าสั่นสะเทือน และเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์เริ่มร่วงลง
ตาของอาซิ่นเป็นประกายมุ่งมั่น เขามองดูทหารผู้ถือกำเนิดใหม่ หัวใจของเขาเต็มไปด้วยอารมณ์แบบเดียวกัน และความต้องการสู้กระจายออกจากตัวของเขา เมื่อเขาตะโกนคำพูดออกมา หัวใจที่มืดมิดของเขาพลันกระจ่าง “ใช่แล้ว, แล้วมันจะเป็นยังไงเล่า, ต่อให้กองทัพไม่อยู่อีกต่อไป แต่เรายังอยู่ที่นี่!’
‘เมื่อพวกเขาอยู่ที่นี่ กองทัพก็อยู่ที่นี่, ที่นี่แหละ!’
อาซิ่นเปล่งรัศมีเยือกเย็นจากทั่วร่าง ให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าเขากลายเป็นกระบี่ที่ชักออกจากฝัก และเป็นกระบี่ที่คมกริบที่สุดไม่มีใครสามารถต่อต้านเขา เขามองดูกระบวนรบสีทองข้างหน้าเขา และมุมปากของเขายิ้มเหยียดหยาม ‘พวกเจ้าทุกคนก็แค่ชิ้นเปลือกหอยที่เอามาต่อเข้าด้วยกัน, มาเลย,เราจะให้พวกเจ้าได้เห็นว่ากองทัพที่แท้จริงเป็นเช่นไร!’
เขาชูมือทั้งสองและตะโกน
“กองทัพกางเขนใต้, หน้า...เดิน!”
พรึ่บ พรั่บ......
คลื่นสีดำเคลื่อนขบวนไปข้างหน้าช้าๆ พวกเขาเคลื่อนไหวในระดับที่ยังช้า แต่พวกเขาเปล่งประกายที่ไม่มีใครหยุดยั้งได้เพียงพอจะย่ำยีพวกที่กล้ายืนต่อต้านพวกเขา
ประมุขผู้อาวุโสเห็นกระบวนการทั้งหมดด้วยตัวเอง และมีสองสามครั้งที่เขาต้องการจะขัดขวางพวกเขา แต่แล้วก็ไม่สามารถทำได้ ‘ความโหยหากองทัพของพวกเขาและความกลมเกลียวของพวกเขาน่าตกใจอย่างแท้จริง’ เขารู้สึกอิจฉา ‘ข้าจะสร้างบริวารที่ภักดีอย่างนั้นได้ยังไง?’
เขารีบทิ้งความคิดนั้นออกไปจากหัว เพราะไม่ใช่เรื่องสำคัญในขณะนั้น ‘มีแต่ผู้ชนะสงครามครั้งนี้เท่านั้นจึงจะมีอนาคต’
หลังจากพบกับเรื่องตกใจในตอนแรก เขารีบสงบใจทันที การปรากฏตัวกะทันหันของกองทัพขุนพลวิญญาณทำให้เขาเสียกระบวน แต่เขาก็ยังมีความมั่นใจ พวกเขาอยู่ในทวีปเซียน สถานที่มีเพลิงศักดิ์สิทธิ์ไม่จำกัด และเป็นสนามรบใหญ่ที่ซึ่งเขาวางกำลังไว้อย่างรอบคอบ
‘เจ้าพวกนั้นต้องการจะเอาชนะข้าที่นี่ คิดฝันเอาเองชัดๆ’
เขายิ้มอย่างมั่นใจ จากพูดอย่างเฉื่อยชา “โซเฟีย ข้าจะปล่อยกองทัพนี้ให้เจ้า”
โซเฟียคำนับเขา จากนั้นหันไปนำกองทัพขุนพลวิญญาณเพลิงศักดิ์สิทธิ์ ควั่บ.. คลื่นสีทองเคลื่อนพลขึ้นหน้าเช่นกัน
ประมุขผู้อาวุโสแสดงสีหน้าพอใจ แม้ว่าลักษณะของศัตรูจะแข็งแกร่ง แต่โซเฟียไม่ได้รับผลกระทบแม้แต่น้อย และขุนพลวิญญาณของเขาเองก็ไม่รู้จักความกลัว ดังนั้นจึงไม่มีแววหวาดกลัวในสีหน้า
‘ไม่สำคัญว่าพวกเขายังขาดประสบการณ์ เราก็แค่ต้องให้พวกเขาฝึกฝนเพิ่มขึ้น ไม่สำคัญว่าพวกเขาจะได้รับบาดเจ็บ มีเพลิงศักดิ์สิทธิ์สำรองอีกมากมายเอาไว้ให้พวกเขาที่นี่ ไม่สำคัญหรอกว่าพวกเขาจะตาย หลังจากกรองพวกเขาออกมาพวกที่เหลือก็คือพวกเขาชั้นยอด เรามีทหารชั้นเลวอีกมาก’
‘นอกจากนี้ ที่นี่คือสมรมภูมิของข้าเอง พวกเขาคิดว่าการต่อสู้ที่นี่เป็นเรื่องง่ายหรือ?’
ตาของประมุขผู้อาวุโสเป็นประกายเยือกเย็น เขาขยับนิ้วที่ท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว และเหมือนกับว่านิ้วของเขาเชื่อมโยงกับม่านเพลิงศักดิ์สิทธิ์ในอากาศด้วยด้ายที่มองไม่เห็น เพลิงศักดิ์สิทธิ์เริ่มเทลงมาเหมือนฝน
เพลิงศักดิ์สิทธิ์ร่วงลงบนกองพลขุนพลวิญญาณเพลิงศักดิ์สิทธิ์ ทำให้รัศมีของพวกเขาขยายกระจายออก และเมื่อเพลิงศักดิ์สิทธิ์ตกใส่กองทัพกางเขนใต้กลับลดรังสีฆ่าฟันของพวกเขาได้ทันที ด้วยการสะดุดเพลิงศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาซบเซาลงเล็กน้อยและถูกขัดขวางอย่างเลือนราง
ตู้เค่อก้าวออกมาพร้อมกับรอยยิ้มทันที วิชาของประมุขผู้อาวุโสอาจจะดูทรงพลังในสายตาผู้อื่น แต่สำหรับตู้เค่อเป็นแค่การเคลื่อนไหวง่ายๆ
เขาลอยตัวเข้าหาอาซิ่น จากนั้นวาดวงกลมด้วยฝ่ามือในอากาศ
ความผันผวนแพร่กระจายออกไปเหนือกองทัพ และม่านพลังเลือนรางปรากฏขึ้น เมื่อเพลิงศักดิ์สิทธิ์กระทบกับม่านพลังนี้จะถูกทำลายและแตกกระจายไปอย่างรวดเร็ว เพลิงศักดิ์สิทธิ์เปลี่ยนเป็นพลังงานกลวงเข้าไปเสริมพลังให้อาซิ่นและทหารของเขา นี่เป็นสิ่งที่เขาเรียนรู้จากวังวนพายุกระบี่ของถังเทียน เป็นเพราะการควบคุมกฎธรรมชาติของเขาโดดเด่นมากกว่า และแม้ว่าวิชาของเขาจะไม่ดูทรงพลังเมื่อเทียบกับวังวนพายุกระบี่แต่ก็สามารถเติมพลังให้กับทหารได้
ประมุขผู้อาวุโสมองดูตู้เค่อ แต่ไม่รู้สึกแปลกใจ แม้ว่าเขากับตู้เค่อจะสู้รบกันมาชั่วครู่ก็ตามแต่ทั้งสองฉลาดเฉลียวทันกัน แต่ตู้เค่อสามารถใช้วิธีเฉพาะอย่างแปลงพลังงานเพลิงศักดิ์สิทธิ์ก็ยังทำให้เขาตาเป็นประกาย
แต่สำหรับเขา การควบคุมเพลิงศักดิ์สิทธิ์ต้องใช้สมาธิหรือพลังไม่ถึงเกือบทั้งหมด แต่ตู้เค่อจะทนได้นานเพียงไหน?
‘การใช้งานของเจ้าอาจแสดงให้เห็นว่าเจ้าได้ค้นคว้าศึกษาเพลิงศักดิ์สิทธิ์ของข้ามา แต่เจ้าคิดหรือว่าข้าจะมีวิธีการใช้อยู่เพียงเท่านี้?’
ประมุขผู้อาวุโสแค่นเสียง
ด้านล่างกระแสสีทองและกระแสสีดำปะทะกันอย่างหนักหน่วง
การสู้รบปะทุขึ้นถึงระดับสุดยอดในทันที