บทที่ 907 (28) ความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน(ตอนฟรี)
บทที่ 907 (28) ความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน
“อุ๊ปส์—! ฮ่าๆ~!”
“สุดยอดจริงๆ!”
เมื่อได้ยินคำพูดที่หยิ่งจองหองอย่างไม่มีที่สิ้นสุดของหรงเป่ากัง จี้เฟิงที่ยืนอยู่ด้านนอกใกล้กับห้องสอบสวนก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะและพูดอย่างประชดประชัน “ดีๆ จะเป็นคนแบบนี้ได้นี่ไม่ง่ายเลยนะ! ช่างเป็นคนที่มีพรสวรรค์จริงๆ!”
เจิ้งหยวนซานก็ยิ้มเล็กน้อยและส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ “ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับคนประเภทนี้ที่จะมีคำพูดแบบนี้หลุดจากปาก”
จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ
เจิ้งหยวนซานเป็นตำรวจมาหลายปีแล้ว ยังมีอะไรอีกที่เขาไม่เคยเห็น? โดยเฉพาะพวกลูกคุณหนูที่เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่ออีกทั้งยังไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำแบบนี้ คงพบเจอมาจนรู้แพทเทิร์นบทพูดหมดแล้ว!
อย่างไรก็ตาม จี้เฟิงค่อนข้างมีความสนใจหรงเป่ากังคนนี้ เขายิ้มและพูดว่า “ผมอยากรู้จริงๆว่าทำไมผู้ชายคนนี้ถึงได้เต็มไปด้วยความมั่นใจขนาดนี้ เขาไม่รู้หรือว่าผู้อาวุโสจากหนานเยว่อาจไม่สะดวกที่จะยื่นมือมาช่วยเหลือในเจียงโจว?!”
เจิ้งหยวนซานพูดด้วยรอยยิ้ม “เมื่อเทียบกับเจียงโจวแล้ว หนานเยว่ก็ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก ผู้คนในพื้นที่นั้นได้เห็นโลกได้ผ่านสังคมมาหลากหลายรูปแบบ จะทำตัวเย่อหยิ่งสักหน่อยก็ไม่ใช่เรื่องแปลก.. เสี่ยวเฟิง เข้าไปดูด้วยกันไหม?”
จี้เฟิงพยักหน้าและพูดด้วยรอยยิ้ม “แน่นอน! ผมอยากเห็นว่าไอ้หมอนี่มันจะทำตัวจองหองไปได้ถึงระดับไหน!”
จี้เฟิงเดินตามเจิ้งหยวนซานเข้าไปในห้องห้องหนึ่งซึ่งอยู่ติดกับห้องสอบสวน ภายในนั้นมีโต๊ะวางอยู่สองตัว โดยโต๊ะตัวหนึ่งติดอยู่กับผนังฝั่งห้องสอบสวนและมีเครื่องมือบางอย่างวางอยู่บนโต๊ะ ส่วนผนังทางฝั่งของห้องสอบสวนเป็นกระจกสีดำบานใหญ่
เมื่อมองจากฝั่งนี้ พวกเขาสามารถเห็นฉากในห้องสอบสวนที่อยู่ติดกันได้อย่างชัดเจน ผู้ชายที่ชื่อหรงเป่ากังนั่งอยู่ทางฝั่งหนึ่งของโต๊ะและมีตำรวจสองคนนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเขา ใบหน้าของพวกเขาดูมืดมน
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้จี้เฟิงรู้สึกประหลาดใจก็คือ หรงเป่ากังและตำรวจสองคนนั้นไม่มีปฏิกิริยาใดๆต่อการเข้ามาของจี้เฟิง ราวกับว่าพวกเขาไม่รู้ว่าจี้เฟิงและเจิ้งหยวนซานเข้ามาในห้องแล้ว
“ลุงเจิ้ง นี่เป็นคงเป็นกระจกทางเดียวสินะครับ?” จี้เฟิงถามเสียงเบา
“ใช่แล้ว!” เจิ้งหยวนซานพยักหน้าและยิ้ม “กระจกชนิดนี้ถูกทำขึ้นมาเป็นพิเศษ เมื่อมองจากทางฝั่งเรา จะมองเห็นทุกการเคลื่อนไหวของอีกฝั่งได้อย่างชัดเจน แต่ถ้าไปมองจากทางฝั่งของห้องสอบสวน มันเป็นแค่กระจกเงาธรรมดา จะมองไม่เห็นสิ่งอื่นใดนอกจากเงาของตัวเองในกระจก”
“แล้วเรื่องของการกันเสียงล่ะ?” จี้เฟิงยังคงถามด้วยเสียงที่เบา
“กันดียิ่งกว่ากำแพงเสียอีก!” เจิ้งหยวนซานพูดด้วยรอยยิ้ม “อย่ากังวล เราใช้กระจกแบบพิเศษ มันทำมาเพื่อการสอบสวนและสังเกตการณ์โดยเฉพาะ ต่อให้เราตะโกนโหวกเหวกกันอยู่ที่นี่ ห้องข้างๆก็ไม่ได้ยิน!”
“อ่าหะ ไม่เลวๆ!” จี้เฟิงพยักหน้า
“เสี่ยวเฟิง นั่งลงแล้วคุยกันดีกว่า!” เจิ้งหยวนซานพูดและนั่งลงบนเก้าอี้ที่ใกล้ที่สุดก่อนจะพูดขึ้นอีกครั้งด้วยรอยยิ้ม “ดูท่าทางหยิ่งผยองของเจ้าเด็กนี่สิ ฉันเดาว่าเขาคงไม่พูดความจริงไปอีกพักใหญ่ๆ เราอาจจะต้องรอนานหน่อย”
จี้เฟิงนั่งลงข้างๆเจิ้งหยวนซานอย่างว่าง่ายและมองดูการสอบปากคำที่อยู่ในห้องถัดไปอย่างเงียบๆผ่านกระจกทางเดียว
“เฮ้! ฉันพูดว่าไง พวกคุณไม่ได้หูตึงใช่มั้ย? อย่ามัวแต่นั่งงงอยู่ที่นี่ รีบไปเรียกหัวหน้าของพวกคุณมาสิ!” หรงเป่ากังที่ตะโกนอย่างเย่อหยิ่งไปก่อนหน้านี้ตะโกนอีกครั้งอย่างหงุดหงิดเมื่อพบว่าตำรวจสองคนที่สอบปากคำเขาไม่ยอมทำตามที่เขาพูด ไม่ยอมพาเขาออกไปและไม่ยอมไปจับคนที่ทำร้ายร่างกายเขา แต่กลับมานั่งจ้องหน้าเขาด้วยใบหน้าที่ดำมืด
“โปรดรู้สถานะของตัวเองด้วย!” ตำรวจคนหนึ่งพูดเสียงเข้ม “ตอนนี้คุณตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีลักพาตัวแล้ว!”
“เพ้อเจ้อ! ผู้ต้องสงสัยอะไร? นี่มุกตลกประจำสถานีตำรวจเหรอ?”
หรงเป่ากังชำเลืองมองตำรวจทั้งสองอย่างไม่ใส่ใจ “สงสัยหูจะตึงจริงๆ ไม่รู้สอบตำรวจผ่านมาได้ยังไง... ฉันเพิ่งบอกไปไงว่าพ่อของฉันเป็นประธานใหญ่แห่งหรงเผิงกรุ๊ป ไหนจะพี่เขยของฉันอีก คนระดับพวกคุณอาจไม่เข้าใจ แต่เขามีภูมิหลังที่ยิ่งใหญ่มาก! ที่พูดอยู่นี่ถือว่าฉันใจดีมากแล้ว! เพราะอันที่จริงฉันไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรให้พวกคุณฟังเลยก็ได้ อย่าว่าแต่การลักพาตัวเล็กๆน้อยๆนี่เลย แม้ว่าฉันจะฆ่าใครซักคน พวกคุณก็ไม่มีสิทธิ์มาตั้งคำถาม เข้าใจรึยัง?”
“คุณยอมรับแล้วใช่มั้ยว่าคุณลักพาตัวคุณคังหยวน วิศวกรของโรงงานเซียวฟามาซูติคอล?” ตำรวจอีกคนถามด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก
“เฮ้ย!”
หรงเป่ากังเหลือบมองเขา ริมฝีปากโค้งงอและพูดว่า “พี่ชาย แม้ว่าฉันจะไม่ได้แก่เท่าคุณ แต่ก็ไม่จำเป็นว่าฉันต้องโง่กว่าคุณนะ! ฉันบอกตอนไหนว่าลักพาตัวใครบางคน?”
หลังจากนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็พูดว่า “ฟังนะ ตอนนี้ฉันต้องการจะโทรหาทนายของฉัน และจำไว้ว่า ฉันจะไม่พูดอะไรจนกว่าทนายของฉันจะมาถึง! แน่นอนว่ามีอีกอย่างที่ฉันอยากจะพูด ฉันจะเตือนคุณเอาไว้ล่วงหน้าว่าเมื่อทนายของฉันมาถึง คุณจะไม่มีโอกาสได้ทำอะไร รับรองได้เลยว่าตอนนั้นสิ่งที่เดียวที่คุณจะได้ทำคือหากล่องกระดาษมาเก็บข้าวของและกลายเป็นคนตกงาน จำเอาไว้!”
“คุณ...” ตำรวจพูดอย่างโกรธจัด “อย่าถ่วงเวลา!”
ตำรวจอีกคนพูดกล่าวขึ้นเบาๆ “ตอนนี้ฉันก็อยากบอกคุณอย่างหนึ่งเหมือนกัน แม้ว่ากฎหมายในประเทศเราจะอนุญาตให้คุณร้องขอหรือจ้างทนายได้ แต่คุณก็ยังต้องให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในการสืบสวน ดังนั้นก็พูดมาได้แล้วว่าทำไมคุณถึงกระทำการลักพาตัว? เป้าหมายของคุณคืออะไร? และใครคือคนที่สั่งคุณ?!”
“นอกจากหูตึงแล้วสมองยังทำความเข้าใจได้ยากอีกแฮะ!” หรงเป่ากับเบ้ปากและส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ “เฮ้อ... ฉันล่ะสงสารคุณสองคนจริงๆ เมื่อทนายของฉันมาถึงและพี่เขยของฉันรู้เรื่องนี้ ฉันจะทำให้คุณสองคนนั่งร้องไห้แม้กระทั่งจะหาหลุมฝังศพเตรียมไว้ให้ตัวเองก็ไม่มีโอกาส!”
“.....” ในห้องที่ติดกับห้องสอบสวน จี้เฟิงมองไปที่หรงเป่ากังผู้ซึ่งกำลังวางท่าอย่างเย่อหยิ่งจองหองด้วยใบหน้าที่ตกตะลึง “มีคนที่สุดยอดขนาดนี้อยู่บนโลกนี้ด้วยหรือเนี่ย? ต้องโตมาแบบไหนกันนะ..”
“อืม.. เด็กคนนี้จองหองมาก วางท่าอวดเบ่งใหญ่โตจนไม่รู้จะพูดยังไงเลยจริงๆ” เจิ้งหยวนซานกล่าว “หรือไม่ก็ทำเรื่องแบบนี้บ่อยจนหัวหมอ รู้ว่าอะไรเป็นอะไร!”
จี้เฟิงใช้มือข้างหนึ่งลูบคางของตัวเองเบาๆโดยไม่รู้ตัวและพูดอย่างครุ่นคิด “อย่าเพิ่งมาหัวหมอตอนนี้เลย.. ครั้งนี้เราไม่สามารถใช้วิธีทรมานให้ได้รับคำสารภาพมาซะด้วย... เอาไงดีครับลุงเจิ้ง ในเมื่อเขาอยากเล่นเกม ก็ปล่อยให้เล่นถามตอบอยู่แบบนี้ซักคืนสองคืนดีมั้ยครับ?”
“นี่ก็เป็นการทรมานในรูปแบบหนึ่งเช่นกัน!” เจิ้งหยวนซานกล่าว
จี้เฟิงแค่นเสียงอย่างหงุดหงิด “ตราบใดที่เขาไม่ได้รับบาดเจ็บก็ไม่น่าจะเป็นไรนี่นา! อย่างน้อยตอนนี้เขาถูกตัดสินว่าเป็นผู้ต้องสงสัยคดีลักพาตัวแล้ว มันน่าจะขยายผลจากตรงนี้ได้ไม่ใช่เหรอครับ?”
“อืม ฉันก็ทำได้แค่ลองดู” เจิ้งหยวนซานก็อยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นกัน หากคุณต้องการซักไซ้ใครสักคนจริง ๆ คุณจะต้องมีประสบการณ์มากมายและมีเล่ห์เหลี่ยมสกปรกทุกรูปแบบ แต่ปัญหาคือ หรงเป่ากังคนนี้ไม่ใช่ผู้ต้องสงสัยธรรมดา คุณจะรู้ได้ยังไงว่ามีคนยิ่งใหญ่ระดับไหนอยู่เบื้องหลังหรงเป่ากัง? และตอนนี้ก็เห็นได้ชัดว่าจี้เฟิงกำลังพุ่งเป้าไปยังคนที่อยู่เบื้องหลังหลงเป่ากังโดยตรง!
ดังนั้น เจิ้งหยวนซานจึงทำได้เพียงพยายามอย่างเต็มที่ แต่ไม่ว่าเขาจะประสบความสำเร็จหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
“ฝากด้วยนะครับลุงเจิ้ง!” จี้เฟิงพยักหน้าและพูดว่า “แต่ไม่ต้องเครียดไปหรอกครับ เรายังพอมีเวลา”
“ไม่ต้องห่วง ฉันจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อแงะปากเข้าเด็กนี่ให้เปิดออกโดยเร็วที่สุด!” เจิ้งหยวนซานกล่าว
จี้เฟิงพยักหน้าเล็กน้อยด้วยรอยยิ้มจางๆ แต่ในใจกำลังคิดอยู่ว่าเหตุผลที่ทำให้หรงเป่ากังกล้าแข็งข้อด้วยท่าทีที่ไม่ยี่หระเช่นนี้เป็นเพราะเขามั่นใจจริงๆว่ามีบุคคลภายนอกที่สามารถปกป้องเขาได้? ก็อย่างที่เขาพูด.. อย่าว่าแต่ลักพาตัวคนเลย แม้ว่าเขาจะฆ่าใครสักคนจริงๆ ก็มีใครบางคนคอยช่วยเหลือเขา!
อย่างไรก็ตามจุดอ่อนของคนประเภทนี้ก็บ่งชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนเช่นกัน มันเป็นเพราะพวกเขามีบุคคลที่มีอำนาจคอยหนุนหลังอยู่ จึงทำให้พวกเขาอุ่นใจ ไม่ว่าจะทำอะไรก็มีคนคอยช่วยเหลือ แล้วถ้าบุคคลผู้มีอำนาจนั้นล้มลงล่ะ จะยังอุ่นใจได้อยู่อีกไหม?
แน่นอนว่าความมั่นใจของพวกเขาจะพังทลายลงทันที!
จี้เฟิงแอบครุ่นคิด หรงเป่ากังพึ่งพาใคร?
‘พ่อของเขา... หรือจะเป็นพี่เขยของเขา?’ จี้เฟิงค่อยๆเดาอยู่ในใจ เขากล่าวลาเจิ้งหยวนซานสั้นๆจากนั้นก็เดินออกไปและหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาต่อสายหาเซียงหยงซาน
“จี้เฟิง เราเพิ่งจะแยกกัน นายก็คิดถึงฉันแล้วเหรอ?” ทันทีที่โทรติด เซียงหยงซานก็ถามด้วยรอยยิ้ม “ฉันยังไม่ได้กลับไปที่ค่ายทหาร แต่เมื่อกี้นี้มีคนโทรมารายงานเรื่องของแมงมุมขาว เห็นว่าไม่เกินหนึ่งสัปดาห์ก็ตัดไหมออกได้แล้ว นายทำได้ดีมาก!”
จี้เฟิงยิ้มและพูดว่า “ที่ฉันโทรมาไม่ได้จะถามคุณเรื่องนี้ เหล่าเซียง.. ฉันมีเรื่องจะรบกวนอีกแล้ว ช่วยตรวจสอบข้อมูลสมาชิกครอบครัวของหรงเผิง ประธานหรงเผิงกรุ๊ปแห่งหนานเยว่ให้ที โดยเฉพาะลูกๆของเขา ขอข้อมูลที่ถูกต้องที่สุดเท่าที่จะทำได้”
“ไม่ใช่เรื่องยาก!” เซียงหยงซานกล่าวด้วยรอยยิ้ม “รอข่าวจากฉันก็แล้วกัน ฉันจะไปถามมาให้”
ถาม? ... ถามใคร?
จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะอึ้งไปครู่หนึ่ง แต่ในไม่ช้าก็ตระหนักได้ว่า กลุ่มบริษัทที่มีเงินทุนจดทะเบียนสูงแบบนี้ จะต้องมีบันทึกเอาไว้แน่นอน และบางทีเซียงหยงซานอาจต้องใช้ความสัมพันธ์เพื่อตรวจสอบข้อมูล
แน่นอนว่าหลังจากนั้นเพียง 20 นาที เซียงหยงซานก็โทรกลับมา “จี้เฟิง ฉันได้ข้อมูลมาแล้ว ประธานหรงเผิงกรุ๊ปแห่งหนานเยว่มีพี่น้องสามคน เป็นพี่สาวหนึ่งคนและน้องสาวหนึ่งคน ส่วนตัวเขาเองมีลูกสองคน และหรงเป่ากังที่เราจับได้ในวันนี้คือลูกชายของเขา ส่วนลูกอีกคนหนึ่งเป็นลูกสาว ชื่อว่าหรงซูเยี่ยน ซึ่งเป็น CEO คนปัจจุบันของหรงเผิงกรุ๊ป และเป็นผู้ควบคุมดูแลที่แท้จริง”
“เขามีลูกสองคนเหรอ?” จี้เฟิงถาม
“ใช่แล้ว หรงซูเยี่ยนเป็นลูกสาวเพียงคนเดียว” เซียงหยงซานกล่าวยืนยัน “เว้นเสียแต่ว่าข้อมูลที่เขาลงทะเบียนไว้จะเป็นเท็จ!”
จี้เฟิงยิ้ม “ฉันเข้าใจแล้ว ขอบคุณมากนะเหล่าเซียง”
“อ้อ มีข่าวอีกชิ้นหนึ่ง ฉันคิดว่าควรจะเตือนนายไว้” เซียงหยงซานกล่าว “ตอนนี้ฉันได้พูดคุยอะไรเล็กน้อยกับองครักษ์ฝ่ายในสามคนในรถ และการคาดเดาของนายน่าจะถูกต้อง”
หลังจากวางสาย จี้เฟิงก็อดไม่ได้ที่จะเย้ยหยัน ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้อนุมานเรื่องบ้าๆนี่ผิด!
หรงเผิงมีลูกสาวเพียงคนเดียว ซึ่งหมายความว่าพี่เขยที่หรงเป่ากังพูดถึงคือสามีหรือแฟนของหรงซูเยี่ยน และเขาคือคนที่มีภูมิหลังมากมาย ไม่เช่นนั้นหรงเป่ากังจะไม่กล่าวอ้างถึงพี่เขยของเขาด้วยท่าทางภูมิใจและมั่นอกมั่นใจมากขนาดนั้น
และตอนที่จี้เฟิงกับจี้ช่าวเหลยได้เข้าร่วมงานเลี้ยงของนักธุรกิจในหยานจิงก่อนหน้านี้ จี้ช่าวเหลยเคยกล่าวว่า หรงเผิงกรุ๊ปเป็นทรัพย์สินลับๆของตระกูลอู๋... จี้เฟิงค่อยๆเรียบเรียงความสัมพันธ์เหล่านี้ไปทีละขั้นๆ
แต่มีบางอย่างที่ทำให้จี้เฟิงงุนงงและไม่แน่ใจเล็กน้อย ตามการคาดเดาของเขา พี่เขยของหรงเป่ากังหรือแฟนของหรงซูเยี่ยนน่าจะเป็นอู๋จื้อเหอ แต่ความจริงที่เขารู้มาก่อนหน้านี้ เจิ้งหยูซิ่วจากตระกูลเจิ้งต่างหากที่เป็นแฟนของอู๋จื้อเหอ... เรื่องนี้มันซับซ้อนจริงๆ!
มันชวนให้สับสนจริงๆ จี้เฟิงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากโทรหาจี้ช่าวเหลย พี่ชายคนที่สองของเขา
หลังจากเกริ่นเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างรวดเร็ว เขาก็มุ่งเข้าคำถามทันที “พี่รอง พี่คิดว่าข้อสรุปของฉันมันสมเหตุสมผลหรือเปล่า.. จากทั้งหมดมันควรจะเป็นแบบนี้ แต่ทำไมผมถึงยังรู้สึกว่ามันแปลกๆ มันดูไร้สาระยังไงก็ไม่รู้!”
“แปลกอะไร? เขารู้กันทั้งบางแล้ว!” น้ำเสียงของจี้ช่าวเหลยดูแคลนมาก “อู๋จื้อเหอมีแฟนสองคนไม่ได้เหรอ? ไอ้หมอนี่มันเป็นเพลย์บอย แปลกตรงไหนที่เขาจะมีแฟนสองคน.. ไม่สิ มีแฟนสองคนสิแปลก เพราะไอ้หมอนี่มันมีแฟนเป็นสิบนู่น!”
.....จบบทที่ 907~