บทที่ 12: ร้านขายของชำ
การกระทำของมู่หรงจื่อเหยียนทำให้ร่างกายของถังเจิ้นแข็งค้าง ที่มือเหมือนมีแรงสะท้อนหยุ่น ๆ นุ่ม ๆ แบบว่าไม่เคยโดนมาก่อนเลยในชีวิต
“อะ อ๊า……!”
หญิงสาวที่อยู่ตรงข้ามหน้าแดงและร้องครวญครางออกมาอย่างเจ็บปวด
เมื่อถังเจิ้นตั้งสติได้ก็สัมผัสได้ถึงก้อนเนื้อนุ่ม ๆ ในฝ่ามือ ทว่าอารมณ์ของเขากลับสงบลงอย่างน่าประหลาดใจ
จริง ๆ แล้วเขาไม่ใช้คนประเภทที่หมกมุ่นเรื่องเพศ แต่ตอนนี้แค่ไม่ทันตั้งตัว
เขาส่งรอยยิ้มอ่อนโยนเป็นสัญญาณให้มู่หรงจื่อเหยียนปล่อยมือ จากนั้นก็ค่อย ๆ กดเธอให้นั่งลงกับพื้น
ถังเจิ้นแหวกผมยาวที่ปรกหน้ามู่หรงจื่อเหยียนออกและรู้สึกประหลาดใจที่พบว่าแม้ใบหน้าของหญิงสาวจะเปื้อนไปด้วยโคลน แต่รูปร่างหน้าตาเดิมของเธอนั้นสวยงามมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งความดื้อเบา ๆ แฝงความฉลาดอย่างคนเป็นแม่ที่ทำให้คนเห็นเป็นต้องใจสั่น
“ฉันช่วยเธอได้ แต่ไม่ได้ต้องการสิ่งแลกเปลี่ยนอะไร จงสัญญากับฉันซะว่าอย่าได้ทิ้งศักดิ์ศรีของตนเองไปอย่างง่าย ๆ แบบนี้อีก เพราะเธอมีค่ามากพอให้ฉันนับถือ”
น้ำเสียงของถังเจิ้นอ่อนโยนมาก เขาพูดช้า ๆ ชัด ๆ ไม่เร่งรีบ
ประโยคนี้ส่งออกมาจากความรู้สึกจริง ๆ และเธอเองก็สามารถติดตรึงอยู่ในหัวใจของเขาได้ หลังจากที่ได้เห็นสาว ๆ บูชาเงินมาหลายคนแล้ว เมื่อเทียบกับเธอตรงหน้าที่ยอมสละตนเองเพื่อความปลอดภัยของน้องสาว ความรักความเมตตาของเธอจึงไม่เหมือนสาว ๆ ที่ยอมเสียตัวให้กับคนรวย ๆ เพื่อเอาเงินของเขามาบำเรอตนเอง และยังควรค่าแก่การนับถือด้วย
“ฉันชื่อถังเจิ้น ต่อไปนี้เรียกว่าพี่ถังแล้วกัน!”
เมื่อเห็นถังเจิ้นพูดด้วยใบหน้าที่สงบมู่หรงจื่อเหยียนก็พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง หลังจากได้สัญญากับถังเจิ้นแล้วประกายแห่งความหวังก็ปรากฏขึ้นในดวงตาที่ว่างเปล่าของเธอ
แม้ว่าการเคลื่อนไหวเมื่อกี๊จะประมาทหุนหันพลันแล่นเกินไปก็จริง แต่ถ้าต้องย้อนเวลากลับไปเลือกอีกรอบเธอก็จะทำอย่างเดิมอย่างไม่ลังเล
ไม่มีทางเลือก เพราะไม่ว่าจะความดื้อรั้นหรือความทะนงในตัวเองก็ไม่สามารถดึงพลังอันแข็งแกร่งออกมาจากร่างอันบอบบางของเธอได้ ไม่อาจทำให้ทั้งตัวเธอและน้องสาวอิ่มท้องได้ และไม่อาจทำให้ทั้งตัวเธอและน้องสาวอยู่ห่างจากอันตรายที่มีอยู่ทั่วไปทุกหนทุกแห่งได้ ดังนั้นที่เธอทำจึงไม่ใช่เพื่อตัวเธอเอง แต่เพื่อน้องสาวเป็นสำคัญ
หากอยากได้อะไรมาก็ต้องเอาอะไรไปแลก และร่างกายกับชีวิตนั่นคืออะไรทั้งหมดตัวที่เธอมีในตอนนี้
แม้ว่าผลลัพธ์จะออกมาไม่ดีแต่เธอก็ไม่บ่นหรือเสียใจใด ๆ เพราะยังไงมันก็มีโอกาสน้อยมากที่จะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ความเป็นอยู่ในปัจจุบัน
โอกาสเกิดขึ้นเพียงชั่วครู่เดียว แต่มู่หรงจื่อเหยียนก็ยังคว้ามันไว้ได้ ต้องยอมรับว่าเธอมีสายตาที่ดีและมีการตัดสินใจที่ค่อนข้างเด็ดขาด
มู่หรงจื่อเหยียนมองชายตรงหน้าเธอด้วยสีหน้าที่ไม่เปลี่ยน แต่หัวใจของเธอตอนนี้เต็มไปด้วยอารมณ์มากมาย
จากพลังที่ชายผู้นี่แสดงให้ดูเธอมั่นใจเลยว่าตัวเองกับน้องสาวมีความหวังที่จะมาชีวิตรอดเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อยแล้ว นั่นก็ส่วนหนึ่ง เอาจริง ๆ ตั้งแต่ที่ถังเจิ้นได้ช่วยเธอกับน้องสาวจากมอนสเตอร์เหล่านั้นเธอก็ตัดสินใจที่จะทำแบบนี้ในใจทันที
ชีวิตมนุษย์เป็นสิ่งที่มีค่าน้อยที่สุดในถิ่นทุรกันดาร เธอไม่ต้องการอะไรฟุ่มเฟือยเลยตราบเท่าที่เธอสามารถรักษาชีวิตตัวเองและน้องสาวไว้ได้จะเอาอะไรก็ยอมหมด
ด้านถังเจิ้นเมื่อเห็นมู่หรงจื่อเหยียนซึ่งกำลังต่อสู้เหมือนหมาป่าที่บาดเจ็บเพื่อปกป้องลูกวัวในตอนนั้น แต่กลับดูผ่อนคลายเหมือนลูกแมวที่ทำอะไรไม่ถูกในตอนนี้ ถังเจิ้นก็นึกไปถึงวันที่น่าสังเวชเมื่อเขาและน้องสาวต้องคอยพึ่งพาอาศัยกันและกัน เขาอดไม่ได้ที่จะจับมือเล็ก ๆ ที่หยาบเล็กน้อยของเธอแล้วดึงตัวเธอมากอด
มู่หรงจื่อเหยียนก็ขยับร่างกายและไปตามแรงอย่างเชื่อฟัง
ตอนนี้ถังเจิ้นไม่ได้มีความคิดลามกอนาจารใด ๆ ในใจเขาแค่ต้องการกอดหญิงสาวที่โดดเดี่ยวและดื้อรั้นคนนี้เท่านั้น เหมือนกับตัวเองที่ต้องกัดฟันสู้ดูแลน้องสาว อยากช่วยให้ร่างกายที่อ่อนแอของเธอรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาบ้างก็แค่นั้น
มู่หรงจื่อเหยียนในอ้อมแขนเห็นว่าเขาแค่กอดเธอเบา ๆ เท่านั้น และแล้วในใจเธอฉากหนึ่งก็ปรากฏ ฉากวันคืนอันแสนมีความสุขของเธอกับพ่อแม่ในอดีต เธอกอดคอถังเจิ้นเบา ๆ พลางสะอื้นไห้ น้ำตาแห่งความโศกเศร้าและคับแค้นใจในที่สุดได้พรั่งพรูออกมา
ตอนนี้มูหรงจื่อเหยียนคิดว่าถังเจิ้นเป็นพวกเดียวกันแล้ว เมื่ออยู่ในอ้อมแขนอันอ่อนโยนของเขาความอัดอั้นตันใจที่เก็บสั่งสมมานานรวมถึงภาระทั้งหมดก็ถูกวาง ทำให้เธอไม่สามารถอดกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลได้อีกต่อไป
“ฮือ~~~~~~”
“แง้~~~~~~”
“ดูเธอสิ คนอะไรร้องไห้แล้วหน้าเหมือนแมว... อ่าวจื่อเยว่ก็ร้องไห้ด้วเรอะ!”
ถังเจิ้นรีบ ๆ ปลอบทั้งหญิงใหญ่หญิงเล็กเป็นพัลวัน ท่าทางเงอะงะของเขาทำให้มู้หรงจื่อเหยียนที่ร้องไห้อยู่หัวเราะออกมาได้ จากนั้นเธอก็รีบหันหลังไปเช็ดน้ำตาอย่างเขินอายแล้วขยับตัวไปปลอบจื่อเยว่น้อยที่ยังไม่หยุดร้องไห้
ฉากนี้แม้จะดูซึ้ง แต่ก็เกิดมาจากความโหดร้าย
พี่น้องคนสวยทั้งสองต้องอดทนต่อความทรมานและความยากลำบากมากเกินไปตั้งแต่วัยนี้ วัยที่ควรได้รับความรักและการดูแลเอาใจใส่
เมื่อมองดูสองพี่น้องที่มอบชีวิตและอนาคตให้กับตนเองด้วยสายตาที่อ่อนโยนแล้ว ถังเจิ้นก็รู้สึกว่าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงจริง ๆ ความไว้วางใจของอีกฝ่ายที่ถึงขั้นมอบชีวิตของพวกเธอให้เขาทำให้ความคิดของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย
เดิมทีเขาถือว่าตัวเองเป็นเพียงนักเดินทางข้ามโลก เข้ามาแล้วก็กวาดเอาทรัพย์สมบัติที่ต้องการกลับโลกเดิมไปเท่านั้น แต่ตอนนี้ได้มีสิ่งที่ต้องแบกรับมาอยู่บนบ่าของตนซะแล้ว
เมื่อเห็นจื่อเยว่น้อยยิ้มแย้มแจ่มใสถังเจิ้นก็ค่อย ๆ เข้าไปใกล้เพราะเห็นแล้วหมั่นใส้อยากแกล้ง แต่เด็กน้อยเป็นคนขี้อายพอถังเจิ้นเข้าใกล้ก็แอบหลบด้วยดวงตากลมโตน่ารักที่รื้นน้ำตาอีกรอบ
เจอแบบนี้เข้าไปถังเจิ้นจึงยักไหล่อย่างไม่มีทางเลือกและเลิกคิดจะแกล้งเด็กน้อยแล้วนั่งลงครุ่นคิดอะไรเงียบ ๆ
ถังเจิ้นถูกความแปรปรวนของโลกนี้ทำให้ตั้งตัวไม่ค่อยถูก แม้ว่าเขาจะเคยได้ยินเรื่องทำนองเดียวกันจากเฉียนหลงมาก่อนก็ตาม แต่สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น และความประมาทก็ทำให้เขาต้องเจออันตราบที่มากขึ้น
‘ตอนนี้เรามีแค่ปืนพกกระบอกเดียวกับกระสุนอีกจำกัด เห็นได้ชัดว่าไม่สมควรผูกทั้งชีวิตเอาไว้กับมันเลย และแม้จะมีมีดดาบหรือธนูหน้าไม้ที่เตรียมมาเพียบแล้วก็ยังมีอันตรายถึงชีวิตอยู่ดี เพราะแม้จะมีแต่กลับขาดทักษะการใช้งานอย่างเชี่ยวชาญ หากต้องเจอกับฝูงมอนสเตอร์ล่ะก็ไม่มีทางใช้ออกได้อย่างทรงประสิทธิภาพชัวร์’
หากจะใส่เดี่ยวกับมอนสเตอร์หลายตัวเพียงลำพัง อาวุธในมือจะต้องเอาเปรียบพวกมันได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นคงถูกพวกมันใช้จำนวนที่มากกว่าโถมเข้าใส่จนเอาตัวไม่รอด
เมื่อเห็นถังเจิ้นที่กำลังครุ่นคิดพี่น้องมู่หรงก็รู้งานเลยไม่ได้เข้าไปกวนและมองดูเขาเงียบ ๆ พลางคิดอะไรของตนไปด้วย
ในเมื่อได้เลือกไปแล้วก็หมายความว่าตั้งแต่นี้ต่อไปไม่รู้ว่าจะไปได้ถึงไหน แต่ผู้ชายตรงหน้านี้คือที่พึ่งหนึ่งเดียวที่พวกเธอสามารถพึ่งพาได้ ในใจของมู่หรงจื่อเหยียนยังคงมีความกลัว ความคาดหวังซึ่งแฝงความเศร้าอยู่ด้วย
ในโลกที่สับสนวุ่นวายใบนี้การพึ่งพาความแข็งแกร่งของตัวเองไม่สามารถรับรองความปลอดภัยของตัวเองและน้องสาวได้อย่างแน่นอน แต่ชายผู้นี้ที่ฆ่ามอนสเตอร์ 5 ตัวได้อย่างง่ายดายนั้นทำให้เธอเกิดความรู้สึกปลอดภัยอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
‘ชายคนนี้แข็งแกร่งมาก แถมยังไม่รังแกเราด้วย บางทีเราอาจเลือกไม่ผิดก็เป็นได้!’
มู่หรงจื่อเหยียนพยายามคิดแบบนี้ไว้ในใจและมองถังเจิ้นด้วยแววตาที่อ่อนโยนขึ้นเรื่อย ๆ
วันนี้ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการสนทนากันเป็นระยะ ๆ ระหว่างถังเจิ้นกับมู่หรงจื่อเหยียน ในระหว่างนั้นเขาได้สอบถามรายละเอียดในเรื่อง ๆ ต่าง ๆ อย่างโลกใบนี้ทั้งใบว่าเป็นยังไง แต่มู่หรงจื่อเหยียนเองก็ไม่ได้รู้ข้อมูลอะไรมากนัก
ทว่าก็ยังมีอยู่สิ่งหนึ่งที่มู่หรงจื่อเหยียนมั่นใจ นั่นคือโหลวเฉิงนั้นมหัศจรรย์มากและพื้นที่ของโหลวเฉิงในตำนานบางแห่งก็ไม่น้อยไปกว่าแผ่นดินใหญ่!
แน่นอนว่ามู่หรงจื่อเหยียนไม่รู้จักคำว่า ‘แผ่นดินใหญ่’ ดังนั้นคำอธิบายที่เธอให้คือขี่ม้าเร็วโดยไม่หยุดอย่างต่อเนื่องหลายเดือนกว่าจะออกจากโหลวเฉิงแห่งนั้นได้!
เมื่อได้ยินข้อมูลแบบนี้ถังเจิ้นก็ถึงกับต้องตะลึง เพราะพื้นที่อาคารขนาดใหญ่แบบนั้นมันจะน่ากลัวเกินไปแล้ว!
แต่พอเอาเข้าจริง ๆ ในรายละเอียดต่าง ๆ เธอกลับไม่ได้รู้อะไรมาก นี่ถ้าไม่ได้มีพ่อเป็นเจ้าเมืองมาก่อนล่ะก็คาดว่าคงไม่รู้อะไรเลยล่ะมั้ง
แต่ถังเจิ้นก็ไม่สนใจนัก เพราะข้อมูลที่เขาได้รับในวันนี้ก็น่าตกใจพอสมควรแล้ว และเขาเชื่อว่าหากยังคงทำการสำรวจอย่างค่อยเป็นค่อยไปล่ะก็ในที่สุดเขาจะค้นพบข้อมูลรายละเอียดที่แท้จริงทั้งหมดของโลกใบนี้อย่างแน่นอน
ค่ำคืนหนึ่งได้ผ่านไปในชั่วพริบตา และเมื่อถังเจิ้นตื่นนอนในวันรุ่งขึ้นพี่น้องสองคนยังคงนอนหลับสนิทอยู่ที่มุมห้อง
เห็นได้ชัดว่าเพราะมีถังเจิ้นอยู่ด้วยพวกเธอเลยสามารถนอนหลับสนิทได้
ถังเจิ้นแอบถอนหายใจแล้วปลุกมู่หรงจื่อเหยียนที่กำลังหลับ เมื่อเห็นเธองัวเงียตื่นขึ้นมาเขาก็บอกเธอว่าจะไม่อยู่ซักวันสองวันและกำชับว่าห้ามพวกเธอออกไปไหนในช่วงสองวันนี้เด็ดขาด
จากนั้นเขาก็เอาอาหารมากมายออกมาให้สองพี่น้องก่อนจะออกจากช่องใต้ดินภายใต้สายตากังวลของเด็กสาวทั้งสอง
ถังเจิ้นมุ่งหน้าตรงไปยังเมืองผู้พเนจร ระหว่างทางเขาก็เห็นมอนส์เตอร์อยู่สองสามตัวแต่ว่าไม่ได้ไปทำอะไรพวกมันและพยายามหลีกเลี่ยงอย่างระมัดระวังตัว
ในไม่ช้าเมืองผู้พเนจรก็ปรากฏต่อหน้า และผู้พเนจรเข้า ๆ ออก ๆ ประตูเมืองกันขวักไขว่ เมื่อถังเจิ้นจะเข้าประตูไปบ้างก็เห็นมีทหารในชุดเกราะหนังหยาบ ๆ พร้อมดามยาวเข้ามาขวางทางพร้อมกับเรียกเก็บค่าธรรมเนียม
ถังเจิ้นหยิบโดมิโนออกมาจากกระเป๋า มันคือหลักฐานที่เขาได้รับเมื่อเขากับเฉียนหลงได้จ่ายลูกปัดสมองเป็นค่าเข้าเมืองเมื่อครั้งก่อนซึ่งอันนี้บอกว่าเขาอยู่ได้ 1 เดือน เมื่อทหารเฝ้าประตูเห็นโดมิโนเขาก็เตือนให้ถังเจิ้นผูกมันไว้กับเอวด้วย จากนั้นก็ปล่อยให้เขาเข้าเมืองไป
เห็นได้ชัดว่าตลาดในช่วงกลางวันมีชีวิตชีวามาก สองข้างถนนเต็มไปด้วยผู้พเนจรนั่งอยู่ตามพื้นโดยมีของตั้งวางขายอยู่ข้างหน้าตน เมื่อผ่านคอกม้าถังเจิ้นก็บังเอิญพบกลุ่มนกที่ดูเหมือนไก่บ้านถูกขังอยู่ในกรง
พอถามอีกฝ่ายด้วยความอยากรู้ทางนั้นก็ตอบว่าเป็นไก่ฟ้าที่ไปดักมาได้
ถังเจิ้นเลยเถียงอยู่ในใจว่า ‘มึงล้อเล่นป๊ะเนี่ย แค่ไก่ฟ้ากับไก่บ้านยังแยกไม่ออกเนี่ยนะ?’
แต่พอมาคิดว่านี่มันต่างโลกไม่ใช่โลกเดิมซักหน่อยเขาก็เลยเลิกคิดกับเรื่องบ้าบอนี้ นอกจากไก่ฟ้าที่หน้าเหมือนไก่บ้านนี่แล้วก็ยังมีนกอื่น ๆ ในกรงที่ติดกับดักมาอีก และมีบางตัวโดนลูกธนูยิงมาด้วย
ในคอกใกล้ ๆ กันนั้นมีสัตว์อีกหลายตัวที่ไม่เคยเห็นมาก่อนซึ่งส่วนใหญ่จะถูกทำความสะอาดและรอการขาย
ถังเจิ้นมองไปรอบ ๆ อยู่แป๊บหนึ่งและเจอเข้ากับของที่มีประโยชน์กับตัวเองด้วย ทว่าเขาก็ไม่รีบไปหาแลกมา แต่เดินตรงไปที่โรงแรมแทน
เมื่อเข้าไปในโรงแรมก็ไม่พบเฉียนหลงเลยลองถามเจ้าของดูก็รู้ว่าหมอนั่นออกไปซื้อของ ถังเจิ้นได้ยินก็ประหลาดใจเล็กน้อยเพราะเดินผ่านถนนมานี้เขาไม่เห็นเฉียนหลง ‘แล้วมันไปตั้งแผงขายที่ไหนล่ะเนี่ย?’
พอถามรายละเอียดจากเจ้าของโรงแรมทางนั้นก็บอกว่าที่ที่เฉียนหลงไปซื้อของนั้นเป็นร้านขายของชำในตลาดไม่ใช่แผงลอยริมถนน
แล้วก็ถามทางต่อเลย ในไม่ช้าถังเจิ้นก็มาถึงประตูของอาคารอิฐที่ค่อนข้างสูงมีผนังทาด้วยสีน้ำตาลซึ่งดูสบายตากว่าอาคารข้าง ๆ กันเยอะ
ถังเจิ้นมองชายที่ดูแข็งแกร่งที่ยืนเฝ้าประตูจากนั้นก็เดินเข้าประตูไป
ทันทีที่เขาเข้าไปในร้านแสงสว่างแต่เดิมก็หม่นลง แต่ไม่นานสายตาเขาก็ปรับโฟกัสได้ใหม่และมองเห็นเครื่องเรือนภายในร้านได้อย่างชัดเจน
เมื่อเทียบกับร้านแผงลอยข้างถนนแล้วของในร้านนี้หรูหรากว่าเยอะ มีเสบียงที่ผู้พเนจรไปหามาจากอาคารป่ามากมายเถมยังมีของจากโหลวเฉิงด้วย
ซึ่งสินค้าที่นี่มีปัจจัยสี่ครบถ้วนแต่ราคาแพงมาก
ส่วนเฉียนหลงกำลังยืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์ของร้านและยิ้มให้เล็กน้อยหลังจากเห็นถังเจิ้น
“ไง ระหว่างทางกลับปลอดภัยมั้ย? ได้ยินมาว่าจำนวนมอนสเตอร์ใกล้ ๆ นี่มันเพิ่มขึ้นเพียบเลยหนิ เพราะมันมีอาคารป่าโผล่มาแถวนี้เลยมีมอนสเตอร์เก่ง ๆ มาออกันเยอะ...”
เฉียนหลงพูดอย่างฉะฉานส่วนถังเจิ้นตอบกลับเป็นครั้งคราว
จากนั้นก็มีชายรูปร่างสันทัดออกมาจากห้องหลังเคาน์เตอร์ถืออ่างเคลือบขนาดเล็กในมือ ในอ่างเต็มไปด้วยลูกปัดสมองขาวโพลนมากมายส่งเสียงกร็อกแกร็กให้ได้ยิน
เมื่อได้ยินเสียงนี้ถังเจิ้นก็รู้สึกว่าหัวใจของตนเต้นแรงอย่างโหยหาดวงตาก็เอาแต่จับจ้องที่ลูกปัดสมองเหล่านั้นอย่างไม่วางตา ความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะกลืนมันทั้งอ่างปะทุอยู่ในอกราวกับภูเขาไฟระเบิด
“ตามราคาต่อรอง ลูกปัดสมองเลเวลหนึ่งสี่ร้อยเม็ด เชิญนับ!”
ชายคนนั้นส่งลูกปัดสมองให้เฉียนหลง แต่เฉียนหลงไม่มีความสามารถด้านคณิตศาสตร์มากนัก ดังนั้นจึงมองมาที่ถังเจิ้นซึ่งเขาก็พยักหน้าให้ เห็นแบบนั้นก็ยื่นอ่างให้ถังเจิ้นนับ
หลังจากที่ยืนยันแล้วว่าจำนวนถูกต้องทั้งสองก็หันหลังออกจากร้านขายของชำและกลับไปที่โรงแรมที่เคยเข้าพัก
และหลังจากที่ทั้งสองเดินจากไปนั้นได้มีผู้พเนจรที่มีรูปร่างหน้าตาไม่ได้โดดเด่นเดินออกมาจากร้านขายของชำด้วย มันชำเลืองมองที่ที่พวกถังเจิ้นกำลังจะไปด้วยดวงตาที่หรี่แคบและเย้ยหยัน จากนั้นมันก็หันกลับเข้าไปในอาคารอิฐที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล