ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 188 ความแข็งแกร่งของกระทิงสองตัว
ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 188 ความแข็งแกร่งของกระทิงสองตัว
แปลโดย iPAT
ผลจากการกินเม็ดยารวบรวมพลังปราณหนึ่งพันเม็ดในครั้งเดียวปะทุออกมาเหมือนภูเขาไฟระเบิด เขารู้สึกเหมือนมีไฟลุกไหม้อยู่ในท้องและกำลังจะระเบิดร่างกายขององเขา โชคดีที่ร่างปีศาจของเขาแข็งแกร่งกว่าคนทั่วไปมาก
ภายใต้ผลกระทบของเม็ดยา ปราณปีศาจของเขาอาละวาดจนยากที่จะควบคุม
หากไม่ใช่เพราะความแข็งแกร่งของกระทิงและพยัคฆ์ที่ทำให้ร่างกายของเขาแข็งแกร่งราวกับเหล็กไหล แม้แต่ปีศาจทั่วไปก็ยังจะถูกระเบิดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ด้วยความได้เปรียบของเขา หากเขาไม่เข้มงวดกับตัวเองมากขึ้นเล็กน้อย เขาก็คงไม่ใช่ลูกผู้ชาย
เขาเพิกเฉยต่อความเจ็บปวดและเคลื่อนไหวร่างกายไปตามกระบวนท่าหมัดปีศาจวัวเพื่อชี้นำปราณปีศาจอย่างยากลำบาก เขาสาบานไว้แล้วว่าจะออกไปพบเสี่ยวอันก็ต่อเมื่อเขาบรรลุขั้นที่สองของหมัดปีศาจวัวเท่านั้น
…..
ห้าร่างเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วผ่านพื้นที่รกร้าง พวกเขาก็คือเว่ยจงหยวนและสี่ยายแห่งนิกายเมฆาพิรุณ เท้าของพวกเขาไม่สัมผัสพื้น พลังปราณนำพวกเขาทะยานร่างออกไปราวกับพวกเขาบินอยู่กลางอากาศ ทุกคนล้วนดูสง่างามและพลิ้วไหว
ชาวนาคนหนึ่งเห็นสิ่งนี้จากระยะไกลขณะทำงานอยู่ในนาข้าว เขารีบคุกเข่าลงและกรีดร้อง “ผู้อมตะ!”
คนทั้งห้าไม่แม้แต่จะชำเลืองมองเขา พวกเขาวิ่งไปตามแม่น้ำก่อนจะหยุดลงที่ปากถ้ำผีดิบและมองเข้าไปในถ้ำสีดำสนิทที่ดูไม่ต่างจากปากของสัตว์ร้าย
“มันอาจมีภัยคุกคามซ่อนอยู่ ผู้บัญชาการสองคนของผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์อาจเสียชีวิตอยู่ภายใน เป็นไปได้มากว่าหลี่ฉิงซานจะครอบครองผีดิบเหล็กไหล” เว่ยจงหยวนเตือนพวกเขาและแสดงความเป็นผู้นำออกมา
“ต่อหน้าพวกเรา ผีดิบเหล็กไหลไม่ถือเป็นสิ่งใด” ยายบูรพากล่าว “หากเป็นผีดิบเหล็กไหล เราเพียงต้องระวัง หากเป็นผีดิบทองแดง ข้าจะจากไปโดยไม่หันหลังกลับ”
ยายประจิมเย้ยหยัน “พี่ใหญ่ ท่านคงแก่เกินไปแล้ว อาจมีปีศาจหลายตัวอยู่ใต้ดิน แต่มีเพียงขุนพลปีศาจเท่านั้นที่จะทำให้พวกเขาต้องทิ้งชีวิตไว้ที่นี่”
ยายบูรพายกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง นางเกลียดเวลาที่บางคนกล่าวถึงอายุของนาง นางสาปแช่ง “ยายแก่ เจ้ากล้าด่าข้างั้นหรือ? ขุนพลปีศาจจะปรากฏตัวในที่ตื้นๆเช่นนี้ได้อย่างไร? หากมีขุนพลปีศาจอยู่จริง เหตุใดนักพรตผีดิบจึงสามารถอาศัยอยู่ที่นี่!?”
เว่ยจงหยวนตวาด “หยุดโต้เถียง! ไม่มีสิ่งใดน่ากังวล เราต้องช่วยลูกชายของข้า ฆ่าเจ้าเด็กหลี่ฉิงซาน และจับตัวเด็กผู้หญิงกลับนิกาย ไปได้แล้ว!” เขาโบกมือพร้อมกับทะยานร่างเข้าไปในถ้ำ
…..
ความรู้สึกแสบร้อนในท้องของหลี่ฉิงซานค่อยๆกระจายไปทั่วร่าง ผิวสีดำของเขาแดงขึ้นเล็กน้อย เหงื่อที่ไหลออกมากลายเป็นไอน้ำสีขาวพุ่งขึ้นจากร่างกายที่ใหญ่โตและทรงพลังของเขาราวกับเขาอยู่บนเรือกลไฟ
การเคลื่อนไหวของเขาค่อยๆช้าลงและช้าลง ในที่สุดเขาก็ช้าจนดูเหมือนกำลังฝึกไทเก็ก
อย่างไรก็ตามทุกหมัดของเขาทำให้เกิดคลื่นอากาศขึ้นในถ้ำ มันอาละวาดไปทั่วและสะท้อนไปมาอยู่ในถ้ำแคบๆแห่งนั้น
เขามาถึงช่วงเวลาสำคัญที่สุดในการบ่มเพาะแล้ว
…..
คนทั้งห้ามาถึงทางแยกแรก เมื่อเว่ยจงหยวนพยายามจะตรวจสอบ ยายประจิมก็หยิบลูกบอลไม้ทรงกลมออกมา
“มันคือสิ่งใด?”
“รังแมลงที่ใช้ค้นหาเส้นทาง”
“นิกายม่อจื้อขายมันให้ข้า เขายังให้ข้าเก็บเป็นความลับ” ยายประจิมบิดกลไก จากนั้นแผนที่ใต้ดินก็ปรากฏขึ้น นี่เป็นแผนที่ที่ศิษย์นิกายม่อจื้อสำรวจเมื่อครั้งที่พวกเขาเข้ามา
คนทั้งห้ามุ่งหน้าไปยังที่ซ่อนตัวของนักพรตผีดิบโดยตรงและเร็วมาก
…..
สีแดงบนร่างของหลี่ฉิงซานชัดขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้ร่างกายของเขาราวกับเหล็กร้อน
แสงสีแดงในดวงตาของเขาสว่างขึ้นและสว่างขึ้น ในเวลาเดียวกันร่างกายของเขาก็สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
กระบวนการนี้เจ็บปวดมากแต่เขายังยิ้มกว้างและเผยให้เห็นฟันอันแหลมคมของเขา ดูเหมือนเขาจะพอใจกับมันมาก
…..
หลังจากไม่นาน คนทั้งห้าก็มาถึงที่อยู่ของนักพรตผีดิบ พวกเขาบุกเข้าไปโดยปราศจากความลังเล พวกเขาค้นหาไปรอบๆแต่ทุกห้องกลับว่างเปล่า มีเพียงห้องลับเท่านั้นที่ถูกปิดไว้ด้วยประตูหิน
ยายประจิมถาม “เขาจะอยู่ภายในหรือไม่?”
เว่ยจงหยวนเดินเข้าไปและใช้มือของเขาทำลายประตูหินจนแตกเป็นเสี่ยงๆ
…..
หลี่ฉิงซานเติบโตขึ้นด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เขากางแขนออกไปด้านข้างและระเบิดเสียงคำรามออกมา
น้ำในทะเลสาบที่อยู่ข้างๆถูกแยกออกจากกันและสร้างคลื่นสูงหลายเมตรพุ่งเข้ากระแทกกำแพงหิน
ปรากฏว่าเพดานห้องบ่มเพาะเตี้ยเกินไปสำหรับหลี่ฉิงซานในปัจจุบัน ดังนั้นเขาจึงย้ายมาที่ทะเลสาบใต้ดินซึ่งเคยเป็นสถานที่ต่อสู้ของเขากับจ้าวจื่อป๋อ เพดานถ้ำของที่นี่สูงหกสิบเมตร มันเพียงพอให้เขาเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระและมันก็ทำให้เขาสามารถหลีกเลี่ยงคนจากนิกายเมฆาพิรุณได้โดยบังเอิญ
หลี่ฉิงซานหัวเราะอย่างเต็มที่ ในที่สุดเขาก็บรรลุขั้นสองของหมัดปีศาจวัวและครอบครองความแข็งแกร่งของกระทิงสองตัว ตอนนี้ร่างกายของเขาแข็งแกร่งมาก น้ำในทะเลสาบไหลย้อนกลับมาหาเขาและก่อตัวเป็นวังน้ำวนอยู่รอบตัวเขา มันมากพอที่จะกลืนกินเรือลำใหญ่เข้าไปทั้งลำแต่มันทำได้เพียงไหลวนอยู่รอบเอวของเขาเท่านั้น
ร่างหนึ่งบินเข้ามาหาหลี่ฉิงซาน เขายื่นมือออกไปขณะที่ร่างเล็กร่อนลงบนฝ่ามือของเขา นางคือเสี่ยวอัน นางเผยรอยยิ้มและมีความสุขกับความสำเร็จของเขา
หลี่ฉิงซานรู้สึกเหมือนร่างกายของเขาเต็มไปด้วยพลังงานที่พร้อมระเบิดออกมาทุกเมื่อ เขาไม่เคยรู้สึกดีเช่นนี้มาก่อน เขาเดินลุยน้ำมาถึงฝั่งและกดมือลงบนกำแพงหิน หินที่ไม่เคยถูกแตะต้องตลอดหลายปีที่ผ่านมาและแข็งแกร่งจนดาบไม่สามารถทิ้งร่องรอยเอาไว้กลับจมลงไปภายใต้แรงกดของหลี่ฉิงซานอย่างไม่สามารถต้านทาน มันดูไม่เหมือนหินแต่ดูอ่อนนุ่มราวกับโคลนดิน
หลังจากนั้นเขาก็หยิบดาบวายุออกมาและเหวี่ยงมันเข้าหาหน้าอกของตนเอง ประกายไฟแลบลั่นขึ้นขณะที่ดาบกระเด็นออกไป มันไม่แม้แต่จะทิ้งร่องรอยใดๆเอาไว้บนร่างกายของเขา
เขาหยิบสิ่งประดิษฐ์ทางจิตวิญญาณระดับกลางของจ้าวจื่อป๋อออกมาและจำลองความแข็งแกร่งของจ้าวจื่อป๋อควบคุมมันก่อนจะแทงเข้าไปที่ตัวของเขาเอง สิ่งที่เขารู้สึกคือความเจ็บแสบเล็กน้อยแต่มันไม่สามารถเจาะทะลวงชั้นผิวหนังของเขา
เมื่อบรรลุขั้นที่สองของหมัดปีศาจวัว ความแข็งแกร่งของเขาไม่ใช่สิ่งเดียวที่เติบโตขึ้น การป้องกันของเขาก็น่ากลัวมากเช่นกัน หากรวมมันเข้ากับกระดองเต่าจิตวิญญาณ แม้แต่ปืนแสงของห่าวปิงหยางก็ยังต้องดิ้นรนอย่างหนักเพื่อทิ้งร่องรอยบางอย่างไว้บนร่างกายของเขา
ด้วยร่างปีศาจ เขาสามารถสังหารจอมยุทธ์ขั้นหกได้มากเท่าที่เขาต้องการ คำถามเดียวที่เขาต้องพิจารณาในตอนนี้คือความแข็งแกร่งนี้เพียงพอที่จะเอาชนะจอมยุทธ์ขั้นเก้าเช่นยายประจิมหรือไม่ เจตนาสังหารพุ่งผ่านดวงตาของเขา นิกายเมฆาพิรุณตั้งใจแน่วแน่ที่จะพาเสี่ยวอันไป นี่เป็นการก้าวข้ามขีดจำกัดของเขา มันทำให้เขามุ่งมั่นที่จะกำจัดฝ่ายตรงข้ามอย่างแท้จริง
อย่างไรก็ตามนิกายเมฆาพิรุณไม่ใช่กองกำลังเล็กๆ เขาต้องสงบสติอารมณ์และดำเนินการไปทีละขั้นอย่างอดทน
…..
เว่ยจงหยวนมองเข้าไปในห้องบ่มเพาะที่ว่างเปล่า “เขาไม่อยู่ที่นี่!”
“ไม่ เขาเคยอยู่ที่นี่!” ยายประจิมใช้นิ้วปาดโต๊ะหินที่ไร้ฝุ่น
เมื่อเสี่ยวอันรู้สึกเบื่อ นางจะสั่งให้หุ่นเชิดมนุษย์และผีดิบเหล็กไหลทำความสะอาด
ยายประจิมกล่าวเสียงเย็น “เขาจะกลับมาที่นี่อย่างแน่นอน เราสามารถวางกับดักและรอให้เขาเดินเข้ามา!”
พวกเขามองหน้ากันและพยักหน้าเห็นชอบ จากนั้นพวกเขาก็ซ่อนตัวอยู่ในความมืด ปกปิดกลิ่นอาย และรอให้หลี่ฉิงซานเดินเข้าสู่ประตูมรณะ
พวกเขาคิดว่าหลี่ฉิงซานจะกลายเป็นเสือที่ถูกขัง เมื่อเขาก้าวเข้ามาที่นี่ เขาจะไม่สามารถหลบหนี
…..
หลี่ฉิงซานกลับสู่ร่างมนุษย์ เขามองดูตัวเองในน้ำและเผยรอยยิ้มขมขื่น
ตอนนี้เขาดูเหมือนนักบาสเอ็นบีเอร่างกำยำ ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อ เขาดูเหมือนสัตว์ป่าที่ดุร้ายเพียงยืนอยู่ตรงนั้น เขาดูไม่เหมือนเด็กอายุสิบหกแม้แต่น้อย เขาใช้มือถูเขี้ยวที่ยาวออกมาและรู้สึกหมดหนทาง
ขั้นแรกของเคล็ดวิชาจิตวิญญาณเต่าเพียงพอที่จะระงับพลังอำนาจขั้นแรกของหมัดปีศาจวัว แต่ตอนนี้หลี่ฉิงซานบรรลุขั้นที่สองของหมัดปีศาจวัว ดังนั้นสมดุลดังกล่าวจึงพังทลายลง นั่นทำให้ร่างมนุษย์ของเขาดูเหมือนปีศาจมากขึ้น หากเขาบรรลุขั้นที่สองของหมัดปีศาจพยัคฆ์ เขาจะไม่สามารถสะกดพลังอำนาจของตนและไม่สามารถกลับคืนสู่ร่างมนุษย์
“อย่างไรก็ตามส่วนที่สำคัญที่สุดของมนุษย์ไม่ใช่รูปร่างหน้าตา!” หลี่ฉิงซานให้กำลังใจตัวเองและกล่าวกับเสี่ยวอัน “ตอนนี้ข้าดูเป็นผู้ชายมากขึ้นใช่หรือไม่?”
เสี่ยวอันพยักหน้าอย่างหนักแน่น นางชอบเขาไม่ว่าเขาจะดูเป็นอย่างไร
หลี่ฉิงซานกล่าว “เอาล่ะ กลับกันเถอะ!” เขาก้าวไปข้างหน้าแต่พื้นดินกลับจมลงไป เขาถอนหายใจเบาๆและเริ่มเพ่งสมาธิไปที่การควบคุมพลังของตน ทุกย่างก้าวของเขาเร็วขึ้นและเร็วขึ้น เขารู้สึกราวกับพื้นดีดส่งเขาให้เคลื่อนที่ไกลกว่าปกติในทุกย่างก้าว
…..
จอมยุทธ์ทั้งห้าเฝ้ารออยู่อย่างเงียบๆในบ้านของนักพรตผีดิบ พวกเขารอเป็นเวลานาน หนึ่งวันผ่านไป สองวันผ่านไป และสามวันผ่านไป ชั้นฝุ่นเริ่มก่อตัวขึ้นบนโต๊ะหินอีกครั้ง
ในฐานะจอมยุทธ์ พวกเขาล้วนมีความอดทนเป็นเลิศ แต่พวกเขาควรรอจนถึงเมื่อใด
…..
เดิมทีหลี่ฉิงซานต้องการกลับมาที่นี่ แต่ท้องของเขาเริ่มส่งเสียงคำราม มันดังมาก เขาต้องลูบหน้าทองของตนและกล่าว “ข้ารู้สึกเหมือนสามารถกินวัวได้สิบตัว ไปหาของกินกันก่อนเถอะ!”
เขากินอาหารทั้งหมดในกระเป๋าร้อยสมบัติไปแล้ว แม้เขาจะไม่อดตายเพราะขาดอาหารเนื่องจากแก่นปีศาจของเขาสามารถดูดซับปราณจิตวิญญาณธรรมชาติเพื่อชดเชยสารอาหาร แต่การกินอาหารที่แท้จริงยังมีประโยชน์และมันก็ทำให้เขามีความสุข เขาหยิบแผนที่ใต้ดินออกมาและเดินทางออกจากถ้ำผ่านทางออกที่อยู่ใกล้ที่สุดทันที